ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 29 ประมุขตระกูลผู้มาถึง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่มีใครยอมกินอาจม ไม่ว่าจะขี้หมา ขี้หมาหรือขี้อะไรก็ตาม

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาท่านอ๋องแห่งตระกูลเฉินเหล่านี้กว่าจะได้กลับคืนนครหลวงและยากเย็นเพียงใด ผ่านจุดสูงสุดของชีวิต ใครกันจะยอมกินอาจมเล่า

จงซานอ๋องไม่ยอม หลูหลิงอ๋องไม่ยอม คิดไปแล้วต่อให้เป็นหลัวหยางอ๋องผู้อ่อนแอนั้นก็ยังไม่มีทางยอมเช่นกัน

แต่หวังผ้อมาถึงนครหลวงแล้ว พวกเขาไม่มีวิธีใดๆ คงได้แต่กินอาจมแล้ว

ดูสถานการณ์ตอนนี้ เว้นเสียแต่เซี่ยงอ๋องจะออกหน้าเอง

ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครจะไปรู้ถึงเจตนาในการไปที่เมืองลั่วหยางของเฉินหลิวหวัง หรือว่าเหตุใดทุกวันนี้จวนเซี่ยงอ๋องถึงได้สงบนิ่งเพียงนี้

คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น สีหน้าจงซานอ๋องก็ยิ่งหมองหม่น เขาสบถด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “สันดานหมาป่า ละโมภไม่รู้จักพอ!”

ต่อให้เซี่ยงอ๋องออกหน้าเอง ก็ไม่แน่ว่าจะได้เรื่องอะไร

หวังผ้อคือดาบเหล็กที่เผยให้เห็นคมวาวนั้น

ข้างกายเขายังมีสำนักต้นไหว พรรคกระบี่หลีซาน เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รวมถึงตระกูลใหญ่โตและพรรคต่างๆ นับสิบจากทางใต้

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ใหญ่โต น่าตื่นตระหนกอย่างมาก ทำให้ทั้งนครหลวงสั่นสะท้าน ใต้หล้าสั่นสะเทือน

สำหรับแผนต่อสวีโหย่วหรง พระราชวังหลียังคงปิดเงียบ วังหลวงเองก็สงบนิ่ง

คู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องจักรพรรดิและสังฆราช ไม่ได้เอ่ยอะไรใดๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไร

หากซางสิงโจวไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ หากราชสำนักและบรรดาอ๋องมีปฏิกิริยาที่อ่อนแม้เพียงนิด คู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องนี้ก็สามารถอาศัยข้ออ้างที่สวีโหย่วหรงใช้ความเคลื่อนไหวและอำนาจอันใหญ่โตมาผลักดันให้เกิดกระแสถาโถมเช่นนี้ สามารถกำจัดอำนาจของเหล่าอ๋องและขุนพลเทพฝ่ายทหารได้โดยตรง และเปลี่ยนสถานการณ์ของราชสำนักต้าโจวไปโดยสิ้นเชิง

เว้นเสียแต่ซางสิงโจวจับกลับสู่เมืองหลวงโดยทันที ถึงจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ที่ถาโถมนี้ได้ เพราะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มีอำนาจและกำลังเช่นนั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าอ๋องตระกูลเฉินเพื่อปกป้องตัวเองแล้ว ต้องเรียกทหารเข้าเมืองหลวงแน่นอน

ถึงตอนนั้นไฟคงลุกลาม ใครก็ยากจะคาดเดาจุดจบได้ว่าเป็นเช่นไร

นี่คือเรื่องที่พวกหลูหลิงอ๋องและขุนพลเทพเซี่ยวหลิงไม่สามารถเข้าใจได้

ว่าสวีโหย่วหรงไยต้องทำเช่นนี้

ในฐานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง หรือนางหวังที่จะได้เห็นสงครามนองเลือด ผู้คนพลัดพรากหลบหนี สถานการณ์อันดีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพินาศยับย่อยในพริบตาอย่างนั้นหรือ

จงซานอ๋องมองไปยังท้องฟ้านอกจวน ได้ยินเสียงห่านป่าแว่วมาแต่ไกลๆ หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองพลันฉายแววผ่านนัยน์ตาปลาบหนึ่ง

