บทที่ 1970 รัวดาบฟันฟ่อนฟาง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เขาจงใจเน้นเสียง

“ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ แต่ขายแค่ในทัพใต้ จะไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “สิ่งนี้ต่างจากร้านขายของชำ ธุรกิจผูกขาดแบบนี้ จะขายที่ไหนก็คือการขาย ถ้าวางขายในอาณาเขตทัพใต้ คนที่อยากซื้อก็ต้องมาซื้อที่เขตทัพใต้ เส้นทางไกลหน่อยก็ไม่เป็นอะไร ไม่แน่ว่าเพื่อที่จะซื้อของสิ่งนี้ เดิมทีคนซื้อที่ต้องการซื้อสินค้าของที่อื่นอาจจะถือโอกาสผ่านทางมาซื้อที่นี่ด้วยก็ได้”

ฮ่าวเต๋อฟางเงียบไปครู่หนึ่ง คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถามว่า “เจ้าก็ขายเองได้ไม่ใช่เหรอ จะแบ่งกำไรครึ่งหนึ่งมาให้อ๋องผู้นี้ทำไม”

นี่คือการถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่เหมียวอี้ก็ย่อมมีวิธีการพูด “ศักยภาพของข้ามีจำกัด ถ้าข้านำของสิ่งนี้มาขายคนเดียว ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้เลย ในปีนั้นร้านขายของชำซื่อตรงที่ข้าสร้างเองกับมือก็กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว นับประสาอะไรกับระฆังดาราแบบใหม่ เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ข้าคงไม่ได้หุ้นสักส่วนด้วยซ้ำ ถ้ามอบให้ท่านอ๋องอย่างน้อยข้าก็ได้ครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็ประกาศแล้วว่าจะรับประกันผลประโยชน์ของข้าในอาณาเขตทัพใต้ ถ้าข้าไม่ไปร่วมงานกับท่านอ๋องแล้วจะให้ไปหาใคร?”

“ก็เป็นคนชัดเจนดี” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวชมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้ม “เพียงแต่อ๋องผู้นี้กระเพาะใหญ่มาก เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์มาแบ่งกับข้าคนละครึ่ง ข้าต้องการแปดส่วน ส่วนที่เหลือสองส่วนเจ้าเก็บไว้ เจ้าคงไม่มีอะไรไม่พอใจหรอกใช่มั้ย?” เขากำลังรังแกเหมียวอี้เพราะเหมียวอี้เปิดเผยก้นบึ้งมาแล้ว ขอเพียงเขาปล่อยข่าวออกไป ว่าเหมียวอี้มีวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ขนาดท่านอ๋องยังพูดแบบนี้แล้ว ข้ายังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก แปดส่วนกับสองส่วนก็แล้วกัน”

ฮ่าวเต๋อฟางมองมา เขาเองก็พูดไปอย่างนั้นเอง รอให้เหมียวอี้ต่อรองราคา

ซูอวิ้นก็ประหลาดใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงอย่างใจถึงขนาดนี้ ธุรกิจประเภทนี้ถ้าผลกำไรหายไปสักส่วนก็แย่แล้ว นับประสาอะไรกับหายไปรวดเดียวสามส่วน

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้?” ฮ่าวเต๋อฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ต้องไว้หน้าท่านอ๋องอยู่แล้ว ตกลงตามนี้” เหมียวอี้พยักหน้าตอบรับ ท่วาพูดเสริมอีกว่า “เพียงแต่ข้าต้องการของในมือท่านอ๋องมาแลกกับสามส่วนนั้น”

ฮ่าวเต๋อฟางมองเขาอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าของอะไรในมือข้าที่สามารถแลกการค้ามหาศาลอย่างหุ้นสามส่วนนั้นได้?”

“ข้าจะเอาทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาสนับสนุนท่านอ๋อง!” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น

ฮ่าวเต๋อฟางพลันหรี่ตา “ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาสนับสนุนด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าหวังว่าทัพใต้จะสามารถกลายเป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าของทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ ไม่ให้ใครบุกเข้ามาโจมตีแดนรัตติกาล พร้อมทั้งหวังว่าท่านอ๋องจะปกป้องมากขึ้นเมื่ออยู่ในราชสำนัก และทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะกลายเป็นหน่วยป้องกันแนวหลังให้ท่านอ๋องเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นถ้าในเขตทัพใต้มีคนก่อกวน ข้าก็จะใช้กำลังทหารช่วยรักษาความสงบให้ท่านอ๋อง ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์มาโจมตีท่านอ๋อง ข้าก็จะไม่นิ่งดูดายเช่นกัน มีเพียงเสถียรของท่านอ๋องเท่านั้น ถึงจะเป็นหลักประกันที่ใหญ่ที่สุดให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ ถ้ามองจากบางระดับ สามารถพูดได้ว่าผลประโยชน์ของท่านอ๋องก็คือผลประโยชน์ของข้า ดังนั้นข้าก็จะไม่ให้สถานการณ์อย่างเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเกิดขึ้นในเขตทัพใต้อีก! แม้กำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะมีไม่มาก แต่ถึงยังไงก็กินกำลังพลเก่งๆ ส่วนใหญ่ของสายขาลไว้แล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่ารบเก่งขนาดไหน ช่วยท่านอ๋องควบคุมกำลังพลสายหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ทราบว่าท่านอ๋องคิดยังไงบ้าง?”

