บทที่ 1206 ข้ามีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,206 ข้ามีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ

“คุณชายได้อะไรมาบ้างเจ้าคะ?”

เซียวจื่อหรานพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง นางยกมือทาบอก เพราะกลัวว่าหัวใจจะทะลุออกมาด้วยความตื่นเต้นมากเกินไป

ขณะนี้ สถานีขนส่งส่วนหน้าเงียบลงอีกครั้ง

เงียบมากกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก

สายตาของนักล่าอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองซากศพสัตว์อสูรที่กองอยู่บนพื้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน สลับกับจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉินอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา

เด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นี้เป็นใคร?

พวกเขาล้วนปรารถนาที่จะยกกระบังหมวกเหล็กขึ้น เพื่อดูใบหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นี้

หากเด็กหนุ่มชุดเกราะดำสามารถล่าสัตว์อสูรทั้งหมดนี้ออกมาได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว นั่นก็หมายความว่าระดับพลังของเขาคงเทียบเท่ากับนักรบเทวะขั้น 8 หรือขั้น 9 แล้ว

บางที…

เขาอาจจะอยู่ในขั้นยอดนักรบแล้วด้วยซ้ำ

ฟังจากเสียงพูดที่ดังออกมาจากใต้หมวกเหล็ก เด็กหนุ่มผู้นี้คงมีอายุไม่มาก

ในโลกนี้ก็มีเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งอยู่ไม่มากเช่นกัน

หากไม่ใช่สมาชิกลับของตระกูลเทวะตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในดินแดนเทพเจ้า ซึ่งไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ควรค่าแก่การให้ความสนใจทั้งสิ้น

“แมงมุมอสูรหกสิบเจ็ดตัว นกแก้วอสูรเก้าสิบตัว ผลึกวิญญาณอสูรเร่ร่อนหนึ่งร้อยสิบชิ้น…”

หลินเป่ยเฉินบอกจำนวนอย่างใจเย็น

ทุกครั้งที่เขาบอกจำนวนออกมา หัวใจของเซียวจื่อหรานจะกระตุกอย่างรุนแรง

สุดท้าย หัวใจของนางก็แทบจะระเบิดแล้ว

ดวงตาของเซียวจื่อหรานเป็นประกายระยิบระยับ ใบหูแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น นางโน้มตัวเข้าไปใกล้หลินเป่ยเฉิน หอบหายใจฟืดฟาด คล้ายกับว่าต้องการจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ด้วยความที่กำลังตกตะลึง เซียวจื่อหรานจึงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสัตว์อสูรที่หลินเป่ยเฉินล่ามาได้นั้นมีจำนวนเท่าไหร่

นางรู้สึกเพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นี้ ช่างมีสง่าราศีหาผู้ใดเปรียบ

“คุณชาย… ได้โปรดรออยู่ตรงนี้สักครู่”

เซียวจื่อหรานใบหน้าแดงก่ำ “ข้าน้อยต้องไปรายงานผู้ดูแล… แต่คุณชายไม่ต้องเป็นห่วง คุณชายจะได้รับราคาที่ดีที่สุดแน่นอน”

หลังจากพูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไป

หลินเป่ยเฉินนั่งรอคอยอยู่บนเก้าอี้ กวาดสายตามองรอบตัวเล็กน้อย

บัดนี้ เขาพบว่าการกระทำของตนเองดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่โตไม่เบา

เด็กหนุ่มสะดุดใจและแอบรับฟังเสียงกระซิบที่ดังขึ้นรอบตัว

แม้จะเป็นเสียงกระซิบ แต่ด้วยความที่สถานีขนส่งขณะนี้กำลังเงียบมาก เสียงกระซิบเหล่านั้นจึงดังมากกว่าปกติ

แต่เพียงไม่นาน บรรยากาศในสถานีขนส่งก็กลับมาเป็นปกติ

เว้นแต่ว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากแอบมองหลินเป่ยเฉิน

แต่ผ่านไปได้อึดใจใหญ่ เซียวจื่อหรานก็ยังคงไม่กลับมาและนั่นก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย

หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองน่าจะเป็นลูกค้าคนสำคัญ เหตุไฉนนางจึงปล่อยเขาทิ้งขว้างเช่นนี้?

