บทที่ 1978 อวี้หลัวช่าทำตัวแปลก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ช่วงเวลาที่ฝึกตนมันน่าเบื่อไร้รสชาติ แต่สำหรับเหมียวอี้ในตอนนี้ การมีสภาพแวดล้อมฝึกตนที่มั่นคงอย่างนี้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว

แต่ก็ไม่ถึงขั้นอยู่ที่เดิมโดยไม่ไปไหนเลย เหมียวอี้ปรับสมดุลโดยอิงจากความคืบหน้าในการดูดซับธาตุไฟหยางและธาตุไฟหยิน สลับไปมาระหว่างทุ่งน้ำแข็งโบราณและหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ…

และไม่ได้หลบอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์โดยไม่ออกมาเช่นกัน ขอเพียงถึงเวลาที่ภายนอกต้องการให้เขาต้องออกหน้าด้วยตัวเอง เขาก็จะออกไป

มีการสนับสนุนจากฮ่าวเต๋อฟางและผังก้วน ตอนนี้การเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ง่ายมากสำหรับเขา ไม่กังวลด้วยว่าประมุขชิงจะรู้ เขาเป็นฝ่ายปล่อยข่าวให้ประมุขชิงรู้แล้วว่าเขามาฝึกตนที่นี่ ทำลายความเคลือบแคลงของประมุขชิงล่วงหน้าแล้ว

ครั้งแรกที่ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เป็นตอนที่สำนักงามวิจิตรหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ได้จำนวนมากพอ เป็นเวลาวางจำหน่ายระฆังดาราในตลาดแล้ว เหมียวอี้ออกหน้าคุมแดนรัตติกาล ป้องกันไม่ให้ระฆังดาราอบบใหม่กับระฆังดาราแบบเก่าปะทะกันด้านผลประโยชน์แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดให้ต้องรับมือ

โชคดีที่ฮ่าวเต๋อฟางต้านไว้ให้ อาศัยกำลังของฮ่าวเต๋อฟางก็ยังไม่มีใครกล้าพาลเกเรมายึดครองทรัพย์สินส่วนตัวของเขาบนอาณาเขตของเขา

เพียงแต่ด้วยคำแนะนำของฮ่าวเต๋อฟาง ทั้งสองฝ่ายยังเอาหุ้นไปคนละหนึ่งส่วน มอบให้อำนาจแต่ละฝ่ายเพื่อชดเชยความเสียหาย เรื่องบางเรื่องฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่มีทางเลือก เขาเองก็จะไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับอำนาจทุกฝ่ายไม่ได้ เวลาที่ควรประนีประนอมก็ยังต้องประนีประนอม คิดเสียว่าเสียเงินฟาดเคราะห์

กอปรกับเรื่องไม้ไม่ผุ แม้อำนาจแต่ละฝ่ายจะสืบไม่เจอผลลัพธ์ แต่อำนาจพวกนั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ภายใต้ฉากหลังแบบนี้ การปะทะด้านผลประโยชน์จากการวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่จึงผ่านพ้นไปได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่ารอให้มีเรื่องก่อนเหมียวอี้ถึงจะออกมา เขากำหนดเวลาออกไปเยี่ยมอีกฝ่ายเป็นระยะ

นอกจากออกไปข้างนอกในบางครั้งแล้ว เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์

ภายใต้สถานการณ์ของด้านนอกในปัจจุบัน เรื่องที่ทำให้เขาออกไปข้างนอกได้มีไม่เยอะ แม้แต่การเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานหลวงที่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รวมถึงให้เขา เขาก็ทิ้งโอกาสนั้นไปแล้ว ส่วนใหญ่เรือนพักที่อุทยานหลวงของเขาจะว่างอยู่อย่างนั้น เขาไม่เคยเข้าไปพักเลย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงขนาดอยากจะหาตำแหน่งให้เขาบนราชสำนัก แต่เขาเป็นฝ่ายปฏิเสธเอง

เขาเข้าสู่สภาวะจำศีลโดยสมบูรณ์ ในสายตาคนนอกที่มองมาก็เป็นแบบนี้ ต่างก็เขารู้ว่าเขาเดินมาถึงตอนนี้ได้ ในช่วงนี้ก็ไม่ควรจะทำอะไรซี้ซั้วอีก การจำศีลคือทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด

แล้วตอนที่เขาเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ผังก้วนก็ไม่เคยถามเขาเรื่องที่ซ่อนสมบัติอีกเลย

เหมียวอี้คาดว่าตอนแรกที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สิ่งที่เขาบอกผังก้วนไหวคงได้ผลแล้ว ความเงียบของผังก้วนพิสูจน์แล้วว่าผังก้วนไม่ได้คิดถึงความคืบหน้าขั้นต่อไปอีก

