ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 26 ทุกอย่างเริ่มจากเมืองไป๋ตี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ข่าวแพร่สะพัดมาเรื่อยๆ พระราชวังหลีไม่ได้เงียบสงบวังเวงเหมือนแต่ก่อน บรรดาเหล่ามุขนายกและมัคนายกทั้งหลายเหล่านั้นต่างยืนกันอยู่บนลานกว้างระหว่างตำหนักต่างๆ กำลังกระซิบถกเถียงอะไรกันอยู่ รอคอยคำสั่งของสังฆราชหรือเหล่ามหามุขนายก แววตาสีหน้าหลากหลาย

คิดดูแล้วราชสำนักในเวลานี้คงต้องยิ่งตื่นเต้นกังวลกันมากขึ้น ไม่รู้ว่าเหล่าท่านอ๋องและขุนนางใหญ่ในเวลานี้กำลังทำอะไรกันอยู่

สถานศึกษาหนานซี พรรคหลีซาน ตระกูลสือเจ้อ…มาถึงนครหลวงในวันเดียวกัน แน่นอนคือการจงใจ เหนือใต้มาบรรจบกัน ราชสำนักคลายความเข้มงวดในการจับตาควบคุมสำนักศึกษาและตระกูลใหญ่โตทางใต้ลงมาก อีกทั้งมีการปิดบังเรื่องการสอบใหญ่ จึงไม่สามารถทราบข่าวล่วงหน้าได้

มองดูทั้งดินแดน ใครกันที่จะมีกำลังพอที่จะจัดการเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ แน่นอนนั่นคือสวีโหย่วหรง เพราะนางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางใต้ ปัญหาอยู่ที่ว่านางต้องการทำอะไรกันแน่ หรือจะใช้อำนาจและฉากอันใหญ่โตรุนแรงแบบนี้เพื่อบีบบังคับราชวัง แล้วปรมาจารย์สูงส่งอย่างซางสิงโจวยังจะอยู่นิ่งยังเมืองลั่วหยางต่อได้อีกหรือ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ เหล่านักบวชในพระราชวังหลีก็เหลียวมองลึกไปยังพระตำหนักอันสงบเงียบที่อยู่ลึกเข้าไป

ถังซานสือลิ่วและราชันย์แห่งหลิงไห่พร้อมทั้งฮู่ซันสือเอ้อร์กำลังมองไปที่เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้แสดงออกใดๆ เดินกลับไปยังตำหนักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ราชันย์แห่งหลิงไห่รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจความหมายของเขา แล้วจึงหันกายเดินกับพระราชวังไปเช่นกัน

ถังซานสือลิ่วทางเข้าไปในตำหนักแล้วถาม “ท่านเตรียมการอะไรอยู่หรือ”

เฉินฉางเซิงพูด “ข้าเตรียมฝึกกระบี่”

ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้ง

ท้องฟ้าในวันนี้สีครามสดใส ถูกชายคาที่อยู่ใกล้ๆ แบ่งแยกออก ดูราวกับเป็นแนวกระเบื้องหลังคาแนวหนึ่ง

เสียงน้ำหยดกังวานดัง “ติ๋งๆ” ได้ยินอย่างชัดเจนมากในตำหนักอันสงบเงียบ

น้ำในสระหินกระเพื่อมเป็นวงน้ำที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ขันน้ำลอยเกยอยู่ข้างๆ อย่างสงบ

ใบไม้ครามเขียวชอุ่มกระถางนั้นได้กลับคืนสู่ที่ที่มันเคยอยู่เมื่อมาหลายปีก่อน แม้ว่ายังผลิใบเพียงน้อยนิด แต่ยังคงชอุ่มเขียวดึงดูดสายตาผู้คนนอน

เฉินฉางเซิงไม่ได้เข้าสู่โลกใบไม้คราม แต่เดินเข้าไปในห้องศิลาอันสงบเงียบแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในตำหนัก

ในห้องศิลาไม่มีสิ่งของใดๆ ผนังและพื้นล้วนก่อจากหินแร่เทา ดูแล้วเรียบง่ายอย่างมาก หรืออาจจะบอกได้ว่างานหยาบเลยก็ได้