พลัน เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปที่ประตูคูหาซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง

เมื่อเข้าไปใกล้ประตู เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูกำลังคำรามอะไรบางอย่าง

“ไม่ต้องพูด การซื้อขายของเจ้าในเดือนนี้ยังไม่ถึงเกณฑ์ ข้าจะไล่เจ้าออกเมื่อใดก็ได้…”

นั่นเป็นเสียงของผู้ดูแลสถานีขนส่งประจำแดน 4 เกอสือเหนียน

“ใต้เท้าเกอเจ้าคะ ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยอีกสักครั้ง วันนี้ข้าน้อยเกือบจะสามารถทำยอดให้ถึงเกณฑ์ได้แล้ว แต่ว่า…”

เสียงที่กำลังขอร้องอ้อนวอนของผู้ชี้แนะกระโปรงขาวชิงเล่ยดังขึ้น

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

เขากลั้นหายใจและเดินเข้าไปแอบมองผ่านช่องว่างระหว่างประตู

เขาเห็นเกอสือเหนียน เซียวจื่อหรานและชิงเล่ยกำลังรวมตัวกันอยู่ใน ‘ห้องทำงาน’ ห้องหนึ่ง

เสียงความวุ่นวายในสถานีขนส่งอยู่ห่างไกลออกไป

พวกเขากำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

ผู้ชี้แนะกระโปรงขาวชิงเล่ยพยายามขอร้องอ้อนวอนด้วยใบหน้านองน้ำตา

เซียวจื่อหรานหัวเราะอย่างชั่วร้าย

เกอสือเหนียนยกมือขึ้นเชยคางชิงเล่ยและกล่าวว่า “เดิมทีเจ้านับเป็นบุปผางามในที่แห่งนี้ เหตุไฉนถึงต้องไปแข่งขันกับผู้อื่นให้เหนื่อยเปล่าด้วยเล่า? เจ้าเองก็มีหนทางที่ง่ายดายมากกว่านั้นนะ”

ชิงเล่ยรีบสะบัดหน้าหนีมือของชายอ้วนโดยไม่รู้ตัว

นางย่อมเข้าใจ

นางเข้าใจดี

การที่ตนเองถูกเซียวจื่อหรานแย่งลูกค้าไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

เดิมทีมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหอการค้า

แต่ในเมื่อผู้ดูแลสถานีขนส่งซึ่งเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงสุดไม่ว่าอะไร ชิงเล่ยก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีก

เกอสือเหนียนลุ่มหลงในเสน่ห์ของเซียวจื่อหรานจนโงหัวไม่ขึ้นและเขาก็อยากจะครอบครองร่างกายของชิงเล่ยเช่นกัน

หลังจากต่อต้านขัดขืนมาอย่างยาวนาน ชิงเล่ยก็เริ่มรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย

หากนางตัวคนเดียว ต่อให้ต้องไปเป็นขอทาน ชิงเล่ยก็ไม่มีอันใดให้เป็นกังวล

แต่นี่นางมีลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจ ลูกสาวที่เจ็บไข้ได้ป่วยต้องนอนซมอยู่บนเตียงแทบทุกวัน ลูกสาวที่รอคอยคะแนนศรัทธาเพื่อไปซื้อยารักษาชีวิต ดังนั้นชิงเล่ยจึงได้แต่ยอมทนถูกโขกสับเช่นนี้ตลอดมา

นางก้มหน้าต่ำ

นิ่งเงียบ

ใบหน้าที่ดื้อรั้นเจือด้วยความหมองเศร้า

เกอสือเหนียนยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “บัดนี้ ข้าเป็นผู้ดูแลสถานที่นี้ ข้าให้โอกาสเจ้าทำยอดตามเกณฑ์แล้ว แต่เจ้าก็ทำไม่สำเร็จ ฮ่า ๆๆ สิ่งที่ข้าต้องการนั้นเจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าอยากให้เจ้ามารับใช้ข้าและเชื่อฟังข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“หากเจ้ายอมเป็นของข้า ข้าก็จะให้เจ้าทำงานที่นี่ต่อไป แม้ว่าเจ้าจะทำยอดไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็ตาม แต่เจ้าก็จะได้รับเงินเดือนไปจ่ายค่ายารักษาบุตรสาวพิการของเจ้าให้รอดชีวิต มิฉะนั้น…เหอเหอเหอ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากเจ้าลาออกจากหอการค้าแห่งนี้ รับรองได้เลยว่าจะไม่มีหอการค้าใดในแดน 4 รับเจ้าเข้าทำงานอีกเลย ไม่เชื่อจะลองดูก็ได้”

