ตอนที่ 1199 วสันต์สารทชั่วพริบตา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

จี้ซิงเหยากล่าว “เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้สิบวันพวกเราจะออกเดินทาง”

สามารถเดินทางร่วมกับหลินสวินก็เท่ากับได้เพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งมาอีกคน ยามมุ่งหน้าสู่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกก็จะได้การคุ้มครองมาอีกอย่าง

“หลังจากนี้สิบวันรึ” หลินสวินมุ่นคิ้ว

จี้ซิงเหยาชะงัก ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่าหลินสวินไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกเลย

นางกล่าวอธิบาย “ทุกสิบวันจึงจะมีโอกาสเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาอื่นเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกจะถูกพลังประหลาดชั้นหนึ่งปกคลุม ทันทีที่เข้าใกล้จะประสบเคราะห์อัปมงคล ตายสถานเดียว”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?

ตอนนั้นเขาเคยเดินทางอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหนึ่งวันหนึ่งคืน ผ่านความอันตรายถึงชีวิตไม่รู้เท่าไหร่

แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีพลังประหลาดและอัปมงคลอะไรเกินไป

‘ดูท่าภายในนั้นยังมีความเร้นลับและสิ่งต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ’

ใจหลินสวินพลันหนักอึ้ง

เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกยิ่งอันตรายและแปลกประหลาด ความเป็นไปได้ที่เจ้าคางคกจะประสบอันตรายก็ยิ่งมาก

แต่ต่อให้หลินสวินร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรออีกสิบวันค่อยออกเดินทาง

‘เจ้าหมอนี่เป็นคนโชคดีฟ้าคุ้มครอง ทั้งได้รับมรดกของเซียนผลาญเฉินหลินคงแล้ว น่าจะไม่ตายง่ายๆ’

หลินสวินได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้

จี้ซิงเหยาไม่รั้งอยู่นาน นัดเวลาและสถานที่พบเจอกับหลินสวินดีแล้วก็จากไป

อันที่จริงการที่นางมาบอกเรื่องเจ้าคางคกประสบภัยด้วยตนเองครั้งนี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้ว่านางมองข้าม ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ในปีนั้นไปแล้วจริงๆ ไม่ขุ่นเคืองเขาอีก

ไม่อย่างนั้นนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินยินดีที่ได้พบอย่างยิ่ง

เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกคือ ‘แดนหายนะ’ ที่ผู้คนในแดนอัคคีทักษิณต่างรู้จัก

รอบนอกเป็นผืนป่าดึกดำบรรพ์กว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบดบังนภาคลุมตะวัน ถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิดมานานปี

หลินสวินมาแล้วยืนอยู่ตรงป่าเขารอบนอก

จิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออก เมื่อรุกเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่นั่นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายทะมึนไหลบ่ากดดันมาทันที ทำให้ลมหายใจเขาหยุดชะงักเพราะมัน

แต่นี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อหลินสวิน

หลังโคจรเคล็ดเวทบริกรรม จิตรับรู้ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั้นของเขาก็แผ่ไปยังส่วนลึกของป่าเขาราวกระแสน้ำ ยืดขยายออกไปไม่หยุด…

ในขั้นตอนนี้กลิ่นอายกดดันและอึมครึมนั่นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งแปลกประหลาด

นี่ทำให้แรงกดดันในใจหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกร็งไปทั้งตัวราวสายธนูที่ง้างไว้ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างโคจรอย่างไร้สุ้มเสียงถึงได้จึงสามารถต้านทานไว้ได้

ตูม!

มองจากไกลๆ ผมดำของหลินสวินแผ่สยาย แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง จิตต่อสู้อันดุดันทะลวงแหวกห้วงอากาศดั่งรุ้งเทพ ทำให้เมฆทั่วทิศสลายตัว น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ

เหมือนกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ทรงพลังที่สุด

หากถูกมกุฎราชันคนอื่นเห็นเข้า จะต้องถูกอานุภาพพลังที่หลินสวินแผ่ออกมาทำให้หวาดหวั่นแน่ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ประหนึ่งเทพมารค้ำจุนฟ้าดิน!

พร้อมกันนี้ในจิตวิญญาณหลินสวินกำลังสั่นคลอนรุนแรง เหมือนมีเสียงเทพผีร่ำไห้ อริยะครวญคร่ำดังกระหึ่ม

ในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยภาพชวนประหวั่นอย่างกระดูกขาวราวภูเขา ศพมากมายดุจห้วงสมุทร ฟ้าดินพังทลาย สรรพสิ่งดับสลาย

ทุกอย่างล้วนกำลังสั่นคลอนจิตใจ โจมตีเจตจำนงของเขา!