ซูอวิ้นกัดริมฝีปาก มองปฏิกิริยาของฮ่าวเต๋อฟาง

ฮ่าวเต๋อฟางตาเป็นประกายไม่หยุด สำหรับเขาแล้ว ความมีเสถียรภาพของกำลังพลในมือคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การค้าขายอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องรอง เมื่อมีอำนาจกับอาณาเขตแล้วยังจะกลัวหาเงินไม่ได้อีกเชียวเหรอ? และสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือ ประมุขชิงอาจจะแบ่งอำนาจในมือเขาอีกครั้ง เขากังวลที่สุดว่าตัวเองจะกลายเป็นอิ๋งจิ่วกวงคนที่สอง กังวลว่าจะมีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองโผล่มาอีก เหมียวอี้พูดแทงใจดำเขาแล้ว ไม่อาจดูถูกศักยภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้เลยจริงๆ ถ้าได้รับการช่วยเหลือจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเหมียวอี้ ก็เรียกได้ว่าลดความกังวลอนาคตของเขาไปได้มาก

สายตาเขาชำเลืองไปที่เหมียวอี้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเขาแล้ว เขาก็อยากจะดึงเหมียวอี้มาเป็นพวกตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ที่จริงก็คิดมาตลอด เพียงแต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงระงับความคิดนี้ไว้ และถึงแม้การร่วมงานแบบนี้จะไม่สามารถทำให้เหมียวอี้มาอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ แต่กลับได้ผลดีเหมือนกัน

“ฮ่าๆ!” จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงหัวเราะลั่น เดินเข้าไปใกล้เหมียวอี้แล้วตบบ่า “ผู้สำเร็จราชการหนิวเป็นผู้มีความสามารถ อ๋องผู้นี้ชื่นชมมานานแล้ว” เขาหันกลับมาตะคอก “จัดการเลี้ยง! อ๋องผู้นี้จะดื่มกับผู้สำเร็จราชการหนิวสักสองจอก!”

“รับทราบ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเช่นกัน รีบเดินไปสั่งงานตรงหน้าประตู

จากนั้นสุราอาหารเลิศรสและดนตรีเพิ่มความบันเทิงก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางอัธยาศัยไมตรีดีมาก และดีใจมากเช่นกัน นั่งกินเลี้ยงเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง บุญคุณความแค้นอะไรที่มีต่อเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ล้วนโยนทิ้งไปหมดแล้ว

ในระหว่างที่กินดื่มก็คุยรายละเอียดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้แนวโน้มของการร่วมงานกัน เรื่องร้านขายของชำซื่อตรงกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางไม่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ

ส่วนเหมียวอี้กลับหาโอกาสเอ่ยถึงเรื่องนี้ “ไม่ปิดบังท่านอ๋อง อาจารย์ของข้าคืออสุราอัคนี สภาพแวดล้อมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของข้ามาก แล้วแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็อยู่บนอาณาเขตท่านอ๋อง ปกติเฝ้าไว้เข้มงวดมาก ยากที่จะเข้าไปได้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องช่วยเปิดทางให้สักหน่อยได้หรือไม่?”

แม้ครั้งก่อนจะเอ่ยเรื่องนี้กับผังก้วน เขาก็รู้ว่าผังก้วนมีวิธีการพาเขาเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ลองคิดไปคิดมา เขาก็ยังตัดสินใจจะฉวยโอกาสทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟางและผังก้วน ก็ย่อมเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สะดวกมาก ถ้าฮ่าวเต๋อฟางไม่ตอบตกลง เขาก็ทำได้เพียงไปหาผังก้วน

ฮ่าวเต๋อฟางกลับยกจอกสุราดื่มอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสะดวก แม้แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะอยู่ในอาณาเขตของเขา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาฝ่ายเดียว แต่ช่วยเฝ้ารักษาการณ์ให้ทั้งตำหนักสวรรค์ เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่เสนอเงื่อนไขว่า “เจ้าเข้าไปได้แค่คนเดียว!”

