ราชันเร้นลับ 1383 : ตั้งกฎ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เมื่อไคลน์ที่อยู่ตรงหน้าอามุนด์กลายเป็นไพ่เดอะฟูล ห้องทั้งห้องพลันหดเล็กลง เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง

มันคือกล่องบุหรี่โลหะที่ปนเปื้อนออร่าปราสาทต้นกำเนิด

ท่ามกลางการพังทลายของอาณาจักรเทพ ร่างไคลน์โผล่ออกจากอากาศ ขณะฉากหลังเปลี่ยนกลับไปเป็นวังโบราณ ชายหนุ่มซึ่งกำลังถือภาชนะบรรจุไพ่เย้ยเทพและร่างต้นของอามุนด์ ทำการปิดฝา

ไคลน์ไม่ได้หวังให้วัตถุชิ้นนี้สามารถผนึกอามุนด์ผู้ถือครองอำนาจประตู มันเพียงต้องการโอกาสที่จะโยนอามุนด์ออกจากปราสาทต้นกำเนิดและป้องกันมิให้อีกฝ่ายขึ้นมาอีก

แต่ทันใดนั้น ไคลน์ซึ่งแต่งกายในเสื้อโคตกันฝนสีดำ เกิดหยุดชะงัก

มืออีกข้างของมัน หยิบแว่นตาขาเดียวจากความว่างเปล่ามาสวมไว้ที่ตาขวา

ด้านหลังชายหนุ่ม อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของมันค่อนข้างมืด พูดสลับกับหัวเราะประหนึ่งคนบ้า

“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้ใช้ร่างโคลน?”

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ร่างของไคลน์ซึ่งถูกปรสิตยึดครอง บางลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นกระดาษคนตัดหยาบ

ไคลน์เองก็ระมัดระวังตัว ไม่กล้าใช้ร่างต้นเช่นกัน ต้องพึ่งพากระดาษคนตัวแทนที่นำด้ายวิญญาณมาปลูกถ่าย

มันรู้อยู่แก่ใจดีว่า ในการต่อสู้กับอามุนด์ หากไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่งลงมือ เพราะถ้าลงมือไปแล้วผิดพลาด ด้วยอำนาจการฉกฉวยของบั๊ก เกรงว่าสถานการณ์คงพลิกกลับมาไม่ได้อีกเลย

ทางด้านอามุนด์ ดูเหมือนมันจะไม่ประหลาดใจกับการที่เหยื่อกลายเป็นกระดาษคนสักเท่าไร เพียงใช้มือขยับกรอบแว่นตาข้างขวา

อีกด้านหนึ่งของวังโอ่อ่า ไคลน์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกทรงสูงและเสื้อโคตกันลม เดินออกจากดินแดนเร้นลับของเดอะฟูล

ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นอย่างยากลำบาก หยิบแว่นตาผลึกออกจากความว่างเปล่าและบรรจงเลื่อนมาไว้ที่ดวงตา

ระหว่างนั้น สีหน้าไคลน์เผยความไม่เต็มใจ ค่อนไปทางบิดเบี้ยว ราวกับมิอาจที่ควบคุมฝ่ามือของตัวเอง

อามุนด์ครึ่งบ้าหัวเราะ:

“เจ้าสามารถใช้กระดาษคนเป็นตัวแทนได้ แต่กระดาษคนก็สามารถแทนเจ้าได้เช่นกัน… การปรสิตมันจะเท่ากับปรสิตเจ้า… ทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์กันและมีช่องโหว่ ไม่มีพลังพิเศษใดที่ไม่ถูกไขความลับ ขึ้นอยู่กับโอกาสในการใช้งาน”

มันฉกฉวยช่องโหว่ของการเชื่อมระหว่างร่างต้นกับกระดาษคน และสร้างบั๊กขึ้นมา

แม้อามุนด์ในภาพครึ่งบ้าจะมิอาจควบคุมคำพูดคำจา แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายจะไม่ทุ่มพลังทั้งหมดเข้าใส่ไคลน์ อามุนด์เพ่งสมาธิเพื่อส่งพลังไปควบคุมปรสิตในตัวไคลน์ พยายามทำให้ขั้นตอนการสวมแว่นตาเสร็จสมบูรณ์ เปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นร่างโคลน