กระทั่งต่อมาในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยเสียงคำรามอลหม่าน ภาพวาดเลือดหลั่งชโลม คล้ายจะม้วนกลืนจิตวิญญาณเขาให้จมดิ่งลงไปในนั้น

‘นี่คือ!?’

ทันใดนั้นห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏแม่น้ำสายหนึ่ง เลือดไหลบ่า ภายในมีซากศพประหลาดและอัปมงคลมากมายผลุบโผล่อยู่รางๆ

บ้างเป็นภิกษุที่ละกิเลส หว่างคิ้วถูกทะลวงเป็นรูโหว่รูหนึ่ง เผยสีหน้าโกรธแค้น

บ้างรูปร่างคล้ายมังกรฟ้าที่ถูกสะบั้นทุกอณู มองเห็นเป็นระยะๆ อยู่ในธารโลหิต คดเคี้ยวประมาณหลายหมื่นจั้ง

บ้างเป็นอริยะสวมเสื้อขนนกประดับเกี้ยวสูง…

บ้างเป็นสัตว์ปีศาจแปลกประหลาดที่ตรงหน้าผากแฝงลายมรรคแต่กำเนิด…

ทั้งหมดล้วนสิ้นชีพโดยไม่มีข้อยกเว้น!

ผลุบโผล่อยู่ในธารโลหิตราวจุดหมายแห่งความตาย

ตูม!

ไม่รอให้หลินสวินได้เห็นชัด ห้วงนิมิตก็พลันเจ็บปวดสาหัส ถูกพลังเยียบเย็นน่าหวาดกลัวสายหนึ่งโจมตี ทำให้เขาร้องเสียงอึดอัด เก็บจิตรับรู้คืนโดยไม่ลังเล

จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดที่เห็นก่อนหน้านี้จึงถดถอยหายไปราวกระแสน้ำ

และตอนนี้ทั่วร่างหลินสวินก็ชุ่มเหงื่อ สีหน้าค่อนข้างซีดเผือด ในดวงตาล้ำลึกฉายแววตระหนก

ธารโลหิตสายนั้น… ก็คือ ‘แม่น้ำนรก’ หรือ

ถึงตอนนี้หลินสวินจึงได้เข้าใจว่าที่จี้ซิงเหยากล่าวมาทั้งหมดล้วนไม่ผิด เวลานี้หากเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นจะต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันแน่

พลังที่ครอบคลุมอยู่ภายในแปลกประหลาดและอัปมงคลเกินไป ทำให้เขาไร้แรงต้านทาน!

ฟู่…

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เก็บพลังทั่วร่างลงไป

เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง เงาร่างก็พริบไหวหายเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์นั่น

ป่าเขาแถบนี้เป็นเพียงรอบนอกของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก แม้มีอันตรายมากมายกระจายอยู่ทั่ว แต่สำหรับหลินสวินแล้วยังไม่อาจสร้างภัยคุกคามมากนัก

‘นับจากวันนี้ไปก็ฝึกปราณอยู่ที่นี่แล้วกัน…’

หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด

เวลาสิบวัน หากใช้อย่างคุ้มค่าก็เพียงพอให้ตนยกระดับพลังต่อสู้ขึ้นอีกขั้น

ในป่าดึกดำบรรพ์นี้อันตรายซ่อนอยู่รอบทิศ แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับเป็นสถานที่ชั้นยอดในการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ หยั่งรู้วิชามรรคแห่งหนึ่ง

ระดับราชันแบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายสามขั้น

เมื่อถึงระดับราชันขั้นสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะใกล้สมบูรณ์ตามไปด้วย ยามนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของอมตะเคราะห์

ก้าวผ่านไปได้ก็จะเรียกว่าระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ก่อเกิดเป็น ‘รากฐานมรรค’ !

รากฐานมรรค ถูกมองเป็นรากฐานแห่งฟ้าดิน เกี่ยวพันกับหนทางอมตะ เหมือนการก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมดบนอมตะมรรคา

ก้าวไม่พ้น หากไม่ใช่พลังปราณหยุดอยู่กับที่ หมดหวังจะเลื่อนระดับอีก

ก็ร่างแหลกมรรคสลาย!

