หลินสวินตอบรับอย่างตรงไปตรงมา แต่ก่อนจะลงมือ มือเท้าของเขาได้ทำให้บริเวณรอบๆ กลับคืนสภาพเดิมอย่างคล่องแคล่ว

จากนั้นเขาให้พวกจี้ซิงเหยาเข้าอุโมงค์ก่อน เขาถึงค่อยสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ทิ้งร่องรอย

วู้ม!

ทันใดนั้นสุสานที่เดิมทีแยกออกประสานกันอีกครั้ง อุโมงค์นั่นก็หายไปด้วย

ทางเดินอุโมงค์สว่างไสวทั้งแถบ อีกทั้งกระแสอากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นสดชื่น กำจายกลิ่นอายสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน

ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าภายใต้สุสานที่ลึกลับนี้ ไม่เพียงแค่ไม่มีความอึมครึมเลยสักนิด กลับเหมือนแดนพิสุทธ์แห่งหนึ่ง

ทุกคนต่างเก็บความตื่นเต้นมุ่งหน้าไปอย่างระมัดระวัง

ไม่นานพวกเขาต่างพบอย่างแปลกใจว่า ช่องว่างใต้สุสานนี้ราวกับขยายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ

และพวกเขาต่างรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ เล็กลง

นี่ไม่ใช่การคิดไปเอง สามารถบอกได้เพียงว่า ภายใต้สุสานนี้เป็นช่องว่างที่คดเคี้ยว ดูเหมือนธรรมดา ความจริงกว้างขวางอย่างหาที่สุดไม่ได้!

ฮูม

ตรงหน้าจู่ๆ เสียงคลื่นที่ราวกับฟ้าร้องคำรามดังก้องขึ้น เดินหน้าได้ไม่นาน ทะเลสาบน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็สะท้อนเข้ามาในสายตา

ปราณกระบี่เป็นสายๆ ที่ขาวราวกับหิมะน้ำแข็งมากมายโฉบออกมา ราวกับแท่งน้ำแข็งพลิกตัว เป็นประกายระยิบระยับ แหลมคมอย่างที่สุด มีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว

กระแสอากาศรอบๆ ก็เย็นเยียบปานเสียดกระดูก พื้นดินรอบๆ ทะเลสาบควบรวมเป็นชั้นน้ำแข็งใสหนา

แม้เป็นพวกหลินสวิน ทันทีที่มาถึงต่างขนลุกโดยพร้อมเพรียงกัน กระแสอากาศเย็นเฉียบเกินไป แทรกซึมเข้าในขั้วกระดูกและจิตวิญญาณ!

ในทะเลสาบปราณกระบี่ขาวหิมะอัดแน่น เดือดพล่านราวกับคลื่นน้ำ แฝงกระไอหนาวเย็นและแหลมคม

แต่สายตาของทุกคนถูกบัวน้ำแข็งขาวหิมะดอกหนึ่งกลางทะเลสาบดึงดูดไปแทบจะในทันที

บัวน้ำแข็งสุกใส บริสุทธิ์งดงาม ในเกสรกลับมีเปลวเพลิงขาวหิมะโปร่งใสกำลังลุกโชน

พร้อมกับที่เปลวเพลิงส่ายไหวอยู่ในเกสรดอกไม้ ปราณกระบี่ขาวหิมะในทะเลสาบก็พลิกตลบไปด้วย สะท้อนรับซึ่งกันและกัน งดงามมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ

อึก!

ก็ไม่รู้ว่าใครกลืนน้ำลาย ส่งเสียงดังออกมา ในบรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ฟังเสียดหูมากเป็นพิเศษ

แต่ไม่มีใครสนใจแล้ว

เพราะทุกคนล้วนดูออก ว่าบนบัวน้ำแข็งที่อยู่กลางทะเลสาบนั่นควบรวมออกมาเป็นเพลิงมรรคต้นกำเนิด! และคุณภาพก็สูงมาก!