เหมียวอี้ยิ้มแล้ว พยักหน้าซ้ำๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ให้คนอื่นเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์” พูดจบก็ยกจอกสุราดื่มฉลอง

หลังจากเจรจารายละเอียดแล้ว เหมียวอี้กับฮ่าวเต๋อฟางก็ตัดสินใจร่วมงานกันอย่างลับๆ การจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่ ภายนอกถือเป็นของฮ่าวเต๋อฟาง การสนับสนุนกันและกันก็จะไม่ประกาศออกไป ถ้าที่อาณาเขตของฮ่าวเต๋อฟางมีปัญหาเมื่อไร เหมียวอี้ก็จะใช้กำลังทหาร และถ้าเหมียวอี้พบปัญหายุ่งยากอะไร ฮ่าวเต๋อฟางก็จะช่วยแก้ไขเช่นกัน เพื่อหาข้ออ้างปิดบังการประกาศก่อนหน้านี้

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลฮ่าวนานเกินไป หลังจากเลี้ยงฉลองกันไปยกหนึ่งก็แยกย้าย แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คือ ฮ่าวเต๋อฟางส่งนางระบำให้เขาเสียเลย นอกจากนี้ยังส่งยอดหญิงงามให้เขาอีกห้าสิบกว่าคน รวมแล้วมอบสาวงามให้ร้อยคน

ด้วยความที่ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญ เหมียวอี้ทำได้เพียงรับไว้ เก็บพวกนางระบำเอาไว้คอยรับแขกที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ส่วนสาวงามห้าสิบคนนั้นเขาก็ไม่กล้าเสพสุข เพราะอวิ๋นจือชิวก็ไม่ชาเล่นๆ เตรียมจะมอบเป็นรางวัลให้พวกลูกน้องในภายหลัง

เมื่อทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟางได้แล้ว ก็เท่ากับกำจัดความกังวลในภายหลังของแดนรัตติกาลได้แล้ว

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็หมดความกังวลในภายหลังเช่นกัน สามารถสืบหาไม้ไม่ผุได้เต็มที่ มีทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เขาก็ไม่กลัวว่าจะมีลูกน้องทรยศอีก

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ก็เริ่มจัดระเบียบอย่างเด็ดขาด กำลังพลที่กระจายไว้ตามตลาดสวรรค์อต่ละแห่งก่อนหน้านี้ ทั้งหมดหดกลับเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ ถ้ามียศเหมาะสมแล้วก็ยัดเข้าไปในตลาดสวรรค์ของทัพใต้ให้หมด ฮ่าวเต๋อฟางมองอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในเขตทัพใต้ให้เขาอย่างแท้จริงแล้ว การแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในตลาดสวรรค์ เหมียวอี้ก็มีอำนาจตัดสินใจ เงื่อนไขก็ย่อมไม่อาจทำลายผลประโยชน์ของฮ่าวเต๋อฟางที่ตลาดสวรรค์ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็มีวิธีเรียกคืนอำนาจในอาณาเขตตัวเองอยู่แล้ว

การเคลื่อนไหวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไม่น้อย เท่ากับเหมียวอี้เป็นฝ่ายทิ้งอำนาจอย่างอื่นของตลาดสวรรค์ก่อนแล้ว ย่อมทำให้เกิดความสั่นสะเทือน

แต่สำหรับเหมียวอี้ การหดกำลังนี้ก็เป็นสิ่งที่จนใจเช่นกัน เขาเองก็อยากจะยึดครองอำนาจทั้งหมดของตลาดสวรรค์ แต่ตลาดสวรรค์พวกนั้นอยู่บนอาณาเขตของพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ฝ่ายต่างๆ กำลังของตัวเองยากจะเอื้อมไปถึง ความคิดบางอย่างของหยางชิ่งนั้นไม่ผิด แต่เหมียวอี้ไม่อยากพัวพันอยู่กับผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายไม่จบไม่สิ้น วิธีการใช้อุบายรับมือของหยางชิ่งเสียเวลาและพลังงานเกินไป เขาจึงรัวดาบฟันฟ่อนฟาง[1]เสียเลย หดกำลังกลับมาอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองควบคุมได้ง่าย หดมือที่ยื่นออกไปกลับเข้ามากำหมัด มีฮ่าวเต๋อฟางคอยกันอยู่ข้างหน้า บวกกับกำลังของตัวเองตอนนี้ ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่อง ใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาง่ายๆ

เหมียวอี้ยินดีเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจผลประโยชน์ที่ตลาดสวรรค์ก่อน อำนาจฝ่ายอื่นย่อมเฝ้ารอให้เขาทำอย่างนี้ กอปรกับตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายกำลังสืบหาเรื่องไม้ไม่ผุ ไม่ได้ก่อคลื่นลมที่สูงเท่าไรนัก

เรื่องพวกนี้เหมียวอี้ไม่ได้ปรึกษาหยางชิ่งล่วงหน้า หลังจากเกิดการเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์แล้ว หยางชิ่งถึงได้รู้