นี่ก็คือความเสี่ยงและบททดสอบที่ต้องแบกรับในการบำเพ็ญ ‘อมตะ’

ถึงแม้ระดับราชันจะหยั่งรู้ความเป็นตาย ไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนของเวลา จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ชีวิตไม่ดับสิ้น แต่หากข้ามเคราะห์ไม่พ้นก็ป่วยการ

ตอนนี้ปราณของหลินสวินบรรลุถึงขั้นต้นสมบูรณ์แล้ว สามารถก้าวสู่ขั้นกลางได้ทุกเมื่อ

เพียงแต่ระดับมกุฎราชันไม่ใช่สิ่งที่สามารถอาศัยปราณมาวัดความสูงต่ำของพลังต่อสู้ได้

หรือพูดได้ว่าความสูงต่ำของพลังต่อสู้ในระดับมกุฎราชัน จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานแบ่งแยกโดยละเอียดได้

ด้วยขอบเขตระดับนี้ไม่เคยมีมาก่อน อริยะก็ไม่กล้าให้คำนิยาม!

ผ่านไปสามวัน

ในป่าเขาหลินสวินนั่งขัดสมาธิ พลังทั่วร่างดุจเตาหลอม เลื่อนสู่ขั้นสูงกว่าในชั่วพริบตา พลังที่แผ่ออกมาทั้งมวลทำให้ผืนป่าแถบนี้สั่นสะเทือนดังสวบสาบ

มรรคราชันขั้นกลาง!

การทะลวงปราณครั้งนี้ไม่ถึงกับยากลำบาก สุกงอมตามครรลอง เดิมก็อยู่ในการคาดเดาของหลินสวิน

หึ่งๆๆ

ในความมืดมิดรอบๆ ป่าเขา เสียงหึ่งๆ กึกก้องดังขึ้น

ทันใดนั้นยุงโลหิตที่มีหกปีกแต่กำเนิด ขนาดเท่ากำปั้น สีแดงชาดตลอดตัวฝูงหนึ่งก็แห่ออกมา กลิ่นอายอำมหิตเหี้ยมเกรียมพุ่งมาทางหลินสวิน

ยุงโลหิตหกปีก!

หลินสวินลืมตาขึ้น ไม่ตระหนกวิตก

นี่คือสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งกระจายอยู่รอบป่าเขาดึกดำบรรพ์นี่ เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเสี้ยวก็จะดึงดูดความสนใจของพวกมัน รับมือได้ยากยิ่ง

ตอนที่เขาเข้าสู่แดนอัคคีทักษิณครั้งแรกก็เคยถูกยุงโลหิตหกปีกตามล่าไล่บี้ไม่ปล่อย บนตัวไม่เพียงแต่ถูกเจาะเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดมากมาย ยังถูกพิษร้ายแรงแทรกซึม น่าอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว

ร่างหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นไม่ขยับ ยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไปวาดวงโคจรบางเบาเร้นลับวงหนึ่งกลางอากาศ

พร้อมกันนี้พลังอันแข็งแกร่งทั่วร่างเขาก็เคลื่อนตามไปด้วย ใช้วิธีประหลาดทำการโคจรมารวมกันที่ปลายนิ้วเสียงเลื่อนลั่น

จากนั้นก็ดีดนิ้วเบาๆ

ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ เถาวัลย์ที่ใหญ่โตราวงูเหลือม ดอกไม้ใบหญ้าที่สูงเท่าตัวคน… ล้วนกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยพลังชีวิตดั่งอยู่ในกาลเวลาหมื่นสมัย

ชั่วขณะที่หลินสวินชี้นิ้วออกไป ต้นไม้เก่าแก่ เถาวัลย์ ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวหมด กลายเป็นเถ้าละอองลอยละล่อง

พริบตานั้นฤดูกาลหมุนเวียนล้มล้างสรรพสิ่ง ราวกับประวัติศาสตร์หมื่นสมัยปรากฏรวมอยู่ในดรรชนีเดียว เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง

ยุงโลหิตหกปีกที่พุ่งเข้ามาใกล้พลังชีวิตพลันแห้งเหือด ร่างเหี่ยวแห้งราวถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด จากนั้นก็ร่วงกราวลงไปกองกับพื้น

เมื่อมองไปอีกครั้ง ในรัศมีพันจั้งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต สรรพสิ่งกลายเป็นว่างเปล่าเตียนโล่งเหมือนถูกลบล้างไป

ภาพนี้ทำให้ในดวงตาหลินสวินฉายแววอัศจรรย์

กระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายา วสันต์สารทชั่วพริบตา!