“พี่เจิ้นเคยได้ยินเรื่องเพลิงมรรคเช่นนี้หรือไม่”

โม่เทียนเหอสายตาร้อนระอุ จ้องตรงตำแหน่งที่ห่างไกลนั่นอย่างไม่คลาดสายตา

“ดูแล้วคล้าย ‘เพลิงเร้นหิมะสวรรค์’ แต่คุณภาพสู้เพลิงมรรคต้นกำเนิดที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลยสักนิด!”

สายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงเป็นประกายอย่างที่สุด

ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดเดาว่าใต้สุสานนี้จะต้องมีเพลิงมรรคต้นกำเนิดซ่อนอยู่ แต่พอเห็นจริงๆ ก็ยังเก็บความดีใจและตื่นเต้นไว้ไม่อยู่

นี่ คือศุภโชคใหญ่ที่แม้พบเจอก็ไม่สามารถร้องขอได้!

“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้มีเพลิงมรรคต้นกำเนิดเพียงแค่ดวงเดียว แม้พวกเราได้มา แต่จะแบ่งกันอย่างไร”

จี้ซิงเหยาพูดเช่นนี้ ในใจทุกคนต่างกระตุกวูบ ความคลั่งไคล้ในสมองลดน้อยลงไปไม่น้อย ประสานสายตากัน ต่างลังเลอยู่บ้าง

“ที่แห่งนี้สหายยุทธ์จินนำทางพวกเรามา ข้าเสนอว่าสิ่งนี้ควรจะเป็นของสหายยุทธ์จินก่อน”

เหนือความคาดหมายของทุกคน อิ๋นเสวี่ยเอ่ยปาก จะยกเพลิงมรรคต้นกำเนิดดวงนี้ให้กับหลินสวิน

คนอื่นๆ มองหน้ากัน สายตาวูบไหว

แม้แต่หลินสวินยังออกจะประหลาดใจ พลันยิ้มพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าว่าที่แห่งนี้อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ เพลิงมรรคต้นกำเนิดที่ซ่อนอยู่ต้องไม่น้อยแน่ ครั้งนี้ข้าได้ร่วมขบวนกับทุกท่านก็ขอบคุณอย่างยิ่งแล้ว เพลิงมรรคดวงนี้ทุกท่านตัดสินใจกันเองเถอะ”

ทุกคนสีหน้าผ่อนคลายลง สายตาที่มองหลินสวินก็อ่อนโยนลงมาก

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “พี่จิน สหายเช่นเจ้าข้าขอคบด้วย เจ้าวางใจ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ข้าจะช่วยเจ้าช่วงชิงเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่เจ้าพอใจมาให้ได้”

โม่เทียนเหอเองก็เอ่ยขึ้น “ไม่ผิด สหายยุทธ์จินเป็นคนใจกว้างมีคุณธรรม ทั้งเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า ไม่ใช่คนอื่นคนไกลมาตั้งนานแล้ว อีกเดี๋ยวตอนเคลื่อนไหว หากสหายยุทธ์จินมีความต้องการใดข้ายินยอมช่วยสุดความสามารถ”

คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้า

เดิมทีจี้ซิงเหยายังแอบบ่นอุบ คิดว่าหลินสวินเลอะเลือนไปหน่อย ถึงกับทิ้งวาสนายอดเยี่ยมโดยไม่ไขว่คว้า ยอมให้คนอื่นง่ายๆ

แต่ตอนนี้นางพอจะเข้าใจบ้างแล้ว

หากหลินสวินจะช่วงชิงวาสนาที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่เกรงใจ จะต้องนำมาซึ่งการขัดแย้งและต่อต้านกับเจิ้นอวิ๋นเฟิงและโม่เทียนเหอแน่ ต่อให้ไม่เกิดการต่อสู้ แต่ก็เกิดปมในใจขึ้นอย่างแน่นอน

ในการเคลื่อนไหวหลังจากนี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์ของหลินสวินแย่ลง

