บทที่ 607.1 พูดจาดั่งสิงโตคำราม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ร้านเหล้ามีเด็กหนุ่มแปลกหน้ามาเยือน เขาสั่งเหล้าที่ราคาถูกที่สุดมาหนึ่งกา

วันนี้กิจการของที่ร้านซบเซามากเป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

นี่จึงเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มชุดขาวที่หล่อเหลาดุจเจ๋อเซียนโชคดีไม่น้อย เพราะยังมีโต๊ะให้นั่ง

เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มหน้าซีดขาวน้อยๆ ท่าทางเหมือนคนป่วย

จางเจียเจินหิ้วเหล้ากาหนึ่งมาส่งให้ บวกกับผักดองหนึ่งจาน บอกว่าลูกค้ารอสักครู่ เดี๋ยวจะยกบะหมี่หยางชุนที่ไม่คิดเงินมาให้อีกชาม

ลูกค้าคนนี้เปิดกาเหล้าแล้วสูดจมูกดมเต็มแรง จากนั้นจึงยกชามเหล้าขึ้นมา เหลือบมองผักดองแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยภาษาถิ่นสำเนียงแท้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ชามเหล้าใหญ่ขนาดนี้ เหล้าหมักตระกูลเซียนที่หอมขนาดนี้ ยังจะให้คนได้กินทั้งผักดองและบะหมี่หยางชุนโดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกหรือ?! ไม่ใช่หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย แค่เหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งจริงๆ?! ใต้หล้ามีร้านเหล้าที่ทำการค้าแบบนี้ด้วยหรือ? บอกกับลูกจ้างเล็กๆ อย่างเจ้าไว้ก่อนนะว่า ตบะของข้าสูงนักล่ะ ที่พึ่งก็ใหญ่ยิ่งกว่า คิดจะใช้แผนนางนกต่อกับข้าน่ะ ไม่ได้ผลหรอก”

จางเจียเจินได้ฟังคำบ่นของพวกลูกค้าผีขี้เหล้ามานักต่อนัก แต่คนที่รังเกียจว่าค่าเหล้าแพงเกินไปก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก น่าจะเป็นคนต่างถิ่นที่มาจากใต้หล้าไพศาล ไม่อย่างนั้นหากอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ที่มาดื่มเหล้า หรือเป็นพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่อยู่บนถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู้ ไม่ว่าจะไปเยือนร้านเหล้าหรือเหลาสุราแห่งใด ก็มีแต่จะรังเกียจว่าค่าเหล้าแพงและรังเกียจที่รสชาติไม่ได้ความ จางเจียเจินจึงยิ้มเอ่ยว่า “ลูกค้าโปรดดื่มให้สบายใจ ราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะจริงๆ”

เด็กหนุ่มชุดขาวผลักกาเหล้าให้ขยับออกห่างไปเล็กน้อย สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เหล้านี่ข้าไม่กล้าดื่ม แพงเกินไป ต้องมีกับดักแน่นอน!”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างฉวยโอกาสที่รอบด้านมีคนนั่งอยู่บนโต๊ะเหล้าไม่มากยกชามเหล้ามานั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น ปากก็พูดกลั้วหัวเราะไปด้วยว่า “เจ้าลูกกระต่ายต่างถิ่นคนนี้ แม้จะสามารถพูดภาษาถิ่นของพวกเราได้ แต่ดูแล้วหน้าไม่คุ้น ไม่ดื่มก็ช่าง เหล้ากานี้ข้าซื้อเอง”

พอเด็กหนุ่มได้ยินประโยคนี้ก็ยื่นมือมากดกาเหล้า “เจ้าคิดจะซื้อก็ซื้อได้หรือ ข้าเหมือนคนที่ขาดเงินหรืออย่างไร?”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเถ้าแก่รองก็มีสายตาอำมหิต แต่ใจกลับดำยิ่งกว่า เหตุใดถึงได้เลือกหน้าม้าที่ไร้ประสบการณ์แล้วยังสมองเลอะเลือนเช่นนี้มาได้นะ