ทันใดนั้น ร่างของไคลน์ทรุดลงและแตกตัวกะทันหัน เป็นความตั้งใจของไคลน์เอง

หนอนสีใสดีดดิ้นจำนวนนับไม่ถ้วนชอนไชไปทุกทิศทาง

จากบรรดาหนอนวิญญาณเหล่านี้ บางส่วนมีหนอนกาลเวลาสิบสองปล้องปะปน

อันที่จริง หนอนกาลเวลาของอามุนด์สามารถฝืนปรสิตร่างสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างหนอนวิญญาณได้ แต่ขณะไคลน์แตกตัวเป็นหนอนวิญญาณจำนวนมาก ชายหนุ่มฉวยโอกาสทำให้หนอนกาลเวลาของอามุนด์ ‘เขลา’ พร้อมกับ ‘ปั่นหัว’ กระแสเวลาให้ผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้น จนหนอนกาลเวลาหยุดปรสิตใส่หนอนวิญญาณเป็นเวลานาน

วินาทีถัดมา ฉากหลังของปราสาทต้นกำเนิดเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ไคลน์ได้ใช้ดินแดนเร้นลับเพื่อสร้างอาณาจักรเทพของเดอะฟูล

อามุนด์กำลังอยู่ภายในห้อง

พื้นห้องมีพรมหนาสีเหลืองซีด บนเพดานมีโคมระย้าทำจากคริสตัลห้อยลง ผนังห้องทุกฝั่งมีประตูที่ไม่มีใครทราบปลายทาง

ในเวลาเดียวกัน ภาพเขียนสีน้ำมันของดวงตาชนิดต่างๆ ถูกแขวนอยู่บนผนังทั้งสี่ด้าน

ไม่ต้องตรวจสอบโดยละเอียด เพียงชำเลือง อามุนด์ก็ทราบทันทีว่าประตูทั้งสี่บานมีลูกเล่นสำหรับถ่วงเวลาให้ไคลน์เตรียมการขั้นตอนถัดไป

มุมปากของมิสเตอร์ข้อผิดพลาดยกขึ้นเล็กน้อยขณะก้มมองปลายเท้า

มันเหยียดหมัดขวาออกไป ตามด้วยเหยียดนิ้วทั้งห้า

บนพรมหนาสีเหลืองซีดมีบานประตูมายาก่อตัวขึ้น

ประตูขยับอยู่สักพัก จนกระทั่งได้ตำแหน่งที่มั่นคงและเปิดออกอย่างเงียบงัน

ทว่า เมื่อบานประตูลวงตาเปิดออก ประตูรอบห้องกลับเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด ทุกบานเปิดออกพร้อมกับเสียงเสียดสี!

ในเวลาเดียวกัน ภายในดินแดนอันรกร้างและมืดมิด ภายในหอคอยมืดที่สูงเสียดฟ้า ไคลน์ถือตะเกียงวิเศษประทานพรพร้อมกับยกเลิกผลของการ ‘ปั่นหัว’ ที่หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ได้รับ

ไส้ตะเกียงสว่างขึ้น แสงสีทองซีดลอยออกมา

แสงดังกล่าวก่อตัวเป็นรูปร่างอันบิดเบี้ยวและพร่ามัว

ไคลน์ไม่คิดจะขอพรกับเทพแห่งตะเกียงโดยการโอนจำนวนครั้งของแบร์นาแดตมาไว้กับตน และไม่คิดจะโอนถ่ายความเป็นเจ้าของตะเกียงวิเศษประทานพรมาไว้กับตนเช่นกัน เพราะผลลัพธ์จะมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือไคลน์จะตายคาที่และเกิดใหม่ในสายหมอกประวัติศาสตร์ด้วยพลังของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์