แต่ตอนนี้การที่เขายอมถอยก้าวหนึ่ง กลับทำให้เป็นที่ยอมรับและได้รับความรู้สึกดีๆ จากพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอ ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียด และยังเป็นผลดีต่อการเคลื่อนไหวในภายหน้า

เพียงแต่หากหลินสวินรู้ความคิดของจี้ซิงเหยาเข้า จะต้องหลุดขำอย่างแน่นอน

เขาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น จากการสังเกตด้วยจิตรับรู้และนัยน์ตาเฉาเฟิงหลายครั้งก่อนหน้านี้ เขามั่นใจแล้วว่าแม้เพลิงมรรคต้นกำเนิดนี้มีคุณลักษณะหายาก แต่กลับไม่เหมาะกับตน

ดังนั้นเขาจึงยอมถอยให้อย่างใจกว้าง

มิฉะนั้นแม้ต้องแตกหักกับโม่เทียนเหอและเจิ้นอวิ๋นเฟิงอย่างสิ้นเชิง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

สุดท้ายหลังจากหารือกัน เพลิงมรรคต้นกำเนิดที่อยู่ตรงหน้าก็ตกเป็นของเจิ้นอวิ๋นเฟิง

ตูม!

เจิ้นอวิ๋นเฟิงที่สกัดกั้นความตื่นเต้นไม่ไหวตั้งนานแล้วลงมือในทันที โคจรพลังปราณ มือขวากลายเป็นสีดำสนิทราวกับหมึกดำขึ้นมาทันที รายล้อมด้วยเพลิงมรรคเจิดจ้า คว้าไปยังกลางทะเลสาบผ่านอากาศ

ฉึก!

แต่ขณะอยู่ระหว่างทาง ในทะเลสาบพลันมีปราณกระบี่ขาวหิมะพุ่งออกมา ขวางกั้นการโจมตีนี้ไว้

ในเวลาเดียวกันมีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งที่เหมือนควบรวมจากหิมะน้ำแข็งปรากฏขึ้น

“สุดยอดไปเลย สถานที่แห่งวาสนาระดับนี้ ถึงกับยังมีสิ่งมีชีวิตคุ้มครองอยู่ พิสูจน์ได้เพียงว่าเพลิงมรรคต้นกำเนิดนี้วิเศษยิ่ง”

สายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงสว่างไสว ยกมือขึ้นใช้ประทับฝ่ามือลงไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง อานุภาพยิ่งใหญ่ทรงพลัง มาถึงระดับอย่างเขา เพียงแค่การโจมตีธรรมดาๆ ก็มีอานุภาพผลาญภูผาต้มสมุทรแล้ว

ร่างของสิ่งมีชีวิตหิมะน้ำแข็งนั่นถูกสยบสังหารทั้งอย่างนั้น!

‘พลังต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดา น่าจะแข็งแกร่งกว่าโม่เทียนเหอนั่นเสียอีก’ หลินสวินคล้ายขบคิด

ครืนโครม!

เหนือความคาดหมายของทุกคน ทะเลสาบหิมะนั่นพลิกม้วน จากนั้นสิ่งมีชีวิตหิมะน้ำแข็งอีกสิบกว่าตัวก็พุ่งออกมา เปลี่ยนเป็นรูปร่างสัตว์ปีศาจ สัตว์ปีก ภูตผี พลังท่วมท้น

“สามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งอมตะเคราะห์ขั้นสองได้ทั้งสิ้น!” จี้ซิงเหยาตกใจ

“ไสหัวไป!”