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงได้แต่ใช้เสียงในใจถามว่า “สหายน้อยก็เป็นคนกันเอง ใช่ไหม? เฮ้อ ดูเจ้าที่ช่วยให้เสียเรื่องนี่สิ คำพูดพวกนี้มีร่องรอยชัดเจนเกินไป เจ้าเป็นคนคิดเองใช่ไหม? คิดๆ ดูแล้วเถ้าแก่รองต้องไม่ได้สอนให้เจ้าพูดอย่างนี้แน่นอน”

แล้วก็จริงดังคาด มีนักพนันและผีขี้เหล้าคนหนึ่งที่ชอบนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทาง ไม่ชอบนั่งดื่มเหล้าบนโต๊ะหัวเราะเอ่ยเสียงหยันขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รองผู้นั้นไปหาผู้ช่วยฝีมืออ่อนด้อยแบบนี้มาจากไหนกัน เจ้าเพิ่งเคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจแบบนี้เป็นครั้งแรกหรือ? เถ้าแก่รองไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้ามาก่อนหรือไร? ก็จริงนะ ทุกวันนี้หาเงินเทพเซียนได้เป็นภูเขาเงินภูเขาทอง ไม่รู้ว่าไปแอบนับเงินอย่างเบิกบานอยู่ตรงไหนแล้ว ก็เลยไม่ทันมีเวลาได้อบรม ‘หน้าม้าร้านเหล้า’ กระมัง ข้าผู้อาวุโสล่ะประหลาดใจนัก กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามีแต่หน้าม้านักพนัน ดีนักนะ พอเถ้าแก่รองมาก็บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำไมไม่ก่อสำนักตั้งพรรคไปเลยเล่า…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพนันที่วันนี้เพิ่งเสียเงินไปก้อนใหญ่ก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เตี๋ยจ้าง ไม่ได้ว่าเจ้านะ หากไม่เป็นเพราะเจ้าคือเถ้าแก่ใหญ่ นายท่านหลิ่วก็คงยากจนจนได้แต่ดื่มน้ำเปล่าแล้ว และข้าก็คงไม่ยินดีมาดื่มเหล้าที่นี่เหมือนกัน”

เตี๋ยจ้างหัวเราะ ไม่ถือสา หากใช้คำพูดของเฉินผิงอันก็คือนักดื่มด่าเขาเถ้าแก่รองก็ให้ด่าไป ด่ามากเข้าก็เปลืองน้ำลาย ง่ายที่จะดื่มเหล้าเพิ่มขึ้น แต่พวกคนที่ด่าจบครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มาดื่มเหล้าอีก เอาแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งมาโปรยทิ้ง ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเถ้าแก่ใหญ่ช่วยจดชื่อหรือไม่ก็จำหน้าตาของคนผู้นั้นเอาไว้ วันหน้าเขาเถ้าแก่รองจะต้องหาโอกาสมาชดเชยให้แน่นอน รับรองว่าปรองดองสมานฉันท์ ยิ้มให้กันแล้วบุญคุณความแค้นก็จบลง

แต่ไม่นานก็มีนักดื่มคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าว่าเถ้าแก่รองของพวกเราไร้คุณธรรมก็จริง แต่กลับยังไม่ถึงขั้นขาดความรอบคอบขนาดนี้ คาดว่าคงเป็นหน้าม้าของร้านเหล้าร้านอื่นตั้งใจมาทำให้เถ้าแก่รองโมโหกระมัง มาๆๆ ข้าผู้อาวุโสขอดื่มคารวะเจ้าหนึ่งชาม แม้จะบอกว่าฝีมือแย่ไปหน่อย แต่อายุน้อยๆ กลับใจกล้าขนาดนี้ กล้ามางัดข้อกับเถ้าแก่รอง ถือเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง คู่ควรจะรับการดื่มคารวะจากข้า”

เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างเดินผ่านโต๊ะนั้นพอดี จึงยื่นนิ้วมาเคาะบนโต๊ะเบาๆ