ตามปรกติแล้ว นั่นเป็นวิธีหลบหนีที่ไม่เลว โดยเฉพาะกับไคลน์ที่ยังคืนชีพได้อีกหลายครั้ง

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อน

หากไคลน์เสียชีวิต หมายความว่ามันจะสละความเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดให้อามุนด์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นแดนสวรรค์ของอามุนด์โดยไม่มีใครมาคอยขัดขวางการใช้พลัง

และภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว อามุนด์จะลงมือปั่นหัวประวัติศาสตร์ ขัดขวางชะตากรรม และระงับการคืนชีพของไคลน์ ทำให้ชายหนุ่มร่วงหล่นไปอย่างแท้จริง

ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้วิเศษก็คือ ผู้วิเศษเส้นทางเดียวกันที่มีลำดับสูงกว่า

ดังนั้น แผนการในปัจจุบันของไคลน์คือการใช้หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ผ่านระดับตัวตนของเทพแห่งตะเกียง

หากไม่มีเทพแห่งตะเกียงคอยใช้อิทธิพลรบกวน กฎที่หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์เขียนขึ้นย่อมไม่เอื้อประโยชน์ให้ไคลน์ มันจะกำจัดทุกสิ่งมีชีวิตให้สิ้นซากนอกจากตัวเอง

เมื่อร่างสีทองซีดและพร่ามัวของเทพแห่งตะเกียงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ถูกพลิกไปยังครึ่งหลังอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียโลหะกระทบกัน

ประโยคใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษทองเหลืองโดยไม่มีการเว้นที่ว่าง:

“ห้ามขโมยที่นี่!”

ตามความเห็นของไคลน์ ถ้อยคำที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็น ‘ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีการขโมย’ เพราะประโยคแรกนั้นมีลักษณะเป็นกฎหมาย ผู้กระทำความผิดจะถูกลงโทษหลังจากก่อความผิดไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น บทลงโทษครั้งแรกสำหรับคดีลักทรัพย์ก็ยังเบามาก เหล่าอามุนด์สามารถอดทนได้สบาย ส่วนประโยคหลังจะเป็นการตีกรอบพฤติกรรม ส่งผลให้ไม่มีการขโมยเกิดขึ้นเลย

อย่างไรก็ดี หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์จะไม่ตั้งกฎที่รัดกุมเช่นนี้ขึ้นมาเองในช่วงแรก จำเป็นต้องรอให้กฎหมายเริ่มมีความเข้มงวด และสัญญาณชีพตื่นถึงระดับหนึ่งเสียก่อน

ในศึกก่อนหน้า เทพแห่งตะเกียงอาศัยระดับตัวตนและความใกล้ชิดกับหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ ประกาศกฎที่ซับซ้อนและรัดกุมออกมาตั้งแต่ต้น แต่ปัจจุบัน มันกำลังอยู่ในสภาพอ่อนเพลีย ไม่เหลือพลังพอที่จะทำเช่นนั้น

ตอนนี้ไคลน์ทำได้เพียงหวังยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์จะได้มีเวลาพอที่จะเขียนกฎให้รัดกุม สามารถตีกรอบพลังของอามุนด์ให้แคบลง ขณะเดียวกันก็เป็นกฎที่สอดคล้องกับอำนาจ ‘ปั่นหัว’ ของเดอะฟูล

ทันใดนั้น ภายในห้องที่อามุนด์ติดอยู่

หลังจากประตูมายาบนพื้นเปิดออก ประตูจริงโดยรอบพลันสั่นไหวและเปิดแง้ม

ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ทันใดนั้นเอง เสียงระฆังที่ราวกับมาจากระยะทางไกลดังขึ้น

อามุนด์ทำการจำแลงกายเป็นนาฬิกาแขวนโบราณ บนหน้าปัดนาฬิกา เข็มวินาทีซึ่งสร้างจากหนอนกาลเวลาหยุดเดินกะทันหัน

ก๊อง!