หนึ่งดรรชนีหมุนเปลี่ยนฤดูกาล ช่วงชิงศุภโชค ตัดสินเป็นตาย

การโจมตีนี้เหมือนหลอมรวมความยิ่งใหญ่แห่งฤดูกาลหมื่นสมัยไว้ในหนึ่งดรรชนี สามารถล้มล้างฟ้าดิน ย้อนพลิกความรุ่งโรจน์และโรยร่วง อาศัยพลานุภาพยิ่งใหญ่กดข่มสรรพสิ่ง!

หลินสวินเพิ่งทำการหยั่งรู้ ยึดกุมได้เพียงขนผิวเศษเสี้ยวของกระบวนท่านี้ แต่ความแข็งแกร่งของอานุภาพที่สำแดงออกมากลับเหนือการคาดเดาของหลินสวินสิ้นเชิง!

ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่พลิกฟ้าจริงๆ!

วิชามรรคนี้คือมรดกที่ได้มาจาก ‘ภาพตกปลาบนฟ้าดารา’ รวมแล้วมีสามกระบวนท่า

แต่ละกระบวนท่าล้วนครอบจักรวาลลึกลับไร้สิ้นสุด เป็นวิชามรรคอมตะที่สามารถสะเทือนอดีตจวบจนปัจจุบัน

หึ่งๆ

ในจุดที่ห่างออกไปยุงโลหิตหกปีกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สาเหตุที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้รับมือยากก็ด้วยพวกมันแกล้วกล้าไม่กลัวตาย เกาะกลุ่มเป็นขบวนฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ทำให้คนปวดกบาลยิ่งนัก

เห็นดังนี้หลินสวินพลันตวัดนิ้วอีกครั้ง

ต่างจากครั้งก่อน พลังของดรรชนีนี้เผยอานุภาพยิ่งใหญ่ประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ ทรงพลานุภาพไร้จำกัด พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งใหญ่ไพศาล

เหล่ายุงโลหิตหกปีกที่พุ่งมานั้นล้วนถูกกำจัดไม่ผิดจากที่คาด

‘ครั้งก่อนใช้กฎเกณฑ์ธาตุไฟ คราวนี้ใช้กฎเกณฑ์ธาตุน้ำ แม้ลักษณะพลังจะแตกต่าง แต่อานุภาพกลับไม่ได้ต่างกันอย่างชัดเจน…’

‘เพียงแต่ดรรชนีมหาอุดมสลายมายานี้ล้ำลึกสุดหยั่ง ข้าเพิ่งหยั่งรู้เพียงผิวเผิน หลังจากนี้เมื่อหยั่งรู้เพิ่มเติมอานุภาพก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ’

‘ทว่าจะกินพลังกันเกินไปแล้ว’

หลินสวินพลันจนปัญญา แค่สองดรรชนีถึงกับผลาญพลังของเขาไปหนึ่งในสามส่วน!

แม้วิชามรรคนี้จะทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่การผลาญพลังก็น่าตะลึงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ

‘บางทีคงได้แค่รอพลังปราณข้าเลื่อนขั้นถึงจุดไหนสักแห่ง จึงจะสามารถโคจรวิชามรรคนี้อย่างง่ายดาย สำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด’

หลินสวินขบคิด

สามวัน พลังปราณเลื่อนขั้นสู่มรรคราชันขั้นกลาง ทั้งหยั่งรู้นัยเร้นลับเสี้ยวหนึ่งของวสันต์สารทชั่วพริบตา ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพัฒนาไปก้าวหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่การผลาญพลังก็ค่อนข้างน่าตกตะลึง เวลาสามวันแค่โอสถราชันที่ใช้หลอมปราณก็มีมากถึงห้าต้น!

นี่ก็คือระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้เหนือโลกหล้า แต่ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกปราณก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข

และมกุฎมรรคาของหลินสวินก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนระดับมกุฎราชันคนอื่น ทรัพยากรที่ใช้ฝึกปราณยิ่งต้องมากกว่า

ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขากวาดล้างอาณาเขตของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึกมามาก ปัจจุบันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้

ผ่านไปเจ็ดวัน

หลินสวินทะลวงขั้นอีกครั้ง!

……………………..