นักดื่มคนนั้นจึงวางชามเหล้าลงอย่างขลาดๆ เค้นรอยยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง พวกเราไม่มีอคติต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อยจริงๆ น่าเสียดายก็แต่เถ้าแก่ใหญ่เจอคนไม่ดี ช่างเถิด ข้าจะดื่มลงโทษตัวเองก็แล้วกัน”

นักดื่มผู้นั้นดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งชามก็คิดว่า นี่ตนถูกแม่นางเตี๋ยจ้างเข้าใจผิดแล้วใช่ไหม? ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทั้งอัดอั้นทั้งเจ็บปวดใจ ข้าผู้อาวุโสได้รับคำสั่งสอนจากเถ้าแก่รองด้วยตัวเอง ได้ฟังแผนการอันแยบยลจากเถ้าแก่รองมากับหู จึงตั้งใจใช้คาถาตระกูลเซียนบทที่ว่า ‘ขาวเกินไปจะดำ ดำเกินไปกลับกลายเป็นขาว ดำขาวสลับกัน เทพเซียนยากจะคาดเดา’ ตนคือคนกันเองแท้ๆ เลยนะ

เพียงแต่พอชายฉกรรจ์มาคิดดูอีกครั้ง ช่างเถิด ถึงอย่างไรทุกครั้งที่เถ้าแก่รองแอบเป็นเจ้ามือก็ล้วนได้กำไรมาไม่น้อย หลังจบเรื่องเถ้าแก่รองยังแอบแบ่งของโจรมอบเงินมาให้ ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าแบ่งส่วนแบ่ง ไม่ได้แบ่งของโจรอะไรนั่น ส่วนสุดท้ายแล้วจะได้เงินมากหรือน้อย กฎเกณฑ์ก็ประหลาดมาก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเถ้าแก่รอง ‘สหาย’ อย่างชายฉกรรจ์แค่รับเงินไปก็พอ เถ้าแก่รองบอกชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า ให้มากไปไม่จำเป็นต้องขอบคุณ แค่ควักเงินจ่ายเงินค่าเหล้าที่ร้านให้มากหน่อยก็พอ ให้น้อยไปก็ยิ่งห้ามบ่น แบ่งเงินให้คือมิตรภาพ ไม่แบ่งเงินคือภาระหน้าที่อันพึงกระทำ ใครไม่ปฏิบัติตาม ถ้าอย่างนั้นเวลาเดินตอนกลางคืนก็ระวังหน่อย แสงดับโคมไฟมืดเมาตาปรือมองเห็นไม่ชัด ใครบ้างจะไม่เดินชนนู่นชนนี่

ดื่มเหล้าในร้านเหล้าเล็กๆ ทุกวันนี้ หากไม่ฝึกฝนจิตใจเสียบ้าง ไม่ได้จริงๆ

แต่นานวันเข้า ดื่มเหล้าจนลิ้มรสชาติบางอย่างได้แล้ว อันที่จริงก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นคนที่มาดื่มเหล้าที่ร้านในทุกวันนี้ล้วนชอบเจ้ามองข้าหนึ่งครั้ง ข้าชำเลืองเจ้าหนึ่งที ต่างก็กำลังมองหาเบาะแส พยายามจะวิเคราะห์ให้ได้ว่าฝั่งตรงข้ามคือมิตรหรือศัตรูกันแน่