ชิงเล่ยกัดฟันกรอด ความคิดกำลังตีกันอยู่ในหัวอย่างวุ่นวาย

แต่สีหน้าของนางบอกชัดว่าเริ่มคล้อยตามคำพูดของชายอ้วนแล้ว

เกอสือเหนียนเห็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าบุปผางามดอกนี้ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือของเขาได้อีก ดังนั้นชายอ้วนจึงยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

นั่นเป็นตอนที่เซียวจื่อหรานส่งเสียงกระแอมไอขึ้นมา

เกอสือเหนียนจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังคงมีลูกค้าคนสำคัญรอคอยอยู่ที่ด้านนอก ชายอ้วนจึงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติและออกคำสั่งว่า “เอาล่ะ ข้าจะออกไปรับรองลูกค้าของพวกเราก่อน ข้าจะให้เวลาเจ้านั่งตัดสินใจอยู่ที่นี่หนึ่งชั่วยาม หากเจ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ก็ห้ามออกจากห้องนี้ไปไหนเด็ดขาด”

พูดจบ เซียวจื่อหรานก็เดินนำหน้าตรงไปที่ประตู

“ดูเหมือนนางจะยอมท่านแล้วสินะ”

เซียวจื่อหรานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

เกอสือเหนียนยิ้มกว้าง “ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ อิอิ เจ้าคอยจับตาดูชิงเล่ยต่อไปก็แล้วกัน หากมีลูกค้าเข้าหานางอีกเมื่อไหร่ เจ้าจงไปตัดหน้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่สามารถทำยอดได้ถึงเกณฑ์ประจำเดือนนี้”

“ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวล”

เซียวจื่อหรานตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเจ้าเด็กในชุดเกราะสีดำนั่นจะได้ของดีกลับออกมามากมายถึงเพียงนี้… ข้าไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่”

“กับบุคคลประเภทนี้ เราต้องจัดการให้เหมาะสม ระหว่างนี้เจ้าอย่าเพิ่งให้ราคาสูงที่สุดกับเขา เดี๋ยวข้าจะไปสืบประวัติมาก่อน ยิ่งเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้า ก็ยิ่งจัดการได้ง่าย สัตว์อสูรเหล่านั้นบางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นคนสังหารเองก็ได้ ใช่แล้ว หากเขาโชคดี เขาอาจจะไปเจอซากสัตว์อสูรที่นักล่ากลุ่มอื่นสังหารทิ้งเอาไว้ก็เป็นได้”

เกอสือเหนียนหัวเราะเยาะในลำคอ

ทั้งสองคนเดินกลับมาที่ลานด้านหน้าคูหาและพบว่าหลินเป่ยเฉินได้หายตัวไปแล้ว

เขาหายไปที่ไหน?

คงไม่ได้กลับไปแล้วหรอกกระมัง?

เกอสือเหนียนกับเซียวจื่อหรานหันมองหน้ากันด้วยความแตกตื่นลนลาน

“พวกท่านกำลังมองหาข้าอยู่หรือ?”

เสียงของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นทางด้านหลัง “เมื่อสักครู่ ข้าแค่เบื่อหน่ายที่ต้องนั่งรอคอยนานเกินไป ข้าจึงออกไปเดินดูร้านค้าแถวนี้เล็กน้อย… เอาล่ะ พวกเรากลับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พวกท่านแน่ใจใช่หรือไม่ว่าอยากรับซื้อสินค้าของข้า?”

“ฮ่า ๆๆ แน่ใจสิขอรับ พวกเราต้องรับซื้อแน่นอน”

เกอสือเหนียนปั้นหน้ายิ้มแย้มอีกครั้งและส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเป็นมิตร

“อยากซื้อก็ซื้อไปเถอะ”

หลินเป่ยเฉินหย่อนกายกลับนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ยกขาไขว่ห้างและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ข้ามีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ”