บทที่ 1208 ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,208 ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?

หลังจากนั้น

ผู้ชี้แนะกระโปรงขาวชิงเล่ยก็นับจำนวนสินค้าและประเมินราคาให้หลินเป่ยเฉินเสร็จสิ้น

“กราบเรียนคุณชาย ข้าน้อยประเมินราคาสินค้าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว คุณชายจะได้รับคะแนนศรัทธาสามหมื่นเจ็ดหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยยี่สิบเอ็ดแต้มเจ้าค่ะ”

ชิงเล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด “แล้วราคาที่ผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงสามารถเสนอได้คือเท่าไหร่?”

ชิงเล่ยแสดงสีหน้าละอายแก่ใจเล็กน้อย ก่อนตอบตามความจริง “หากเป็นผู้ชี้แนะกระโปรงม่วง ก็สามารถเสนอได้ในราคาคะแนนศรัทธาสามหมื่นเก้าหมื่นเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดแต้มเจ้าค่ะ”

มีความต่างกันถึงหนึ่งหมื่นสองพันเจ็ดร้อยเก้าสิบแต้ม

นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อย

“กราบเรียนคุณชาย ความแตกต่างของราคามีมากเกินไป คุณชายได้โปรดคิดดูให้ถี่ถ้วน” เซียวจื่อหรานผู้ที่ดวงตาร้อนผ่าวยังคงกล่าวยังไม่ยอมแพ้ “หากคุณชายต้องการ ข้าน้อยสามารถ…”

“ข้าไม่ต้องการ”

หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะทันที

เขาหันหน้ากลับไปกล่าวต่อเกอสือเหนียนว่า “ท่านช่วยไล่หญิงอัปลักษณ์นางนี้ไปให้พ้นหน้าข้าได้หรือไม่? ข้ารู้สึกอยากอาเจียนทุกทีที่เห็นหน้านาง”

“เจ้า…”

เซียวจื่อหรานพลันตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

หากเปลี่ยนเป็นบุรุษหนุ่มผู้อื่น ขอแค่นางเอ่ยปากเชื้อเชิญเช่นนี้ รับรองว่าไม่มีผู้ใดสามารถทนทานความอ่อนหวานของนางได้ มีหรือที่เซียวจื่อหรานจะเคยถูกบุรุษกล่าววาจาหยาบคายใส่หน้ามาก่อน?

หรือว่าผู้ที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะทมิฬผู้นี้จะเป็นสตรี?

“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”

เกอสือเหนียนหันกลับมาถลึงตาใส่เซียวจื่อหราน

เซียวจื่อหรานทั้งเดือดดาลทั้งอับอาย แต่สุดท้ายนางก็ต้องเดินย่ำเท้าบิดเอวจากไปด้วยความเจ็บใจ

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าชิงเล่ย

เขานึกสงสารสตรีนางนี้ขึ้นมาจับใจ จึงถามออกไปว่า “หากท่านจะเลื่อนขั้นจากระดับผู้ชี้แนะกระโปรงขาวขึ้นสู่ผู้ชี้แนะระดับกระโปรงแดง ไม่ทราบว่าต้องทำยอดให้ได้ถึงเท่าไหร่?”

ชิงเล่ยชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ปั้นหน้ายิ้ม ตอบกลับมาว่า “หากการซื้อขายกับคุณชายครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ข้าน้อยก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นสู่ผู้ชี้แนะระดับกระโปรงแดงได้แล้วเจ้าค่ะ”

“ประเสริฐ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็จัดการเลยเถอะ”

เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีหมายเลขกำไลผลึกแก้วกิเลนของกันและกันแล้ว การโอนคะแนนศรัทธาสามหมื่นเจ็ดหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยยี่สิบเอ็ดแต้มจึงเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนบนดินแดนทวยเทพจะสามารถหาเงินได้ง่ายมาก

แล้วทำไมเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงได้จนกรอบเช่นนั้น?

หากนางไม่มีเงิน ก็น่าจะสามารถเข้ามาล่าอสูรที่นี่ได้ไม่ยากนี่นา?

หรือเพราะนางขี้เกียจเกินไป?

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

“ใต้เท้าเกอเป็นผู้ดูแลการเลื่อนขั้นของแม่นางชิงใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเกอสือเหนียน

ชายอ้วนหัวเราะในลำคอ “ใช่แล้วขอรับ หอการค้าของเรานอกจากให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับหนึ่งแล้ว เรายังให้ความสำคัญต่อเจ้าหน้าที่ของเราเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอีกด้วย…ชิงเล่ย เจ้ามานี่สิ ข้าจะทำเรื่องเลื่อนขั้นให้เจ้าโดยทันที”

ชิงเล่ยพยักหน้าและหันกลับมาโค้งคำนับให้แก่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง “ขอบคุณคุณชายมากแล้ว”

ดูเหมือนหญิงสาวจะสำนึกในบุญคุณของหลินเป่ยเฉินเสียเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนหัวเราะด้วยความพอใจ “ด้วยความยินดี หลังการค้าขายครั้งนี้จบลง ข้ายังมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษากับแม่นางชิงเล่ยต่อ”

ชิงเล่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อยราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้น บรรดาผู้คนที่รับชมเหตุการณ์โดยรอบต่างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที

ที่แท้เด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นี้ยอมเสียคะแนนศรัทธานับหมื่นแต้ม ก็เพื่อต้องการจะเชยชมความงามของสตรีนางนี้เอง

นับเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดนัก

ใบหน้าที่สวยงามของชิงเล่ยแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

นางไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรกล่าวว่าอย่างไร

ชิงเล่ยกำลังกังวลและสับสน

นางรู้ดีว่า ‘ข้อเสนอ’ ของเซียวจื่อหรานคืออะไร

ในเมื่อคุณชายท่านนี้ไม่สนใจเซียวจื่อหรานและเปลี่ยนตัวนายหน้าค้าขายกลับมาเป็นนาง นั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่า คุณชายคงสนใจในตัวนางแล้วกระมัง?

