บทที่ 1222 ห้าอัจฉริยะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,222 ห้าอัจฉริยะ

พื้นที่ตอนกลางของเมืองเยี่ยเฉิง

หอคอยสูงตระหง่าน

“นี่ก็ผ่านมาได้หกวันแล้ว ทำไมถึงยังหาตัวไม่เจออีก?”

เทพธิดาสาวผู้ถูกเรียกขานว่าใต้เท้าเหลียนจ้องมองลูกสมุนผู้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าอันงดงามสมบูรณ์แบบของนางแสดงออกถึงความไม่พอใจ

“เป็นผู้ต่ำต้อยไร้ความสามารถ”

“ขอเชิญใต้เท้าได้โปรดลงโทษผู้ต่ำต้อยด้วย”

องครักษ์ทั้งสี่ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

ใต้เท้าเหลียนโบกสะบัดมือ “ข้าไม่เคยสงสัยในความสามารถของพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าหาไม่เจอ นั่นก็หมายความได้เพียงอย่างเดียวว่าหัวขโมยตะเกียงไฟเทวะดวงนั้น คงปิดกั้นพลังปราณในโลหิตของตนเอง เมื่อพวกเจ้าเข้าใกล้นาง โลหิตจึงไม่ได้ทำปฏิกิริยาอย่างที่ควรจะเป็น”

ความรู้สึกผิดบนสีหน้าของบรรดาองครักษ์เริ่มเลือนรางลงไป

“ไม่มีผู้ใดจะฉลาดล้ำเกินใต้เท้าอีกแล้ว”

สี่องค์รักษ์พร้อมใจกันประสานเสียง

ใต้เท้าเหลียนกล่าวต่อ “เราต้องเปลี่ยนวิธีการตามหา พวกเจ้าไปตรวจดูสิว่ามีผู้ใดบ้างที่สามารถปิดปราณเทวะในกระแสโลหิตของตนเองได้บ้าง”

“ข้าน้อยรับคำบัญชา”

สี่องครักษ์ก้มหน้าประสานมือรับคำสั่งด้วยความเคารพ หลังจากนั้น ตัวคนก็เปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งหายวับออกไปจากห้องโถงแห่งนี้

“ออกมาได้แล้ว”

ใต้เท้าเหลียนส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง “ทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“อิอิ…”

เด็กสาวผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำค่อย ๆ ปรากฏกายออกมาจากกลางอากาศ “เกรงว่าข้าน้อยก็คงทำให้ใต้เท้าผิดหวังเช่นกันเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าใต้เท้าเหลียน “เพราะเหตุใด อย่าบอกนะว่าเจ้าก็พบเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่คาดฝันเช่นกัน?”

เด็กสาวเสื้อคลุมดำมีนามว่าเสวี่ยไป๋ นางทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นหินเย็นเฉียบด้วยเท้าเปล่าและกล่าวว่า “ข้าน้อยไปตามหามาทุกที่แล้ว ตลอดสามวันแรก ข้าน้อยไม่พบเจอผู้ต้องสงสัยใด ๆ เลย และอีกสามวันต่อมา ข้าน้อยจึงได้เปลี่ยนวิธีตามหาใหม่… ข้าน้อยเข้าไปตีสนิทบรรดาเทพเจ้าหน้าใหม่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงไม่นานนี้ โดยต้องเสียเงินเลี้ยงอาหารพวกเขาไปหลายมื้อเชียวเจ้าค่ะ”

ใต้เท้าเหลียนพยักหน้าและสอบถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าได้อะไรมาบ้าง?”

เด็กสาวเสื้อคลุมดำเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังใต้เท้าเหลียนและรายงานต่อ “ข้าน้อยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเทพเจ้ายอดอัจฉริยะหน้าใหม่ห้าคน คนแรกเป็นมือกระบี่นามว่าซวีเหิง คนต่อมามีนามว่าหลี่อี้เทียน ถัดไปเป็นเทพเจ้ามือสังหารนามว่าลู่จ้ง และเทพเจ้าผู้ใช้ค่ายอาคมฉางจิ้งคง ส่วนคนที่ห้านั้นมีนามว่าฮว่าเซี่ย เป็นคนแจวเรือในแม่น้ำใต้ดินเจ้าค่ะ”

“ยอดอัจฉริยะทั้งห้าอย่างนั้นหรือ?”