ท่ามกลางเสียงกังวาน ทุกสิ่งในห้องหยุดนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เว้นแม้แต่ประตูทั้งสี่

ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวคืออามุนด์ มันเปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์มนุษย์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำและหมวกปลายแหลม ก่อนจะยกกำปั้นข้างซ้ายขึ้นอย่างใจเย็นพร้อมกับเผยรอยยิ้ม

วินาทีถัดมา การแข็งตัวของเวลาพลันสลายไป ประตูจริงทั้งสี่บานที่เตรียมเปิดออก ปิดกลับลงไปอีกครั้งด้วยเสียงโครม ไม่เผยช่องว่างให้เห็น

ร่างของอามุนด์ร่อนลงมายังประตูมายาที่เปิดอยู่บนพื้น

ทันทีที่ออกจากห้องสำเร็จ มันพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในทุ่งโล่งอันมืดมิด หอคอยสีดำสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านในระยะไกล

ภายในหอคอย หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ด้านหน้าไคลน์เขียนกฎข้อที่สอง:

“ห้ามหลอกลวงที่นี่!”

แม้อามุนด์จะมองไม่เห็นฉากดังกล่าว แต่ราวกับมันสัมผัสได้อย่างเลือนราง ต้องไม่ลืมว่า ตัวตนระดับสูงที่ชอบอาศัยช่องโหว่ของกฎอย่างมัน ย่อมอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎได้ในระดับหนึ่ง

มันยกมือขึ้น ขยับกรอบแว่นที่ตาขวา

บนผิวแว่นผลึก แสงสีขาวโพลนและบริสุทธิ์ส่องสว่างท่ามกลางทุ่งโล่งอันมืดมิด ไม่มีใครสามารถซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้

นี่คือกลางวันนิรันดร์ที่มันเคย ‘มอบ’ ให้ไคลน์และขโมยกลับมาจาก ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์!

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว หอคอยสีเข้มค่อยๆ หลอมละลาย ไคลน์กำลังลอยตัวกลางอากาศ มือข้างหนึ่งถือตะเกียงวิเศษ ส่วนอีกข้างถือไม้เท้าดวงดาว ด้านหน้าคือหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ที่เปิดค้างไว้

ฉวยโอกาสนี้ อามุนด์เหยียดแขนข้างที่ใช้ขยับกรอบแว่นไปข้างหน้า จากนั้นก็คว้าภาพฉายของไคลน์จากระยะไกล

ด้านหลังอามุนด์ เงาที่ทอดยาวจากผลของกลางวันนิรันดร์ เริ่มไหววูบและบิดเบี้ยวราวกับมีชีวิต

อามุนด์เริ่มทำการขโมยพลังพิเศษหลายชนิดของไคลน์อย่างเงียบงัน

มันไม่ได้เจาะจงขโมยอำนาจการ ‘ปั่นหัว’ โดยเฉพาะ แต่สุ่มเลือกจากพลังที่มีโอกาสขโมยสำเร็จสูง

ทว่า หลังจากแสงวาบสว่างขึ้น สิ่งที่ตกลงบนฝ่ามือของมันกลับเป็นเพียงกระดาษคนธรรมดา

ปลูกถ่าย!

เพี้ยะ!

เงาด้านหลังอามุนด์ถูกฟาดด้วยแส้ล่องหน โดยที่ตัวอามุนด์ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

มันทำการสร้างข้อผิดพลาดขึ้นมา โดยใช้เงาแทนที่ตัวเอง

ถัดมา อามุนด์หัวเราะพร้อมกับเปล่งเสียงเข้าไปในโสตประสาทไคลน์

“เทพแห่งตะเกียง ข้าสามารถรับปากได้ว่าจะส่งเจ้าออกไปยังอวกาศ… เห็นไหม ข้าไม่ถูกลงโทษ แปลว่าข้าไม่ได้โกหก”

…………………………………………………….