บทที่ 1224 อัจฉริยะคนใหม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,224 อัจฉริยะคนใหม่

การที่ตระกูลเทวะตระกูลหนึ่งจะยอมรับลูกศิษย์คนใหม่เข้าตระกูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ความแตกต่างระหว่างการรับลูกศิษย์ของชาวยุทธ์ในโลกมนุษย์กับการรับลูกศิษย์ของเทพเจ้าเหล่านี้ก็คือ มนุษย์จะรับลูกศิษย์เพียงเพื่อต้องการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ ในขณะที่เทพเจ้าเมื่อรับลูกศิษย์คนใหม่เข้าตระกูล ก็จะต้องแบ่งปันทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์และยึดถือลูกศิษย์คนนั้นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว

ทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องแบ่งปันกัน

แต่พลังศักดิ์สิทธิ์มีขีดจำกัด

เทพเจ้าแต่ละตระกูลจะแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดล้วนขึ้นอยู่กับพลังศรัทธาจากมนุษย์

และบรรดาลูกศิษย์ที่รับเข้าสู่ตระกูลก็จะทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าคอยรับใช้เทพเจ้าระดับสูงตามคำสั่ง

หน้าที่เหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยการแย่งชิงพลังศรัทธา การเพิ่มจำนวนสาวก การแสดงปาฏิหาริย์ การสร้างศาลเจ้า การปกป้องคุ้มครอง ไปจนถึงการต่อสู้และอีกมากมายหลายอย่าง

เทพเจ้าส่วนใหญ่มักใช้เส้นทางนี้ในการเลื่อนขั้นยกระดับสถานะของตนเอง

นี่คือการถวายตัวรับใช้เทพเจ้าระดับสูง

ยอมเป็นลูกศิษย์คนใหม่ที่ถูกบรรจุเข้าสู่ตระกูล

ตระกูลที่ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับตนเอง

แต่ก็ยังคงมีเทพเจ้าอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดเดินตามเส้นทางนี้ พวกเขาพึงพอใจกับการรวบรวมสาวกด้วยตนเอง และไม่สนใจที่จะเป็นมือเป็นเท้ารับใช้ผู้ใด

ดังนั้น หากมีความสามารถมากพอ เทพเจ้าในกลุ่มนี้ก็จะรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้ที่ถูกจับตามอง

เทพเจ้าในกลุ่มนี้มักจะมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสาวกของตนเอง

ว่ากันว่าหากเทพเจ้าที่เลือกเดินด้วยเส้นทางของตนเอง และรวบรวมพลังศรัทธาจากสาวกมาได้มากพอ พวกเขาเหล่านั้นก็จะสามารถถล่มขุนเขาได้เพียงดีดนิ้วมือเท่านั้น

หากหลินเป่ยเฉินรู้ว่ามีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย เขาก็คงจะต้องเกาะติดตำแหน่งเซียนกระบี่ของตนเองไม่ยอมปล่อยแน่นอน

อืม… บนโลกมนุษย์ เขาก็ยังมีสาวกอยู่อีกมากมายไม่ใช่หรือ?

ทุกคนต่างก็ส่งมอบพลังศรัทธามาให้กับเขา

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

เมื่อเทพเจ้าส่วนใหญ่เลือกวิธีการถวายตัวรับใช้สภาเทพเจ้า จำนวนของเทพเจ้าระดับสูงในดินแดนทวยเทพจึงมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น และยังคงมีเทพเจ้าอีกจำนวนมากที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง

พวกเขาต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองไม่ต่างไปจากพลเมืองธรรมดา

เส้นทางของพวกเขามีแต่ความยากลำบาก

ดังนั้นการเป็นเทพเจ้าจึงไม่ง่าย

ด้วยเหตุนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงมีชีวิตที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เสมอมา เพราะนางอยากจะกำหนดชีวิตด้วยสองมือของตนเอง เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่เคยมีความคิดที่จะฝากตัวรับใช้สภาเทพเจ้าหรือยอมเป็นมือเป็นเท้ารับใช้เทพเจ้าระดับสูงผู้ใด

ดังนั้นนางจึงกลายเป็นเทพเจ้าที่โดดเดี่ยว

แน่นอนว่าถึงนางจะโดดเดี่ยวในดินแดนทวยเทพ แต่บนโลกมนุษย์ นางก็ยังคงพอมีสาวกหลงเหลืออยู่บ้าง

หากตำแหน่งเทพเจ้าเป็นเสมือนร่างกายของตัวคน บรรดาสาวกที่อยู่ในโลกมนุษย์ ก็ไม่ต่างจากเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป

หากคนเราไม่มีเส้นเลือดใหญ่ ชีวิตก็คงถึงคราวจบสิ้นแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวิหารเทพีกระบี่ในอดีตคือเรื่องราวต้องห้ามในดินแดนทวยเทพ มีคนล่วงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นน้อยมาก

ดังนั้นใต้เท้าเหลียนจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนเองในขณะนี้ มีจิตใจรักอิสรเสรีและต่อต้านการทำงานรับใช้ผู้อื่นมาโดยตลอด

แล้วเหตุไฉนนางถึงอยากจะส่งคนของตนเองเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่ในสภาเทพเจ้าเล่า?