ใต้เท้าเหลียนถามด้วยความประหลาดใจ

เสวี่ยไป๋ยิงฟันยิ้มและตอบว่า “ซวีเหิงเพิ่งบรรลุขึ้นมาเป็นเทพเจ้าเมื่อสามเดือนก่อน เขามีฉายาว่าหนึ่งกระบี่สู่ความตาย ว่ากันว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้เลย ซึ่งจัดว่าเป็นมือกระบี่นักรบที่แท้จริง”

“ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เขาสามารถเอาชนะการต่อสู้ได้ทั้งหมดหกสิบเจ็ดครั้ง และมีคู่ต่อสู้ที่มาจากตระกูลเทวะถึงสามสิบเจ็ดคน และหนึ่งในผู้ที่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ซวีเหิงก็คือ ‘เพชฌฆาตกระบี่ไม้’ เจิ้งหลุน เกิดข่าวลือว่าเขาไม่สามารถต้านทานซวีเหิงได้เกินสองกระบวนท่าด้วยซ้ำ และผู้คนต่างก็พากันเล่าขานว่า ฝีมือการใช้กระบี่ของซวีเหิงมีความคล้ายคลึงกับ ‘กระบี่กวาดสวรรค์’ ซวีเซี่ยเกออยู่หลายส่วน และทำให้แวดวงมือกระบี่ในเมืองเยี่ยเฉิงเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาเจ้าค่ะ”

ใต้เท้าเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย

นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก

เด็กสาวชุดดำกล่าวต่อ “คนถัดมาเป็นสตรีอายุเพียงสิบหกปีนามว่าหลี่อี้เทียน นางมีรูปโฉมงดงามอ่อนหวาน ก่อนหน้านี้เคยเข้ารับการทดสอบพลังศักดิ์สิทธิ์กับทางวิหารเทพพงไพรมาตั้งแต่อายุสิบห้าปี แต่การทดสอบทั้งสิบเอ็ดครั้งต่างก็ล้มเหลวหมดทั้งสิ้น”

“ข้าน้อยลองตรวจดูประวัติของนางแล้ว การทดสอบทั้งสิบเอ็ดครั้งนั้น นางทำคะแนนได้ย่ำแย่มาก หากข้าน้อยเป็นผู้ที่ต้องดูแลการทดสอบของนาง ข้าน้อยก็คงสั่งห้ามไม่ให้นางเข้ารับการทดสอบกับทางวิหารอีก แต่โชคดีที่หลี่อี้เทียนมีบิดาเป็นนักรบเทวะประจำวิหารเทพพงไพร นางจึงสามารถเข้ารับการทดสอบได้อีกครั้ง แม้ว่าจะต้องเสียค่าดำเนินการมหาศาลก็ตาม”

“จนกระทั่งห้าเดือนก่อน บิดาของนางที่มีนามว่าหลี่อี้ป๋อถูกบุกโจมตีในวิหารสาขาที่ 67 หลี่อี้เทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนสลบไม่ได้สติอยู่หลายวัน แต่เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา เด็กสาวผู้นี้ก็กลับกลายเป็นอัจฉริยะเสียอย่างนั้น…”

พูดมาถึงตรงนี้ เสวี่ยไป๋ก็อดถอนหายใจด้วยความเหลือเชื่อไม่ได้ “ใต้เท้าคงเดาไม่ออกแน่ว่านางมีความอัจฉริยะในเรื่องใด”

ใต้เท้าเหลียนนิ่งเงียบไม่ตอบคำ

เสวี่ยไป๋จึงกล่าวต่อ “นางกลายเป็นเทพธิดาพยากรณ์ ไม่มีการพยากรณ์ของนางครั้งใดที่จะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเลยสักครั้งเจ้าค่ะ”

ดวงตาของใต้เท้าเหลียนเป็นประกายวูบวาบขึ้นมาทันที

สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ?

ถึงนี่จะไม่นับเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งอันใด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย

“คนต่อมาเป็นมือสังหารแมวน้อยผู้น่ารัก ลู่จ้ง นางไม่รู้จักวิทยายุทธ์และไม่รู้จักพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดทราบว่านางฆ่าคนได้อย่างไร แต่ทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่เคยมีครั้งใดที่ลู่จ้งจะล้มเหลว”

“ดังนั้น แม้ข้าน้อยจะไม่ทราบว่านางสามารถฆ่าคนได้อย่างไร แต่สมาชิกของตระกูลนักรบเทวะจำนวนมากก็ต้องตายด้วยน้ำมือของนาง หนึ่งในนั้นก็คือหนงซินเถียน เทพเจ้าขั้นหกผู้แข็งแกร่งที่เสียชีวิตในงานเลี้ยงของตนเองโดยไม่มีสัญญาณเตือน”

เมื่อเสวี่ยไป๋พูดถึงมือสังหารมนุษย์แมวน้อย น้ำเสียงของนางก็บอกถึงความสงสัยไม่ปิดบัง

“นางก็เพิ่งมีความชำนาญในการฆ่าคนได้ไม่นานใช่หรือไม่?”