ชิงเล่ยไม่แน่ใจว่าตนเองยินดีมอบ ‘ข้อเสนอ’ เช่นเดียวกับเซียวจื่อหรานหรือไม่?

นางต้องการจะปฏิเสธเขาหรือไม่?

แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนดีมากกว่าเกอสือเหนียนหลายร้อยเท่า…

ชิงเล่ยเดินตามเกอสือเหนียนกลับเข้าไปในคูหาด้านหลังเพื่อทำเรื่องเลื่อนตำแหน่ง

อารมณ์ความรู้สึกของนางกำลังว้าวุ่นสับสน

ขณะนี้ เซียวจื่อหรานยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าคูหา นางจ้องมองมาด้วยสายตาเคียดแค้นและอิจฉาริษยา

“ครั้งนี้นับว่าเจ้าโชคดี… แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะโชคดีตลอดไป ลูกค้าเข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่ข้ากับใต้เท้าเกอยังต้องทำงานกับเจ้าต่อไปอีกนาน จงสำนึกเอาไว้ให้ดี”

ชิงเล่ยก้มหน้าก้มตา ไม่พูดคำใด

นางเดินตามหลังเกอสือเหนียนผ่านหน้าเซียวจื่อหรานไป

“ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”

เซียวจื่อหรานกัดฟันกรอด ลดเสียงลงเป็นกระซิบด้วยความอาฆาต “วันนี้เจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ชี้แนะกระโปรงแดงก็จริง แต่อีกไม่นาน เจ้าก็จะต้องถูกลดขั้นลงมาอยู่ที่ระดับกระโปรงขาวเช่นเดิม เจ้าไม่สามารถหนีพวกข้าไปได้ตลอดชีวิตหรอก และเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า”

ชิงเล่ยยังคงไม่พูดคำใด

สีหน้าของนางมีความสงบสุขุมมากขึ้นแล้ว

ความวิตกกังวลก่อนหน้านี้สลายหายไป

ชิงเล่ยตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

นางเดินเข้าไปในห้องทำงานของใต้เท้าเกอและทำการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

“เหอเหอเหอ สาวน้อย ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าได้เป็นผู้ชี้แนะระดับกระโปรงแดงแล้ว”

เกอสือเหนียนกล่าว ยื่นมือออกมาโอบเอวของชิงเล่ย “ค่าใช้จ่ายในการเลื่อนตำแหน่งข้าออกให้เจ้าทั้งหมด ไม่ทราบว่าเจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรบ้าง?”

ชิงเล่ยถอยหลังกลับไป กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใต้เท้าเกอ ช่วยให้ความเคารพข้าน้อยด้วย”

ใบหน้าประดับรอยยิ้มของชายอ้วนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

เขาหัวเราะในลำคออย่างเหยียดหยาม “สาวน้อย คิดหรือว่าเจ้าจะอวดเก่งเช่นนี้ได้ตลอดไป บุตรสาวของเจ้ายังคงป่วยไม่หาย เจ้าต้องการใช้เงินตลอดเวลา แม้การค้าขายรอบนี้จะทำให้เจ้าได้เงินก้อนโต แต่มันเพียงพอที่จะเลี้ยงดูพวกเจ้าได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น แล้วเดือนต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร?”

ชิงเล่ยกัดริมฝีปากของตนเอง สีหน้าแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางไม่พูดอะไรออกมา

แต่กิริยาท่าทีบอกชัดว่าชิงเล่ยไม่รับข้อเสนอของชายอ้วน

เกอสือเหนียนแสยะยิ้มและกล่าวคุกคามต่อไป “เจ้าจงรู้เอาไว้เสียเถอะ ว่าลูกค้ารายนี้เป็นคนใหญ่คนโต เจ้าเป็นเพียงดอกไม้ริมทางของเขาเท่านั้น หลังจากนี้ เขาก็จะทอดทิ้งเจ้า และสิ่งที่เจ้าเผชิญมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ข้าก็จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าต้องอย่าลืมว่าสถานีขนส่งแดน 4 ข้าเป็นคนดูแล เจ้าลองคิดดูให้ดีเถอะว่าสมควรปฏิเสธข้อเสนอของข้าหรือไม่?”

“ใต้เท้าได้โปรดมอบป้ายประจำตัวแผ่นใหม่ให้แก่ข้าน้อยด้วย”

ชิงเล่ยกล่าวตัดบทเสียงเรียบ “ลูกค้ารายใหญ่ของเรายังคงรอคอยข้าน้อยอยู่ด้านนอก”

“เจ้า…”

เกอสือเหนียนไม่คาดคิดเลยว่าตนเองพูดออกมาถึงขนาดนี้ หญิงสาวกลับยังไม่ยอมติดกับดักโดยง่าย ชายอ้วนจึงกล่าวด้วยความแค้นเคืองว่า “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกไปรับรองเขาเถอะ คอยดูก็แล้วกันว่าเดี๋ยวเจ้าก็ต้องกลับมาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้าเอง”