บนพื้นมีเบาะกลมวางอยู่ตัวหนึ่ง ดูผ่านเก่าเล็กน้อย

บอกไปยังเบาะกลมตัวนั้น ถังซานสือลิ่วก็นึกถึงเบาะกลมที่หอบูชาเวิ่นสุ่ยขึ้นมา เขายั้งฝีเท้าลง

เฉินฉางเซิงนั่งลงบนเบาะกลม แล้วยื่นมือขวาออกไป

ในห้องศิลาไม่มีลม ชายเสื้อของเขาจึงไม่ได้ขยับ แต่ปลายนิ้วของเขากลับสั่นระริก

เสียงดังขึ้น “เพี้ยะ” เบาๆ หนึ่งที

เขาดีดนิ้ว

พร้อมกันกับเสียงที่ผ่าแหวกอากาศ กระบี่นับพันเล่มพุ่งออกมาจากฝักกระบี่ที่แขวนอยู่บนเอวของเฉินฉางเซิง เข้าชิงพื้นที่ทั้งในห้องศิลา

เจตจำนงกระบี่อันแน่นหนานับไม่ถ้วน ผุดขึ้นกลางห้องศิลา เพื่อมไหวสลับกันไปมา แล้วค่อยๆ สงบนิ่งลง

เมื่อมองจากนอกห้องศิลา นี่ดูเหมือนทะเลคมกระบี่ เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ท่ามกลางทะเลกระบี่นั้น

เห็นฉากเช่นนี้ ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าแววเยือกเย็นได้ฉายผ่านดวงตาตนอยู่ปลาบหนึ่ง หลังจากนั้นก็พบว่าขนตาเส้นหนึ่งของตนร่วงลงมา

พร้อมด้วยกับเสียงเสียดสีเบาๆ ประตูห้องศิลาค่อยๆ ปิดลง เฉินฉางเซิงหลับตาลง

เมื่อเดินออกจากตำหนัก ถังซานสือลิ่วมองไปยังหู้ซานสือเอ้อร์แล้วถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หู้ซานสือเอ้อร์พูด “พระองค์ฝึกบำเพ็ญอย่างกระตือรือร้นมาโดยตลอด”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าช่างเหลวไหลสิ้นดี เขาพูดไปว่า “ในเวลาแบบนี้เขายังจะคิดแค่ฝึกกระบี่อีกหรือ”

“ขอรับ” หู้ซานสือเอ้อร์ตอบอย่างกังวลอยู่บ้าง เขาพูดว่า “นับแต่วันนั้นที่ได้พบกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวอื่นใดเลย”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะฉากเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกลาวกับเคยสัมผัสรู้จักมันมาก่อน

……

……

สายตานับไม่ถ้วนในนครหลวง ต่างจับจ้องไปที่จวนสวี

หลายวันมานี้สวีโหย่วหรงไม่ได้ออกมาพบผู้คนอีก เพียงแต่พักอยู่เงียบๆ ในบ้านของตน

แต่ใครจะไปรู้ ว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับนาง เกี่ยวข้องกับคนที่นางได้พบ

ก่อนที่จะได้พบกับเฉินหลิวอ๋อง ก่อนที่จะเข้าวังกลางดึกเพื่อพบกับจักรพรรดิ หลายปีมานี้นางได้พบกับผู้คนทางใต้มามากมาย

คนเหล่านี้ล้วนแต่มากันหมดแล้ว มาจากทางใต้ มาจากทางใต้ดินแดนของนาง

“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กดดันหนักมาก ท่านเป็นบิดาของนาง อย่างไรเสียก็ต้องพูดอะไรบ้างถึงจะถูกนะขอรับ”

จวนขุนพลเทพตงอวี้แต่ไหนแต่ไรมาก็สงบเงียบห่อเหี่ยวเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งมีเสียงแว่วดังมาจากห้องรับแขกยิ่งทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เห็นได้ชัดว่า คนผู้นั้นพยายามสะกดความโกรธเคืองเอาไว้อยู่ในใจ