นี่คือเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้มากพอ ๆ กับที่พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก

หรือว่านางมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง?

“ท่านคงล้อเล่นแล้ว”

ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของใต้เท้าเหลียน

“เฮอะ ท่านเห็นข้าเป็นคนตลกขนาดนั้นเชียวหรือ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสะบัดผมหางม้าทั้งสองข้างของตนเอง “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจมาเป็นอย่างดีแล้ว”

“ท่านอยากทำงานรับใช้สภาเทพเจ้าหรือ?”

ใต้เท้าเหลียนยิ่งมีแววตาสงสัยมากยิ่งขึ้น “นี่ไม่สมกับเป็นท่านเลย เพราะท่านไม่เคยมีความคิดที่จะทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เช่นนี้มาก่อน”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนตนเองถูกหลอกด่าเลยนะ?

“อย่าถามอะไรให้มากความ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “ข้าอยากจะส่งคนเข้าร่วมการแข่งขัน ท่านทำเรื่องบรรจุชื่อให้ก็พอ เดี๋ยวส่วนที่เหลือข้าจะจัดการเอง”

สภาเทพเจ้าคือกลุ่มคนที่กุมอำนาจสูงสุดในดินแดนทวยเทพ

และผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนก็ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติจากสมาชิกสภาระดับสูง

แม้จะมีการประกาศกติกาออกไปว่าการแข่งขันนี้จะไม่เลือกชาติกำเนิดของผู้สมัคร แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่สมาชิกสภาระดับสูงจะไม่ตรวจสอบ

เสวี่ยไป๋ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้

เหตุไฉนหนึ่งในสิบเทพเจ้าที่ยากจนที่สุดในดินแดนทวยเทพ ถึงกล้ากล่าววาจาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวใส่ใต้เท้าเหลียนเช่นนี้?

แม้แต่เจ็ดเทพสงครามเมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้าเหลียนก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงหายใจออกมาดังกว่าเสียงย่ำเท้าของจิงโจ้น้ำด้วยซ้ำ แล้วทำไมเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงกล้าทำตัวกระด้างกระเดื่องเช่นนี้?

แต่ใต้เท้าเหลียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าโกรธเคืองแต่อย่างใด…

อืม…

หรือว่าเทพธิดาทั้งสองนางนี้จะเคยเป็นสหายกันมาก่อน?

เพียงไม่กี่ลมหายใจ ใต้เท้าเหลียนก็ตอบตกลงออกมา “เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ให้ ผู้ที่ท่านอยากจะส่งเข้าแข่งขันมีชื่อว่าอันใด?”

“เจี๋ยนเซียวเหยา”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบ

นางพอใจกับชื่อนี้เป็นอย่างยิ่ง

นางถึงกับตั้งชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อหลินเป่ยเฉินเป็นพิเศษเชียวนะ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสังหรณ์ใจว่าชื่อนี้จะต้องกลายเป็นตำนานในอนาคต

“ว่าอย่างไรนะ?”

ใต้เท้าเหลียนแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย “ท่านหมายถึงเจ้าเด็กใบ้ที่กวาดล้างสำนักหนามทมิฬในพื้นที่เขต 3 แดนพายัพใช่หรือไม่?”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้วเช่นกัน “ปกติท่านเป็นพวกเทพเจ้าหัวสูง ไม่สนใจไยดีชีวิตของพลเมืองรากหญ้า แล้วท่านรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขต 3 ได้อย่างไร?”

ใต้เท้าเหลียนมีสีหน้าสับสน

แต่นางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร “สรุปว่าท่านตัดสินใจจะรับเด็กคนนี้เป็นนักรบเทวะของวิหารเทพีกระบี่และเตรียมส่งเขาเข้าร่วมแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่ในสภาเทพเจ้าอย่างนั้นสินะ?”

“ใช่แล้ว”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงล้วงมืออยู่ในกระเป๋า

“เหตุไฉนท่านถึงไม่ลองใช้วิธีการอื่นดูก่อน?” ใต้เท้าเหลียนว่า “ท่านเคยสาบานว่าจะไม่กลับมาเจอหน้าข้าอีกไม่ใช่หรือ?”