ชายฉกรรจ์ผู้นี้รู้สึกว่าตนน่าจะเป็นคนที่ถือว่าวัยวุฒิสูง ตบะสูง อีกทั้งนิสัยยังดีมากในบรรดาหน้าม้าร้านเหล้ามากมายของเถ้าแก่รองแล้ว ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่รองก็คงไม่บอกเป็นนัยแก่เขาว่าวันหน้าจะให้สหายที่เชื่อใจได้เป็นเจ้ามือ รับผิดชอบลงเดิมพันว่าใครคือหน้าม้าใครไม่ใช่โดยเฉพาะ เงินประเภทนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้คนนอกได้ไป ส่วนจริงเท็จทั้งหลายในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ทำให้คนกันเองบางคนที่จำต้องหยุดงานชั่วคราวขาดทุนอยู่แล้ว รับรองว่าหลังจากที่ตัวตนเปิดเผยยังจะได้รับ ‘เงินบำรุงขวัญ’ อีกก้อนใหญ่ ขณะเดียวกันก็รับประกันว่าสามารถทำให้สหายบางคนแฝงตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม ส่วนคนที่เป็นเจ้ามือจะได้เงินมาได้อย่างไร อันที่จริงก็ง่ายมาก เขาจะปรึกษากับผู้อาวุโสเซียนกระบี่บางท่านที่ไม่ใช่สหายให้เรียบร้อย ใช้ความสัมพันธ์ควันธูปและหน้าตาของตัวเองไปขอให้พวกเขาช่วยแสร้งแสดงละครหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดเอง สรุปก็คือจะไม่มีทางทำลายชื่อเสียงและพฤติกรรมการเดิมพันของคนเป็นเจ้ามือเด็ดขาด เหตุผลนั้นง่ายมาก การค้าทุกอย่างในใต้หล้านี้ที่จบลงในครั้งเดียว ล้วนไม่ถือเป็นการค้าที่ดี ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราคือบุคคลที่ต้องได้เป็นเซียนกระบี่อย่างจริงแท้แน่นอน อายุขัยยืนยาว หากไม่แข็งแกร่งช่ำชองเสียเลยจะเป็นไปได้อย่างไร

นอกจากประโยคสุดท้ายของเถ้าแก่รองแล้ว ตอนนั้นชายฉกรรจ์ได้ยินแล้วก็ไม่มีหน้าจะพูดคล้อยตามอะไร แต่ทุกประโยคช่วงต้น ชายฉกรรจ์กลับรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าพลางอาบแสงแดดไปด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใด แรกเริ่มรู้สึกเพียงว่าเหล้านี้ไม่แพง สามารถซื้อดื่มได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่นี้รสชาติดีมากจริงๆ

ชุยตงซานควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะเหล้าเบาๆ แล้วเริ่มดื่มเหล้า

หากพูดถึงการสืบเสาะตรวจสอบจุดที่ละเอียดอ่อนของจิตใจคน อย่าว่าแต่พวกผีพนันและผีขี้เหล้าเหล่านี้เลย เกรงว่าแม้แต่เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถทัดเทียมลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้

จิตใจคนบนโลกมนุษย์ เวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีแต่ตัวเองที่กินอิ่ม มีเพียงการป้อนที่ไม่เคยอิ่ม

หนึ่งปีกว่ามานี้ที่อาจารย์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกการกระทำของเขามองดูเหมือนวุ่นวายไร้ระเบียบ แต่อันที่จริงแล้วชุยตงซานกลับเห็นว่าเรียบง่ายมาก ไม่มีความอืดอาดกับด้านใจคนแม้แต่น้อย

ก็หนีไม่พ้นสองเรื่องอย่างการยืมใช้สิ่งของ และการฉกฉวยโอกาส

เมื่อเทียบกับอาจารย์ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้แล้ว ก็คือคนสองคน

ยืมใช้สิ่งของ

ก็ได้แก่ร้านเหล้า เหล้า ผักดอง บะหมี่หยางชุน กลอนเดี่ยวคำโคลงคู่ แผ่นป้ายสงบสุขที่แขวนไว้เต็มผนัง ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ ตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ พัดพับ พัดกลม

ฉกฉวยโอกาส

คือพวกสี่คนที่เฝ้าด่านซึ่งมีฉีโซ่ว ผังหยวนจี้เป็นหนึ่งในนั้น คือลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอย่างพวกเฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว คือตลอดทั้งจวนหนิง คือตำแหน่งลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องของจั่วโย่ว คือเซียนกระบี่ทุกคนที่มาดื่มเหล้าที่นี่แล้วทิ้งตัวอักษรไว้บนป้ายสงบสุข คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีจำนวนมากยิ่งกว่า คืออวี้เจวี้ยนฟูสตรีผู้สูงศักดิ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คือคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคนที่จ่ายเงินซื้อตราประทับและพัดพับ