เขาพินิจพิเคราะห์เรื่องนี้ย้อนกลับในใจอยู่สองครั้ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปออกมา

ข้อสรุปนั้นดูแล้วเป็นจริงได้ แต่ก็ง่ายเกินไป จนเขารู้สึกยากที่จะเชื่อมัน

สวีโหย่วหรงสร้างเรื่องราวมากมายขนาดนี้ หรือว่านี่จะเป็นการบีบบังคับให้ปรมาจารย์กลับคืนสู่นครหลวงกัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า หากปรมาจารย์กลับคืนสู่นครหลวง แล้วนางจะทำอะไรได้อีก

ต่อให้ผู้เก่งกล้าจากทางใต้มีมากมายเหลือล้น ต่อให้สำนักฝึกหลวงจะมีพื้นฐานหนักแน่ ต่อให้แสนยานุภาพของหวังผ้อจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด ต่อให้การประสานกระบี่คู่ของนางกับเฉินฉางเซิงจะยอดเยี่ยมเกินบรรยาย

แล้วจะสามารถสังหารปรมาจารย์ได้เชียวหรือ

……

……

หลายคนไม่อาจเข้าใจเป้าหมายในการสร้างเรื่องราวพวกนี้ขึ้นมาของสวีโหย่วหรง

และขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ว่านางสามารถสั่งให้พรรคสำนักต่างและตระกูลทั้งหลายมายังเมืองหลวงมากมายเพียงได้อย่างไร

ตำแหน่งของนางทางใต้นั้นแน่นอนย่อมสูงส่ง ชื่อเสียงบารมีใหญ่โต

แต่ปัญหาคือ เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่โตจริงๆ จนจะสามารถพูดได้ว่าเป็นภัยที่จะนำหายนะทำลายล้างมาให้

เหล่านักบวชพาลูกศิษย์รุ่นหลังและผู้เก่งกล้าซึ่งมาจากทางใต้เหล่านั้นเดินไปยังตำหนักต่างๆ รู้สึกสับสนกับคำถามนี้อย่างมากเช่นกัน แต่ก็ไม่อาจถามมันออกมา

ครั้งนี้ใช้การสอบใหญ่เป็นข้ออ้าง สำนักตระกูลต่างๆ จากทางใต้กว่าสองพันคนพากันเข้าสู่นครหลวง คนจำนวนมากถึงเพียงนี้ย่อมไม่อาจที่จะพักตามโรงเตี๊ยม จึงถูกกำหนดให้ไปยังพระราชวังหลี สำนักไม้เลื้อยรวมถึงอารามน้อยใหญ่ในนครหลวง เฉินฉางเซิงไม่ว่ากล่าวสิ่งใด หู้ซานสือเอ้อร์จัดการได้เหมาะสมเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาใดๆ

ในตอนแรกสุดนั้น ทั้งสองฝ่ายก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกันอย่างยังไม่ได้ แต่เมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น ไม่มีใครที่ยอมพลาดโอกาสที่เหนือใต้จะพบปะแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้ พระราชวังหลี สำนักไม้เลื้อยรวมถึงอารามต่างเหล่านั้นล้วนรีบเริ่มจัดให้มีการพบปะพูดคุยกัน ส่วนใหญ่ก็คือการนั่งสนทนาแลกเปลี่ยน เพื่อเลี่ยงการทำลายบรรยากาศสันติภาพ

ตระกูลยิ่งใหญ่มั่งคั่งอย่างเช่นตระกูลมู่เจ้อรวมถึงตระกูลอู๋ ในนครหลวงย่อมมีที่พักของตนเอง ไม่จำเป็นต้องหาที่พักข้างนอกให้ ลูกหลานที่พำนักอยู่ในนครหลวง ก็สะดวกที่จะถามถึงความสงสัยของตนกับประมุขตระกูลได้…ว่าทำไมท่านถึงได้ยินยอมรับคำสั่งของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เดินทางมายังนครหลวงได้

นายใหญ่ตระกูลมู่เจ้อถ้าเท้าทั้งสองลงในน้ำเดือด ส่งเสียงออกมาด้วยความเหนื่อย แล้วพูดว่า “ฐานของตระกูลพวกเราอยู่ทางใต้ หาใช่ทางเหนือไม่”

ว่าตามเช่นนี้ คำสั่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ย่อมสำคัญกว่าราชโองการจากราชสำนัก แต่อำนาจตำแหน่งของตระกูลมู่เจ้อ ต่อให้ไม่ฟังสวีโหย่วหรง แล้วนางจะทำอะไรได้

ในสายตาลูกหลานตระกูลมู่เจ้อเหล่านี้รวมถึงผู้คนในเมืองหลวง สวีโหย่วหรงคือนางพญาหงส์ผู้น่าเกรงขามมากด้วยพรสวรรค์ ครองตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่ง

นางไม่ใช่นักวางแผน โดยหลักแล้ว นางไม่เชี่ยวชาญที่จะใช้วิธีการอันแข็งกร้าว ยิ่งไม่มีวิธีการอันเหี้ยมโหดอำมหิต และไม่มีความสามารถนั้นเช่นกัน

“พวกเจ้าไม่รู้ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นคนอย่างไร”

นายใหญ่ตระกูลมู่เจ้อไม่รู้ว่านึกอะไรในอดีตออก ในแววตาเผยให้เห็นความหวาดกลัว แล้วพูดขึ้นว่า “นางคือคนวิปลาส”

“เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นยิ่งหนัก! ปกติทำตัวเหยียบเรือสองแคม แต่งครั้งนี้ไม่ต้องการท่าทีของมัน ผู้คนก็รู้ว่ามันจะยืนฝั่งใด”

ประมุขตระกูลอู๋รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยทันที พูดผ่านหัวเราะเยาะ “ก็ใครใช้ให้มันให้กำเนิดลูกชายตัวดีนั่นมาเล่า”

……

……

นอกนครหลวงมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าถานเจ้อ

กลางลานด้านหลังวัดแห่งนี้มีต้นแปะก๊วยอยู่ต้น ลือกันว่าเมื่อก่อนจักรพรรดิไท่จงทรงลงมือปลูกด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งตอนนี้ก็เกือบจะพันปีแล้ว

ต้นแปะก๊วยต้นนั้นเติบโตอย่างดี เมื่อถึงช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ใบก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลายเป็นดั่งน้ำตกสีทอง

สามปีก่อนหวังผ้อบุกนครหลวงสังหารโจวทง ก็ได้นั่งที่ใต้ต้นแปะก๊วยต้นเป็นเวลาสิบสองวัน ฝึกฌานลับปัญญา จากนั้นจึงได้สังหารลงที่ริมฝั่งแม่น้ำลั่วได้ในดาบเดียว

ตอนนี้ก็ต้นฤดูใบไม้ผลิ ใบแปะก๊วยย่อมไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง หวังผ้อเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่

ประมุขตระกูลชิวซานเดินออกมาจากวัดแห่งนี้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หินอันเย็นยะเยือกตัวนั้น พลางทอดถอนใจติดกันอยู่สามครั้ง

เขาก็มายังนครหลวงแล้ว ไม่ได้เข้าไป แต่กลับมาที่วัดถานเจ้อนี้ตั้งแต่แรกถึง

เขาอยากพบหวังผ้อ อยากเกลี้ยกล่อมให้เขาลั่วหยาง

สรุปคือ เขาไม่ต้องการให้ซางสิงโจวกลับคืนสู่นครหลวง ยิ่งไม่ต้องการให้ซางสิงโจวมาพบตน

เพราะเขาไม่ชอบหน้าสวีโหย่วหรงอย่างมาก

เขาไม่อยากมีส่วนเกี่ยวพันในภายหลัง

“หรือว่า…พวกเราจะกลับกันดี”

ผู้นำพิธีตระกูลชิวซานผู้ซึ่งระดับล้ำลึกท่านนั้น มองไปยังท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของประมุขประจำตระกูล ก็รู้สึกเห็นใจ

“ต่อให้พวกเราไม่มา ราชสำนักก็จะเชื่อเจ้าลูกอกตัญญูคนนั้นง่ายๆ เลยเชียวหรือ”

ประมุขตระกูลชิวซานพูดพลางทอดถอนใจ “ในเมื่อมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วกัน”