“เฮอะ เรื่องตั้งนานมาแล้ว ยังอุตส่าห์จำได้อีก”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “นั่นมันเรื่องในอดีต ไม่ข้องเกี่ยวกับปัจจุบัน”

ใต้เท้าเหลียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

“แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะส่งคนของท่านเข้าร่วมการแข่งขันได้เช่นกัน”

นางกล่าว

“หากมีวิธีอื่น ข้าจะมาหาท่านเพื่ออะไร?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน “เด็กหนุ่มผู้นั้นดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของข้า ทำแผนการที่ข้าวางเอาไว้เสียหายทั้งหมด และบัดนี้ เพื่อให้เขาสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ได้ ข้าถึงกับยอมผิดคำสาบานของตนเอง แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน…”

“การแข่งขันครั้งนี้สำคัญกับท่านมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ใต้เท้าเหลียนถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

เพื่อเด็กใบ้ผู้นั้น เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกับยอมทำเช่นนี้?

ไม่สมกับเป็นนางเลยแม้แต่น้อย

หรือจะเป็นจริงอย่างที่เสวี่ยไป๋กล่าวเอาไว้ เด็กใบ้ผู้นั้นมีหน้าตาหล่อเหลามากเกินไป แม้แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ลุ่มหลงในตัวเขาแล้ว?

ใต้เท้าเหลียนรู้สึกสงสัยอยู่ในหัวใจ

“ย่อมมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบตามความจริงโดยไม่ลังเล

นางถึงกับยอมมาเข้าพบใต้เท้าเหลียนอีกครั้ง ยังจะต้องถามอีกหรือว่ามันสำคัญหรือไม่?

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนมึนงงของใต้เท้าเหลียน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็กล่าวต่ออีกครั้ง “ครั้งนี้ผู้ที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลมากมาย ที่ข้าส่งเด็กคนนั้นเข้าร่วมแข่งขันก็เพื่อจะหวังเงินก้อนนี้ ข้าอยากจะรวยกับเขาบ้าง ท่านเองก็รู้… ว่าข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้นมาหลายสิบปีแล้ว”

“ดูท่านจะมั่นใจในฝีมือของเขามากเหลือเกิน?”

ใต้เท้าเหลียนอดถามออกมาไม่ได้

เพราะตัวแทนที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอยากจะส่งเข้าแข่งขันนั้นไม่ได้มีฝีมือสูงส่งอันใด

เขาไม่ได้ถูกจัดอยู่ในห้าอันดับอัจฉริยะหน้าใหม่ด้วยซ้ำ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “ย่อมมั่นใจ ข้าคัดเลือกเขามาเองกับมือและด้วยระดับฝีมือในปัจจุบันของเขา… ก็คงสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างไม่มีปัญหา”

ใบหน้าของใต้เท้าเหลียนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ประเสริฐ ในเมื่อท่านยอมผิดคำสาบานมาเข้าพบข้าเป็นครั้งแรกในรอบหกสิบปี ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอรับปากว่าจะจัดการให้แล้วกัน”

“เยี่ยมยอด”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือชูนิ้วโป้งและกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านเองก็ไม่ต้องเกรงใจมากเกินไป หากเด็กใบ้ผู้นั้นสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาได้ รับรองว่าข้ามีส่วนแบ่งให้ท่านอย่างงามแน่นอน”

หึหึ ยังคงคุยโวโอ้อวดเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน

ใต้เท้าเหลียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เรื่องนั้นข้าต้องคิดส่วนต่างกับท่านอยู่แล้ว”

“ให้ตายเถอะ ยังขี้งกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลอกตามองบนด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินสะบัดผมหางม้าและหมุนตัวจากไป

ในห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“บัดนี้ เจ้าคงเห็นแล้วกระมัง”

ใต้เท้าเหลียนกล่าวออกมาแช่มช้า “เทพีกระบี่นับว่าเป็นบุคคลไม่ธรรมดาจริง ๆ”

เสวี่ยไป๋ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากส่วนลึกของห้องโถงใหญ่ด้วยเท้าเปล่าของนางและอดถามออกมาไม่ได้ “ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านเคยเป็นสหายกับเทพีกระบี่มาก่อนใช่หรือไม่?”

ใต้เท้าเหลียนตอบว่า “พวกเรามีความหลังอันยาวนาน”

“ความหลังอันใดกันเจ้าคะ?”

เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสีดำไม่สามารถทนทานความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้อีกต่อไป

ใต้เท้าเหลียนส่ายศีรษะ “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้”

และเด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสีดำก็หยุดพูดไปทันที

หลายคนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเสวี่ยไป๋ที่ทำภารกิจผิดพลาดหลายครั้งและก่อปัญหานับไม่ถ้วน แต่นางกลับไม่เคยถูกใต้เท้าเหลียนลงโทษ มิหนำซ้ำ เสวี่ยไป๋ยังได้รับความไว้วางใจจากใต้เท้าเหลียนเป็นอย่างสูงอีกด้วย

นั่นเป็นเพราะว่าเสวี่ยไป๋มีความเข้าใจใต้เท้าเหลียนอย่างถ่องแท้ นางรู้ว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด เพราะฉะนั้น เด็กสาวจึงไม่เคยล้ำเส้นใต้เท้าเหลียนแม้แต่ครั้งเดียว

“ใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยไม่ได้คิดว่าเทพีกระบี่เป็นยอดโฉมงามอันดับหนึ่ง อย่างมากที่สุด นางก็แค่มีความงดงามเสมอท่านเท่านั้น”

เสวี่ยไป๋กล่าวออกมาอีกครั้ง

ใต้เท้าเหลียนหันไปชำเลืองมองและเอ่ยว่า “ไม่คิดว่าเจ้าประเมินนางสูงเกินไปสักหน่อยหรือ?”

“ฮิฮิ”

เสวี่ยไป๋หัวเราะออกมา

อันที่จริง นางต้องยอมรับเลยว่าเทพีกระบี่มีรูปโฉมงดงามควรค่าต่อการยกย่องในกลุ่มเทพธิดาด้วยกัน

แม้นางจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา แต่เพียงเท่านั้นก็มีความงดงามชวนให้ผู้คนหลงใหลแทบตายแล้ว

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือเทพีกระบี่ไม่มีความงดงามในแบบฉบับสตรีที่โตเต็มวัย

“นั่นเป็นเพราะว่า…”

ใต้เท้าเหลียนกล่าวเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “เจ้ายังไม่ได้เห็นนางตอนแต่งกายเต็มยศต่างหาก”

หืม?

เด็กสาวเสื้อคลุมดำมีสีหน้าฉงนสงสัย

แต่งกายเต็มยศ?

เทพีกระบี่จะงดงามขนาดไหนกันนะ?

เสวี่ยไป๋ขมวดคิ้วมุ่น

“ใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปสืบความเป็นมาของเจี๋ยนเซียวเหยาเดี๋ยวนี้”

เด็กสาวถือโอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าน้อยตัดสินใจแล้วว่าจะให้คนผู้นี้รวมอยู่ในกลุ่มห้าอัจฉริยะนั้นด้วย”

“ดีแล้ว”

ใต้เท้าเหลียนพยักหน้าและกล่าวต่อ “แต่จำไว้ว่าเจ้าห้ามสืบสวนข้อมูลเกี่ยวกับเทพีกระบี่เด็ดขาด ไม่ว่าเจ้าจะสงสัยมากเพียงใดก็ห้ามสืบสวนเรื่องราวของนาง เพราะเจ้าไม่สามารถรับผลที่จะตามมาได้อย่างแน่นอน”

“ข้าน้อยรับบัญชา ข้าน้อยจะไม่สืบสวนเรื่องของนางโดยเด็ดขาด”

เสวี่ยไป๋ก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อฟัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำเรื่องของเจ้าได้แล้ว”

ใต้เท้าเหลียนโบกมือไล่

เสวี่ยไป๋ประสานมือทำความเคารพ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยกายหายไปในความมืด

ใต้เท้าเหลียนนั่งอยู่บนบัลลังก์ลอยฟ้า ใบหน้าอันไร้ที่ติของนางกำลังขมวดคิ้วขบคิดอะไรบางอย่าง

นางดูออกว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมาเข้าพบตนเองโดยไม่เต็มใจ

แต่ปัญหาก็คือเจ้าเด็กหนุ่มเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นั้นมีผลต่อจิตใจของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่เทพผู้ดื้อรั้นอย่างเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องยอมผิดคำสาบานและเดินทางมาที่วิหารเทพพงไพรเพื่อเข้าพบกับนางเป็นครั้งแรกในรอบหกสิบปี… เรื่องนี้คงมีลับลมคมในอะไรบางอย่างแฝงอยู่ใช่หรือไม่?

ระหว่างที่ความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้

เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นนอกห้องโถงใหญ่

“กราบเรียนใต้เท้าเหลียน มีข่าวรายงานมาจากวิหารของพวกเราในแดนพายัพขอรับ… ระหว่างการทดสอบความแข็งแกร่งประจำวันนี้ พวกเขาได้ค้นพบยอดอัจฉริยะอีกหนึ่งคน…”

เสียงของหนึ่งในนักรบเทวะผู้ทำหน้าที่สืบสวนหาเทพเจ้าหน้าใหม่ดังเข้ามาพร้อมกับเสียงตีระฆังนั้น