ผู้พูดก็คือเผิงสือไห่จอมทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งตงเซียง

ถูกอีกฝ่ายบุกเข้าจวนมาเพื่อแสดงกิริยา สวีซื่อเจ๋อมองไปที่อีกฝ่าย สีหน้าดูไม่จืดอย่างมาก

เมื่อว่าจากตำแหน่งแล้ว เผิงสือไห่เทียบไม่ได้กับสวีซื่อจี ว่าตามประสบการณ์ทำงาน ยิ่งเทียบกันไม่ติด แต่เขาเป็นถึงลูกศิษย์ของเฉินกวนซงเจ้าสำนักสำนักเด็ดดาราที่ได้สิ้นชีพไปแล้ว ไม่ใช่เป็นตัวแทนเขาเองเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงจอมทัพศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งกลุ่มอำนาจทหารในมือหลายนาย หรือแม้กระทั่งอาจเป็นตัวแทนของปณิธานแห่งปรมาจารย์ด้วย

สวีซื่อจีพยายามสะกดความกลัดกลุ้มในใจตนออกไว้ให้มั่น แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ากับเทพธิดาสิทธิ์แม้จะเป็นพ่อลูกกัน แต่ก็ยังฐานะเจ้าและขุนนาง จะให้ข้าพูดอะไรได้เล่า”

เผิงสือไห่แค่นเสียงหัวเราะ แล้วพูดตอบ “หากท่านพูดลำบาก เดี๋ยวข้าจะพูดเอง ถ้าจะไปพบเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพื่อชี้แจง”

สวีซื่อจีไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป เขาพูดเสียงต่ำว่า “ข้าบอกไปแล้วว่านางไม่อยู่ เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เจ้า!”

……

……

สวีโหย่วหรงวันนี้ไม่ได้อยู่บ้านจริงๆ

ท้องฟ้าสว่างใสกว้างไกลหมื่นลี้ นางถือร่มกระดาษสีเหลืองไว้ในมือ เดินเที่ยวเล่นเข้าตรอกออกถนนอย่างสบายใจในนครหลวง

นี่คือร่มที่นางขอจากเฉินฉางเซิงเมื่อเธอได้ไปยังพระราชวังหลีสองสามวันก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นนางรู้แล้วหรือเปล่าว่าวันนี้จะได้ออกมาเดินเล่นไปทั่วเช่นนี้

ข้างกายนายยังมีหญิงสาวชุดดำนางหนึ่ง

ทั่วทุกแห่งบนถนนหนทางต่างก็ถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ และเสียงพูดคุยกันในร้านชาและหอสุราเหล่านั้นดังเสียยิ่งกว่า

หญิงสาวในชุดดำสีหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาเรียวยาวตั้งตรงดูแปลกประหลาด แต่ก็สวยงามเป็นอย่างมาก เพียงแต่นางไม่หยุดที่จะหยิบขนมใส่ลงในปาก จึงดูท่าทีออกจะพิกล

ฟังเสียงถกเถียงกันเหล่านั้น นางก็พูดด้วยเสียงคลุมเครือว่า “ตอนที่อยู่ที่เมืองไป๋ตี้ เจ้าก็เตรียมตัวแล้วหรือ”

สวีโหย่วหรงยิ้มบาง แล้วพูดตอบ “ใช่แล้ว ก็ตอนที่เจ้าไล่ตามฆ่าเหล่าเทวดาต่างเผ่าตนนั้นไง”

มังกรดำน้อยมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเบื้องหน้า แววตาเยือกเย็น พุทราหวานไร้เมล็ดในมือดีดออกไปราวกับลูกธนู

เด็กชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังรังแกน้องสาว เขาก็งอทรุดลงคุกเข่า ล้มกระแทกอย่างหนัก แล้วร้องไห้โฮออกมาทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น สวีโหย่วหรงก็ส่ายหน้า

มังกรดำน้อยปัดมือ เกล็ดหิมะปลิวว่อนออกจากมือ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นตอนนั้น”