ไม่กลัวว่าเขาจะมีแผนการ กลัวก็แต่เขาจะไม่มีแผนการ นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้ยินดีอยากจะเห็น

ส่วนทรัพยากรการฝึกตน อาศัยกำลังและกำลังทรัพย์ของเหมียวอี้ในปัจจุบัน ก็ย่อมไม่ขาดแคลน ลูกแก้วพลังปรารถนาที่จำเป็นก็แลกมาได้ง่ายมาก ถึงอย่างไรก็มีกำลังพลหลายสิบล้าน

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในห้องสมาธิ เยี่ยนเป่ยหงกำลังนั่งขัดสมาธิ ในที่สุดสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติแล้ว

เหมียวอี้นั่งอยู่ข้างหลังเขา ใช้ฝ่ามือสองข้างกดแผ่นหลังของเขา ตอนนี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆ หยุดใช้วิชา

ทั้งสองทยอยกันลงจากเตียงศิลา เหมียวอี้ขมวดคิ้วบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ยน ตามหลักการเมื่อก่อน เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายท่านจะกำเริบออกมาตอนบรรลุระดับใหญ่ๆ ไม่ใช่เหรอ ดูจากตอนนี้สิ เหมือนจะถี่กว่าเมื่อก่อนนะ”

เยี่ยนเป่ยหงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตั้งแต่วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชกลาย ทุกครั้งที่วรยุทธ์สูงขึ้นหนึ่งขั้น มันก็จะกำเริบหนึ่งครั้ง อาจจะเป็นเพราะในแต่ละขั้นดูดกลืนของมากเกินไปละมั้ง” เขาหันกลับมามองเหมียวอี้ “โชคดีที่เจ้าช่วยข้าแก้ไขปัญห ไม่อย่างนั้นข้าคงควบคุมตัวเองไม่ได้ไปนานแล้ว”

“เคล็ดวิชาฝึกตนของท่านจะถูกเปิดโปงไม่ได้เด็ดขาด ต้องระวังตัวไว้ ถ้าเปิดโปงเมื่อไหร่ ประมุขชิงไม่ปล่อยไปแน่นอน อาศัยอำนาจของข้าตอนนี้ปกป้องท่านไม่ได้” เหมียวอี้โน้มน้าว นอกจากโน้มน้าวเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เยี่ยนเป่ยหงทำแบบนั้นอันตรายเกินไป แต่เจ้าตัวก็ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เขาเองก็ควบคุมไม่ได้

“เรื่องนี้จะวางใจได้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจ ข้าจะไม่ลงมือง่ายๆ เด็ดขาด” เยี่ยนเป่ยหงกล่าว

เหมียวอี้ได้แต่ขมวดคิ้วพยักหน้า ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีกแล้ว

ใต้หล้าดูสงบ การต่อสู้บางอย่างในที่ลับและที่แจ้งคือสิ่ง มองจากภายนอกก็ไม่อาจรับรู้ สถานการณ์โดยรวมมีเสถียรภาพชั่วคราว ใต้หล้าเหมือนจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สงบอีกแล้ว

เพียงชั่วดีดนิ้ว เวลาห้าพันปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับนักพรตที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลานาน เวลาผ่านไปเร็วเหมือนฝัน ห้าพันปีก่อนก็เหมือนเมื่อวาน

เหมียวอี้ที่กลับมาสู้โลกภายนอกยังคงเหมือนเดิม ทุกครั้งที่กลับเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็จะนำอาหารบางอย่างที่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่มีมาให้เฮยทั่นด้วย

ในหุบเขาทุ่งน้ำแข็งโบราณ อาหารนานาชนิดกองเป็นภูเขา เฮยทั่นดื่มด่ำอยู่ไหนหุบเขาน้ำแข็งยังมีความสุข

บางครั้งเฮยทั่นก็จะวิ่งมาดูเขาเหมือนกัน ตั้งแต่โดนเหมียวอี้ลงโทษอย่างหนักครั้งนั้น มันก็เชื่อฟังขึ้นเยอะ บวกกับก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ฝึกตนอยู่ที่นี่ด้วย มันก็สงบใจแล้วเช่นกัน ในปีแรกๆ มาทุกวันแต่ไม่เห็นเหมียวอี้ มีความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์อยู่บ้าง

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนหน้าผาน้ำแข็ง กำลังมองเฮยทั่นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรถึงได้ เขาหันตัววิ่งเข้าไปในภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อมาถึงนอกรังหงส์ รายงานและได้พบเทพสตรี ก็นำของขวัญบางอย่างจากด้านนอกมอบให้

ด้วยการขอร้องจากเทพสตรีทั้งสอง เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ด้านนอกให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็เอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย “ตอนที่เฮยทั่นวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้ เวลาก็ผ่านไปไม่น้อยแล้ว ผ่านไปห้าพันปีกว่า ทำไมถึงยังไม่กลายร่างเป็นคนอีก หรือว่าการที่เผ่ามังกรจะกลายร่างเป็นคนจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้?”