ผมยาวของเจิ้นอวิ๋นเฟิงโบกสะบัด สายตาราวกับสายฟ้าเย็นเยียบ นิ้วทั้งห้าควบรวมเป็นประทับฝ่ามือแปลกประหลาด ฟ้าร้องลมกระโชก บาดตาอย่างที่สุด

ยามนี้ในฐานะสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มาจากจวนเทพขุมทมิฬแห่งแดนเร้นอริยะ บุคคลแข็งแกร่งที่บรรลุระดับมกุฎราชัน เจิ้นอวิ๋นเฟิงได้สำแดงอานุภาพร้ายกาจของตนออกมา

พลันได้ยินเสียงระเบิดปังๆๆ สิ่งมีชีวิตหิมะน้ำแข็งสิบกว่าตัวนั่นล้วนระเบิดแหลก ถูกเจิ้นอวิ๋นเฟิงโจมตีสังหารอย่างแข็งกร้าว พลานุภาพกวาดล้างจักรวาล ไม่มีใครสู้ได้

นี่ทำให้หลินสวินตัดสินได้อย่างเป็นรูปธรรมในทันที ผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชัน อย่างน้อยก็มีความสามารถพอจะข้ามขั้นไปสังหารราชันอมตะได้แล้ว!

และมกุฎราชันเช่นเจิ้นอวิ๋นเฟิง ก็มีพลังต่อสู้ที่ข้ามสองขั้นไปสังหารคู่ต่อสู้ได้แล้ว!

ก็หมายความว่า ราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองทั่วไป ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเจิ้นอวิ๋นเฟิงแน่

ฉึก!

กลางทะเลสาบเพลิงมรรคขาวหิมะดวงหนึ่งกระโดดออกมา ราวกับรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ไม่สู้ดี ฉีกทึ้งห้วงอากาศหมายจะหนี ดูมีไหวพริบอย่างที่สุด

แต่กลับถูกมือใหญ่ของเจิ้นอวิ๋นเฟิงคว้าเอาไว้แน่นแล้วดึงกลับมา

ตอนที่เขาพลิกฝ่ามือออก ก็เห็นเพลิงมรรคขาวหิมะที่รูปร่างเหมือนกระบี่วิญญาณลอยอยู่ ส่ายไหวโบกสะบัด โปรยละอองแสงงดงามออกมา

“เด็กดี! มีเจ้าแล้ว ต่อไปทวนศึกขุมทมิฬเล่มนั้นของข้ายังจะต้องกังวลเรื่องไม่อาจเปลี่ยนเป็นสมบัติอริยะอีกหรือ” เจิ้นอวิ๋นเฟิงจิตใจฮึกเหิม หัวเราะลั่นไม่หยุด

คนอื่นๆ ต่างเผยความอิจฉาไม่มากก็น้อย

ในโลกภายนอก สิ่งที่สามารถดึงดูดมกุฎราชันอย่างพวกเขามีไม่มาก และเพลิงมรรคต้นกำเนิดก็เป็นหนึ่งในสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ตึงโครม!

หลังจากสูญเสียเพลิงมรรคต้นกำเนิดดวงนี้ไป ทะเลสาบตรงหน้าพลันถล่มลง หายไปจากครรลองสายตาของทุกคนอย่างว่องไว

“ไป เดินหน้าต่อ หลังจากนี้ข้าจะช่วงชิงวาสนาเช่นเดียวกันนี้ให้กับทุกคน!”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม

ท่าทางได้ใจนั่นแม้จะดูเย่อหยิ่งเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้จะยึดครองทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว เพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้หลินสวินวางใจลงไม่น้อยแล้ว

อย่างที่ทุกคนคาดเดา ภายใต้สุสานนี้ซ่อนเพลิงมรรคต้นกำเนิดไว้ไม่ใช่น้อยๆ

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งถ้วยชา ต้นไม้เทพที่แปลกประหลาดต้นหนึ่งก็ปรากฏในสายตาของทุกคน

ต้นไม้ต้นนี้เหมือนหล่อขึ้นจากทองและเหล็กทั้งต้น ส่องแสงโลหะระยิบระยับ ลำต้นกิ่งก้านล้านเลี่ยน บนกิ่งมีเพลิงมรรคสีทองอร่ามดวงหนึ่งแขวนอยู่

ระหว่างที่เพลิงมรรคนั่นส่ายไหว ห้วงอากาศโดยรอบปรากฏปราณกระบี่สีทองแสบตามากมาย พุ่งทะลวงขึ้นฟ้าเสียงชิ้งๆ ศักดิ์สิทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

พูดถึงคุณลักษณะ ไม่เหมือนเพลิงมรรคที่เจิ้นอวิ๋นเฟิงได้รับเลยสักนิด!