สวีโหย่วหรงตอบ “เพราะว่าตอนนั้นข้าเพิ่งจะมั่นใจ ว่าซางสิงโจวได้รับบาดเจ็บไม่น้อย”

มังกรดำน้อยอึ้งนิ่ง นางพูดว่า “เขาได้รับบาดเจ็บหรือ”

สวีโหย่วหรงตอบ “ใช่”

มังกรดำน้อยรู้ว่านี่คือเรื่องสำคัญเพียงใด นางถามพร้อมรูม่านตาเรียวยาวตั้งตรงที่หดลง “เจ้ายืนยันได้อย่างไร”

สวีโหย่วหรงตอบ “จักรพรรดิขาวตอนนั้นพึ่งจะรอดออกมาได้ ต่อให้เป็นการเสแสร้งหรือไม่ แต่สุดท้ายพลังอำนาจแห่งเขตแดนก็ไม่ใช่ช่วงสูงสุดอีกต่อไป และยังต้องสู้กับเทพแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ซางสิงโจวไม่ได้ทำเช่นนั้น หนำซ้ำเขายังมีข้าเป็นลูกมือด้วย”

มังกรดำน้อยไม่เข้าใจความหมายของนาง

สวีโหย่วหรงพูด “ในสภาพแบบนั้น ซางสิงโจวไม่ได้มีใจที่จะสังหารจักรพรรดิขาว นี่คงจะอธิบายได้ว่าเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว”

มังกรดำน้อยตะลึง นางพูดว่า “พวกเขาไม่ได้เป็นสหายกันหรือ”

สวีโหย่วหรงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร

ครั้นแล้วมังกรดำน้อยก็นึกขึ้นได้ ว่านางบอกว่าซางสิงโจวมีนางเป็นผู้ช่วย ยิ่งทำให้นางตกใจมากขึ้น

“หากตอนนั้นเขาลงมือกับจักรพรรดิขาวจริงๆ เจ้ายังจะช่วยเขาอยู่หรือ”

สวีโหย่วหรงตอบอย่างเนิ่งเฉย “ข้าต้องช่วยเขาอยู่แล้ว จริงๆ ตอนนั้นข้าก็เตรียมที่จะลงมือแล้วเช่นกัน”

มังกรดำน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ของเจ้าเองหรือเปล่า”

สวีโหย่วหรงตอบเรียบๆ “เขาและจักรพรรดิขาวไม่ได้ลงมือกับเทพแห่งศักดิ์สิทธิ์ต่อ แต่ส่งต่อให้ข้าทำ แล้วคอยสอดส่องระวังกันเอง”

มังกรดำน้อยยังไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มีความรอบรู้อยู่ไม่น้อย นึกหวนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

นางนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก็พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ช่างน่ากลัวเสียจริง”

ฉากอันครึกครื้นทั้งสองฝั่งค่อยๆ หายไป ถนนหนทางค่อยๆ กว้างขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลง

สวีโหย่วหรงและมังกรดำน้อยมาถึงยังถนนอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง

หากไม่ใช่เพราะม่ออวี่ว่าอยู่ในตอนนี้ เพียงมองปราดหนึ่งก็เข้าใจได้แล้ว ว่าที่นี่ห่างจากถนนไท่ผิงไม่ไกล

มังกรดำน้อยพูด “ข้านึกว่าเจ้าจะไปพบกับแม่นางที่สถานศึกษาหนานซี แล้วมาที่นี่ทำอะไรกัน”

สวีโหย่วหรงตอบ “ถ้ามาพบผู้ใหญ่สองท่าน”

มังกรดำน้อยรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่สนุกถึงที่สุด จึงหายตัววับไปกับสายลมและหิมะ

สวีโหย่วหรงเดินไปยังด้านหน้าประตูหลังคฤหาสน์แห่งนี้

ประตูบานนั้นค่อยๆ แง้มเปิด

สวีโหย่วหรงมองไปยังนักพรตหญิงทั้งสองท่านนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “ต้องลำบากอาจารย์ทั้งสองแล้ว”