เมื่อทำสองเรื่องนี้ได้สำเร็จ นอกจากจะสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ยังสามารถทำเรื่องอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้อีก

ปกป้องตัวเอง สิ่งที่ปกป้องคือชีวิตของตัวเอง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือปกป้องเจตนาเดิมของตัวเอง จะยินดีคิดให้มากขึ้นหรือไม่ว่า ทุกการกระทำทุกคำพูดของข้าส่งผลร้ายต่อคนบนโลกหรือไม่ อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงว่าสุดท้ายจะทำได้หรือไม่ พูดแค่ว่ายินดีหรือไม่ยินดี นี่ก็ทำให้ต่างจากคนอื่นราวฟ้ากับเหวแล้ว ไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำร้ายคนอื่น แต่ขอแค่ยินดีคิดถึงเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า

แต่ในสายตาของชุยตงซาน ตอนนี้อาจารย์ของตนยังคงหยุดอยู่ในขั้นที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เดินวนอยู่ตรงขั้นนี้ มองดูเหมือนถูกผีบังตา ตนเองได้แต่รับความกลัดกลุ้มความกังวลที่อาจเกิดขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดี

เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ทำดีแล้วจะได้ชั่ว กับความเป็นไปได้ที่ทำชั่วแล้วจะได้ดี อาจารย์ยังไม่คิดให้มากความ ตอนนั้นที่อยู่นอกบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เหตุใดเขาที่เป็นลูกศิษย์ถึงได้จงใจพูดเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน จงใจพูดให้เรื่องที่เดิมทีเรียบง่ายกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนดั่งพุ่มหญ้ารกที่แตกกิ่งก้านสาขาจนอาจารย์ของตัวเองลำบากใจ? เขาชุยตงซานไม่ใช่แค่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำสักหน่อย แน่นอนว่าต้องเพราะมีเจตนา และอาจารย์ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ได้เจตนาร้าย ก็แค่ยังไม่รู้ความหมายที่ลึกซึ้งก็เท่านั้น

แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทุกย่างก้าวที่อาจารย์เดินไป เดินได้อย่างมั่นคง ต่อให้เดินได้ช้าหน่อยก็ไม่มีปัญหา ยามยกมือยกเท้าย่อมต้องมีลมเย็นโชยเข้าชายแขนเสื้อ มีแสงจันทร์สาดส่องอยู่บนหัวไหล่อย่างแน่นอน

สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่น จะแค่มอบให้ผู้อื่นอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าทำบุญทำทานแก่คนอื่นเขา ไม่อย่างนั้นยกให้เปล่าๆ ก็ยังได้ เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนอื่นจะรั้งไว้ได้อยู่ กลับกลายว่าจะเป็นการเพิ่มผลกรรมเสียเปล่าๆ

สร้างประโยชน์แก่โลกใบนี้ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตแล้ว หรือควรพูดอีกอย่างหนึ่งว่าต้องดูว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะยอมตกลงหรือไม่

ไม่ผิดต่อเจตจำนงเดิม พอเหมาะพอดี ขยับไปทีละขั้นตอน ไตร่ตรองรอบคอบไร้ช่องโหว่ ลงมือทำอย่างสุดความสามารถ มีเก็บมีปล่อย ทำได้อย่างราบรื่น

มองปราดๆ

ชวนให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง

สรุปแล้วเฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์เหมือนฉีจิ้งชุนมากกว่า หรือเหมือนชุยฉานมากกว่ากันแน่?

เหตุใดภายหลังเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานถึงได้สร้างสถานการณ์ถามใจขึ้นมาในทะเลสาบซูเจี่ยน พยายามที่จะชักคะเย่อให้รู้ผลแพ้ชนะที่แท้จริงกับฉีจิ้งชุนอีกครั้ง? ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นว่าอาจารย์ของเขาชุยตงซาน แท้จริงแล้วเมื่อก้าวเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลับคล้ายจะกลายมาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่แท้จริงกับเขาชุยฉานหรอกหรือ? นี่จะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจที่สุดในใต้หล้าหรือไร? ดังนั้นชุยฉานจึงคิดว่าแม้ไม่อาจทำให้ฉีจิ้งชุนที่ตายไปแล้วยอมรับว่าพ่ายแพ้ได้ แต่นั่นกลับเป็นการแก้มือชิงชัยชนะกลับมาได้อย่างเปิดเผยสำหรับในใจชุยฉาน ตอนที่เจ้าฉีจิ้งชุนมีชีวิตอยู่เคยคิดหรือไม่ว่า เลือกไปเลือกมา สุดท้ายกลับมาเลือก ‘ศิษย์พี่ชุยฉาน’ อีกคนหนึ่งก็เท่านั้น?

ถึงเวลานั้นชุยฉานก็สามารถหัวเราะเยาะฉีจิ้งชุนที่คิดไปคิดมาอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูนานหกสิบปีได้แล้ว เพราะสุดท้ายแล้วคนที่คิดว่าสามารถ ‘ช่วยตัวเองอีกทั้งยังช่วยคนอื่นได้’ กลับไม่ใช่คนอย่างฉีจิ้งชุน ที่แท้ก็ยังเป็นคนอย่างเขาชุยฉานอยู่ดี ใครแพ้ใครชนะ แค่มองก็รู้แล้ว

ก่อนหน้านี้เหตุใดซิ่วไฉเฒ่าถึงต้องแยกจิตวิญญาณของเจ้าตะพาบชุยฉานกับข้าชุยตงซาน ก็ไม่ใช่เพราะต้องการใช้วิธีของผู้อื่นมาจัดการตัวเขาเองเหมือนกันหรอกหรือ? ให้ชุยฉานได้รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดยังคงไม่ถูกต้องทั้งหมดอยู่ดี?

นี่ก็คงเป็นวิชาเฉพาะที่ซิ่วไฉเฒ่าผู้ซึ่งไร้ฝีมือการเล่นหมากล้อมคอยเก็บซ่อนอำพราง ไม่บอกกล่าวแก่ผู้ใดมาตลอดชีวิตกระมัง

ส่วนเผยเฉียนที่มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่าก็คือวิธีการวางหมากอย่างไร้เหตุผลของซิ่วไฉเฒ่า

ชุยตงซานดื่มเหล้าหนึ่งถ้วย คีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ รสชาติออกจะเค็มไปสักหน่อย นับว่าอาจารย์ยังทำการค้าอย่างมีจริยธรรม ยอมเปลืองเกลือถึงขนาดนี้

พิศมองอารามเต๋า

เต๋าพิศมองเต๋า

ซิ่วไฉเฒ่าหวังให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองพิศมองแค่ความดีเลวของใจคนจริงๆ หรือ?

ไม่ใช่อย่างแน่นอน

รู้ความดีเลวของใจคนแล้วอย่างไร อาจารย์ของเขาชุยตงซานได้เดินอยู่บนเส้นทางที่เป็นศัตรูกับตัวเองมานานแล้ว รู้แล้ว อันที่จริงก็แค่รู้แล้วเท่านั้น แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากพออยู่ดี

ความตั้งใจที่แท้จริงของซิ่วไฉเฒ่ายังคงหวังให้มองความเร็วความช้าของใจคนให้มากขึ้น เพื่อที่จะยืดขยายออกไปเป็นความเป็นไปได้นับพันนับหมื่น ความดีความเลวในเรื่องนี้ อันที่จริงได้เกี่ยวพันไปถึงทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากกว่า และดูเหมือนว่าจะไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า

และนี่ก็เกี่ยวพันไปถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องหนึ่ง