หลังจากรู้เรื่องแล้ว หยางชิ่งก็ตกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงทิ้งผลประโยชน์มหาศาลที่หามาอย่างยากลำบากทิ้งไป จึงรีบติดต่อมาถามสถานการณ์จากเหมียวอี้

เหมียวอี้ไม่ได้คายความลับเรื่องใช้ประโยชน์แดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อฝึกตน ส่วนเรื่องที่เหลือก็บอกตามความจริง หยางชิ่งเองก็นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนจะสร้างระฆังดาราแบบใหม่ออกมาแล้ว สามารถสนับสนุนกำลังทรัพย์มหาศาลได้อีกช่องทางหนึ่ง ไม่ต้องสิ้นเปลืองความพยายามมากมายก็ยึดครองตลาดสวรรค์ทั้งหมดได้แล้ว

หยางชิ่งกลุ้มใจนิดหน่อยที่ฉินเวยเวยไม่บอกเขาล่วงหน้า แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด คาดว่าเยารั่วเซียนหลอมสร้างของวิเศษอะไรได้ก็คงไม่บอกฉินเวยเวย เวลามีอะไรเยารั่วเซียนก็จะบอกเหมียวอี้และฮูหยินโดยตรง

เมื่อได้รู้เจตนาที่แท้จริงของเหมียวอี้ หยางชิ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลาก็เก็บระฆังดารา จากนั้นก็เงียบไป

“นายท่าน เขาว่ายังไงบ้าง?” ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ เข้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบา

“ความคิดของเขาไม่ได้ผิด สามารถทิ้งผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ได้ ทำงานใหญ่ได้ กล้าหาญเด็ดเดี่ยวกว่าข้าเสียอีก เรียบง่าย คล่องแคล่วว่องไว…” หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างใจคอแห้งเหี่ยว พบว่าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะแยกจากหยางชิ่งไม่ได้

สิ่งที่ทำให้เขาใจคอแห้งเหี่ยวจริงๆ ก็คือ พบว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังเขาทุกอย่าง เวลาที่ควรจะใช้ความคิดของตัวเองก็ไม่เลอะเลือนเลยสักนิด ไม่ถูดขาจูงจมูก

เหมียวอี้ไม่สนใจหรอกว่าหยางชิ่งจะคิดอย่างไร ตอนที่หยางชิ่งติดต่อเขามา เขาก็กำลังเปลือยร่างกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงกับเฟยหงแล้ว

พอติดต่อกับหยางชิ่งจบแล้ว เหมียวอี้กับเฟยหงก็พลิกเมฆคว่ำฝนกันอีกยกหนึ่ง จากนั้นก็คุยปรึกษากับเฟยหงอีกเล็กน้อย

เฟยหงที่ผมยุ่งสยายซบอยู่ในอ้อมอกของเขา นางพลันเงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ “บอกเรื่องนี้กับตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอคะ?”

เหมียวอี้ลูบไล้แผ่นหลังที่เหลี้ยงเกลาของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ให้ตำหนักสวรรค์รู้ก็ไม่เป็นอะไร ช้าเร็วก็ต้องถูกตำหนักสวรรค์มองเบาะแสออกอยู่ดี ข้ายิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว ตำหนักสวรรค์ทำอะไรข้าไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งรายงานสถานการณ์ที่นี่ตามความจริง ก็ยิ่งทำให้แม่เจ้าปลอดภัย ถึงจะเหลือโอกาสช่วยแม่เจ้าออกมา หน่วยตรวจการขวาก็ยิ่งเชื่อใจเจ้า ในภายหลังถึงจะแสดงบทบาทได้มากขึ้น”

“ค่ะ!” เฟยหงพยักหน้า แล้วส่งจุมพิตบนริมฝีปากเขาเบาๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ

จากนั้นเหมียวอี้ก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องเหมียวอี้ เขาไม่สนใจว่าเรื่องของไม้ไม่ผุข้างนอกจะเดือดพล่านขนาดไหน เอาแต่ผลักดันเรื่องร้านค้าใหม่ด้วยตัวเอง เรียบง่ายป่าเถื่อนกว่าการทำงานของหยางชิ่งมาก ส่งคำเชิญสมาคมร้านค้าให้เซี่ยโห้วลิ่ง สมาคมวีรชน โค่วหลิงซวี ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อโดยตรง ตัดกลุ่มอำนาจที่ได้ส่วนแบ่งหุ้นเล็กน้อยของร้านขายของชำก่อนหน้านี้ทิ้งแล้ว ไม่สนใจอะไรจุกจิกหยุมหยิม

………………………


[1] รัวดาบตัดฟ่อนฟาง 快刀斩乱麻 หมายถึงใช้วิธีการที่เด็ดขาดแก้ไขปัญหายุ่งเหยิง