ใต้เท้าเหลียนถาม

เสวี่ยไป๋พยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ลู่จ้งเพิ่งมีความสามารถนี้เมื่อครึ่งปีก่อนเท่านั้น”

หลังจากชะงักเล็กน้อย นางก็กล่าวต่ออีกครั้ง “ส่วนเทพเจ้าผู้ใช้ค่ายอาคมมีนามว่าฉางจิ้งคง เขาเองก็โด่งดังเมื่อครึ่งปีก่อนเช่นกัน ประวัติของบุคคลนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ในอดีต เขาเคยเป็นลูกศิษย์เทวะของนักสร้างค่ายอาคมชื่อดัง แต่ภายหลังก็ถูกไล่ออกจากสถานศึกษา เพราะมีความคิดแปลกประหลาดพิสดารมากเกินไป ซ้ำยังไม่ตั้งใจเรียน”

“ด้วยเหตุนี้ ฉางจิ้งคงจึงสาบานว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลายเป็นนักสร้างค่ายอาคมชื่อดังและต้องทำให้อาจารย์เสียใจให้ได้ หลังเสียเวลาค้นคว้าอยู่ถึงสามปีเต็ม ในที่สุด เขาก็สามารถสร้างค่ายอาคมชื่อดังได้เมื่อหกเดือนก่อน มันเป็นค่ายอาคมที่สามารถเอาชนะค่ายอาคมของอาจารย์เขาได้อย่างราบคาบ และจวบจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถสลายค่ายอาคมของเขาได้ทั้งสิ้น”

เสวี่ยไป๋รายงานอย่างต่อเนื่อง

“คนสุดท้ายคือคนแจวเรือจากแม่น้ำใต้ดินฮว่าเซี่ย เขามีสถานะเป็นคนบาปสืบสันดานจากบิดา เดิมทีเป็นคนที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่เมื่อครึ่งปีก่อน เขาได้กลายเป็นคนบาปที่ถูกออกหมายจับด้วยโทษฐานที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง”

“เรื่องของเรื่องก็คือได้มีเทพเจ้าผู้หนึ่งนามว่าตวนเทียนเต๋อเดินทางข้ามแม่น้ำใต้ดิน และเขาบังคับให้ฮว่าเซี่ยใช้เส้นทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าผ่านทาง นอกจากนี้ตวนเทียนเต๋อยังได้ชักกระบี่ออกมาข่มขู่เขาอีกด้วย แต่สุดท้าย เขากลับถูกฮว่าเซี่ยใช้ถ่อไม้ไผ่แทงตาย… ภายหลังพรรคพวกของตวนเทียนเต๋อกลับมาแก้แค้น แต่ทั้งหมดก็ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนแจวเรือหนุ่มผู้นี้ในเวลาชงน้ำชาไม่ถึงหนึ่งถ้วย และฮว่าเซี่ยก็เริ่มมีชื่อเสียงหลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าค่ะ”

เด็กสาวเสื้อคลุมดำรายงานอย่างคล่องแคล่ว

คนแจวเรือไร้ชาติกำเนิดก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นกันหรือ?

หากนี่เป็นความจริง เขาก็จะกลายเป็นตำนานแล้ว

แต่ใต้เท้าเหลียนเป็นบุคคลตำแหน่งใด?

ในฐานะผู้ที่ควบคุมอำนาจสูงสุดของเผ่าเทพพงไพรผู้หนึ่ง มีผู้คนที่แปลกประหลาดพิสดารประเภทใดบ้างที่นางไม่เคยพบเจอ?

เพียงแต่ว่าการที่บุคคลทั้งห้าโด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อครึ่งปีก่อนพร้อม ๆ กัน มันออกจะเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปหน่อย

บังเอิญจนน่าสงสัย

“แล้วก็ยังมีอีกผู้หนึ่งเจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดว่าเขาน่าสนใจพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับยอดอัจฉริยะทั้งห้าคนนั้น ถึงเขาจะไม่นับเป็นตัวอะไรได้ แต่อย่างน้อยก็สมควรให้เอ่ยถึงเจ้าค่ะ”

ในที่สุด เสวี่ยไป๋ก็กล่าวเสริมออกมาว่า “คนผู้นี้มีนามว่าเจี๋ยนเซียวเหยา ไม่มีผู้ใดทราบชาติกำเนิดที่แท้จริง เขาปรากฏตัวครั้งแรกที่โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยในพื้นที่เขต 3 แดนพายัพ ถูกยกย่องให้เป็นบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดประจำเขตแดน ซ้ำยังกวาดล้างสำนักอันธพาลชื่อดังประจำพื้นที่ได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว…”