“รู้หรือเปล่าว่าทำไมเทพมังกรเฉียนถึงเกลียดขี้หน้าเฮยทั่น?” หวงถามด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เฮยทั่นค่อนข้างดื้อรั้น ทำให้คนเกลียดขี้หน้าข้าก็พอจะเข้าใจได้”

หวงที่นั่งอยู่เบื้องบนส่ายหน้า “แต่จะว่าไปอาจารย์ของท่านก็มีวาสนากับเผ่ามังกรจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะมันดื้อรั้นหรอก เฮยทั่นวิวัฒนาการมาจากอาชามังกร ส่วนที่มาของอาชามังกรก็เกี่ยวข้องกับผ่ามังกร ในอดีตมีคนของเผ่ามังกรคนหนึ่ง ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ไปรักกับองค์หญิงเผ่าอาชาสวรรค์ ตอนหลังในบรรดาลูกหลานของทั้งสองมีคนวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้เหมือนกับเฮยทั่น มังกรตัวนี้มีพรสวรรค์ต่างจากผู้อื่น ไม่ยอมเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ยอมปฏิบัติตามเจตจำนงของเผ่ามังกร ทรยศออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องการจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ก่อหายนะใหญ่หลวง แทบจะทำให้ผ่ามังกรถูกกำจัด ที่สังคมใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของราชันสวรรค์ก็เกิดจากเขานี่แหละ ต้องทราบไว้ว่าตอนนั้นสร้างผลกระทบไว้ใหญ่โตขนาดไหน ตอนหลังเผ่ามังกรขอให้อาจารย์ปู่ของท่านลงจากเขามาช่วยเหลือ แม้มังกรตัวนั้นจะถูกอาจารย์ปู่สังหารไปแล้ว แต่อาจารย์ปู่ท่านก็ถูกมังกรตัวนั้นโจมตีจนตกต่ำเพราะรักษาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่ได้ เผ่ามังกรรู้สึกผิดต่ออาจารย์ปู่ท่าน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สายของอาจารย์ท่านก็สร้างไมตรีกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้เฮยทั่นก็มีพรสวรรค์พิเศษเหมือนกัน ดื้อรั้นควบคุมยากเหมือนกัน เกรงว่าจะไม่ให้เฉียนคิดมากก็คงยาก”

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เหมียวอี้เข้าใจทันที ก็สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาของอาชามังกรที่เคยฟังมา ส่วนตอนหลังเกิดอะไรขึ้นเขาก็เคยฟังเป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับที่เฮยทั่นกลายร่างเป็นคน?”

หวงยิ้มบางๆ “เฮยทั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เหมือนกับมังกรที่ถูกอาจารย์ปู่ของท่านสังหาร คงเป็นเพราะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามังกร เวลาในการกลายร่างก็นานกว่าเผ่ามังกรทั่วไป แล้วก็เป็นเพราะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ บางทีคงเป็นเพราะในตัวมีเลือดผสมของเผ่ามังกรกับเผ่าอาชาสวรรค์ เผ่ามังกรทั่วไปมีแค่พรสวรรค์อย่างเดียว แต่มังกรตัวที่อาจารย์ปู่ท่านสังหารไปกลับมีพรสวรรค์สองอย่าง เฮยทั่นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ทั้งสามารถเรียกเมฆเรียกฝนควบคุมสายฟ้า ทั้งยังมีกำลังป่านเถื่อนจนน่าตกใจ ในปีนั้นที่ท่านประมือกับมัน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านรู้จักทำลายช่องโหว่ อาศัยวรยุทธ์ของท่านตอนนั้นอาจจะต้านการโจมตีของมันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียวก็ได้ มังกรตัวที่อาจารย์ปู่ท่านสังหารยังมีอีกอย่างที่ไม่เหมือนเผ่ามังกรทั่วไป เผ่ามังกรโดยทั่วไปถ้าออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์นานๆ ไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายเพื่อสะสมบุญกุศลเป็นเวลานาน ก็จะขาดความสามารถในการกลายร่าง แต่เขานั้นแตกต่าง เพราะหลังจากกลายร่างสำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่ย่อยปราณชั่วร้ายเพื่อสะสมบุญกุศล แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ นี่ก็คือสาเหตุที่เขากล้าต่อต้านเจตจำนงเผ่ามังกรและทรยศหนีออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ คาดว่าหลังจากเฮยทั่นกลายร่างสำเร็จแล้ว ก็อาจจะเป็นอย่างนี้เช่นกัน นี่คือเรื่องดีสำหรับเฮยทั่นหลังจากออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ดังนั้นท่านก็อดทนรอสักหน่อย”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เหมียวอี้กล่าวขอบคุณที่ช่วยชี้แนะ เขาโล่งใจแล้ว ยังนึกว่าร่างกายเฮยทั่นมีปัญหาอะไรเสียอีก ถ้าเฮยทั่นไม่สามารถกลายร่างได้ เขาก็ไม่สะดวกจะพาเฮยทั่นออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์…