“ปรากฏการณ์ประหลาดกระบี่ทองพุ่งทะลวงฟ้าที่พวกเราเห็นนอกสุสานโบราณก่อนหน้านี้ คงไม่ได้เกิดจากเพลิงมรรคต้นกำเนิดดวงนี้หรอกกระมัง”

จั่นลู่ซิวเผยสีหน้าคลั่งไคล้ ดูหวั่นไหวอย่างที่สุด

ทว่าตามข้อตกลง เพลิงมรรคดวงนี้จะเป็นของเรือนกระบี่เร้นปุจฉา

ตูม!

โม่เทียนเหอลงมือแล้ว และก็ถูกสกัดขวางเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งมีชีวิตโลหะมากมายที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้ แต่ละตัวราวกับหล่อขึ้นจากทองจากเหล็ก พลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

แต่สุดท้ายก็สู้โม่เทียนเหอไม่ได้ ถูกสังหารจนสิ้น

เพลิงมรรคต้นกำเนิดสีทองดวงนั้นจึงถูกโม่เทียนเหอครอบครองไป

จนถึงตอนนี้ในใจทุกคนยิ่งคาดหวัง มีเพลิงมรรคต้นกำเนิดถูกช่วงชิงไปสองดวงแล้ว พิสูจน์ให้เห็นว่าเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่กระจายอยู่ในโลกใต้สุสานนี้ มีมากกว่าที่พวกเขาจินตนาการอย่างไม่ต้องสงสัย

ในการเดินทางต่อจากนั้นพวกเขาเจอกลุ่มเมฆสีเขียวลอยพลิ้วอยู่บนอากาศ ในก้อนเมฆก็หล่อเลี้ยงเพลิงมรรคต้นกำเนิดไว้เช่นกัน

เพลิงมรรคนั่นเปลี่ยนเป็น ‘โคมไฟโบราณ’ สีเขียว มหัศจรรย์อย่างยิ่ง พูดถึงคุณลักษณะ ถึงขั้นเหนือกว่าเพลิงมรรคต้นกำเนิดสองดวงก่อนหน้านี้เสียอีก

สุดท้ายสมบัติชิ้นนี้ถูกจี้ซิงเหยาครอบครองไป

ตามที่ตกลงกัน หลังจากนี้หากเจอเพลิงมรรคต้นกำเนิดอีกก็จะถึงตาหลินสวินแล้ว

กับเรื่องนี้แน่นอนว่าหลินสวินไม่มีความเห็น แม้จะใช้ไม่ได้ ก็สามารถเก็บเอาไว้ ต่อไปจะยกให้ใครก็ย่อมได้

ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ไม่นานภูเขาเปลวเพลิงสีเงินลูกหนึ่งก็ปรากฏในสายตาทุกคน

เพลิงมรรคสีเงินยวงดวงหนึ่งลอยอยู่ตรงยอดเขา แผ่แสงประกายที่ราวกับมายาดุจดั่งความฝัน

“คุณลักษณของเพลิงมรรคนี้ไม่ธรรมดาเลย!”

พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างตระหนักได้ว่า คุณลักษณะของเพลิงมรรคดวงนี้คล้ายจะสูงกว่าที่พวกเขาได้รับก่อนหน้านี้เล็กน้อย ทำให้พวกเขาต่างหวั่นไหว

วาสนาระดับนี้ ใครกล้าเกี่ยงว่าน้อย

แต่สุดท้ายพวกเขาก็อดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ทำผิดข้อตกลง ระหว่างทางหลินสวินทำให้พวกเขาประทับใจไม่น้อย ก็ไม่ถึงกับต้องแย่งชิงของรักกัน

——