เวลาอันยาวนานสามหมื่นปี เวลาสามหมื่นปีผ่านไปแล้ว

ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว บนหน้าผาสูงหมื่นจั้ง โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังห้าหน้าหาแสงจันทร์ส่องสว่าง

สายลมอ่อนและแสงจันทร์คลายความเศร้าใจกลัดกลุ้มในใจเขา ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวก็ยิ่งเข้มข้น แม้เรื่องไม้ไม่ผุจะเริ่มจืดจางไปเพราะเบาะแสขาดหาย แต่ทุกครั้งที่นึกถึง โค่วหลิงซวีก็อดไม่ได้ที่จะเสียดาย

มีคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนหน้าผา ทั้งคู่ทำความเคารพโค่วหลิงซวี เป็นถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงนั่นเอง

“มีเรื่องอะไรรีบร้อนมาที่นี่” โค่วหลิงซวีหันหลังถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ถังเฮ่อเหนียนตอบเสียงเบาอยู่ข้างหลังเขาว่า “นายท่าน จากการวางกำลังในหลายปีมานี้ ได้รู้เส้นทางของอวี้หลัวช่ามาคร่าวๆ แล้ว อย่างอื่นไม่มีความผิดปกติอะไร เพียงแต่ช่วงนี้ไปยังบริเวณที่กองทัพองครักษ์ค้นหาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่ซ่อนสมบัติหรือเปล่สขอรับ”

ในปีนั้นที่เหมียวอี้เอ่ยถึงสมบัติลับสำนักหนานอู๋ หลังจากสงสัยว่าอวี้หลัวช่ากำลังค้นหาสมบัติลับสำนักหนานอู๋ โค่วหลิงซวีก็สนใจมาตลอด

จะไม่ให้สนใจก็คงยาก สมบัติที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปก็จ้องตาเป็นมันน แล้วโค่วหลิงซวีจะไม่ใจเต้นได้อย่างไร เขาคิดหาทางจับตาดูความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่ามาโดยตลอด

โค่วหลิงซวีหันตัวมา ขมวดคิ้วบอกว่า “กองทัพองครักษ์กำลังคนหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป สมบัติลับสำนักหนานอู๋คงไม่ได้ซ่อนอยู่ที่นั่นหรอกใช่มั้ย?”

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “เกรงว่าจะพูดยากขอรับ คนอื่นต่างก็นึกว่าอวี้หลัวช่ากลัวพระปีศาจหนานโป ถึงได้จับตาดูบริเวณ แต่ช่วงนี้เหมือนสถานการณ์จะแปลกไป ช่วงนี้นางสนใจถี่ไปหน่อย บ่าวสงสัยว่านางอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วหรือเปล่า ทว่าอยากจะสืบรายละเอียดก็ไม่ค่อยสะดวก ถึงอย่างไรทางนั้นก็คืออาณาเขตที่กองทัพองครักษ์ค้นหา ไม่มีทางรู้ทิศทางความเคลื่อนไหวโดยละเอียดของอวี้หลัวช่าได้”

“สงสัยจะมีปัญหาบางอย่างจริงๆ” โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างอย่างเฉียบขาด “หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น กำลังพลของสี่ทัพที่ค้นหาก็ถอนกำลังกลับ เหลือเพียงกองทัพองครักษ์ ประมุขชิงเองก็อยากจะให้สี่ทัพให้ความร่วมมือ แบบนี้ พวกเราก็ดึงกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือได้ คาดว่าประมุขชิงคงอยากเห็นแบบนั้น”

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า เข้าใจความคิดของเขา อ้างว่าให้กำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือกับการค้นหาของกองทัพองครักษ์ แต่ที่จริงแล้วจะไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า

หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่อวี้หลัวช่าไปที่นั่นบ่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับที่ซ่อนสมบัติ แต่เป็นเพราะนางจับตาดูความคืบหน้าในการค้นหาของกองทัพองครักษ์มาตลอด เรื่องที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้น เดิมทีนางนึกว่ากองทัพองครักษ์ค้นหาไม่เจอสถานที่ผนึกแล้วจะล้มเลิก แต่นางประเมินความแน่วแน่ของประมุขชิงต่ำเกินไป ประมุขชิงไม่เคยล้มเลิก กองทัพองครักษ์ค้นหาอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่มาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็เข้าใกล้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปแล้ว

…………………………