บทที่ 611.1 จั่วโย่วสอนวิชากระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเรียกตัวไปอีกครั้ง

บนหัวกำแพงเมือง ผู้อาวุโสสายเหวินเซิ่ง อันที่จริงมีเพียงคนเดียวคือจั่วโย่ว เขาไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอะไร อีกทั้งยังฝึกกระบี่ตอนอายุมากแล้ว ทว่าสุดท้ายกลับกลายมาเป็นผู้ที่มีเวทกระบี่สูงสุดของใต้หล้าไพศาล

เผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด ยามอยู่ในจวนหนิงถูกป๋ายเลี่ยนซวงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าป้อนหมัดให้หลายครั้ง คอขวดจึงเริ่มคลายออก ครั้งนั้นชุยตงซานถูกเฉินผิงอันลากไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว นอกจากเรื่องของสมุดบันทึกแล้วยังมีเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตของเผยเฉียน สรุปแล้วควรจะทำตามแผนการเดิมของเฉินผิงอันที่เมื่อชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว ก็ถือว่าการทัศนศึกษาครั้งนี้สิ้นสุดลง ควรออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลับไปยังภูเขาห้อยหัวโดยเร็ว หรือจะเปลี่ยนแปลงแผนการเล็กน้อย ให้เผยเฉียนและอาจารย์จ้งอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสักหน่อย เพื่อที่จะได้ขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธให้มากขึ้น อันที่จริงเฉินผิงอันโน้มเอียงไปทางอย่างแรกมากกว่า เพราะเฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไปจะเปิดฉากเมื่อไหร่ แต่ชุยตงซานกลับเสนอให้รอเผยเฉียนเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าก่อน พวกเขาค่อยออกเดินทาง แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพจิตใจของอาจารย์จ้งยังเปิดกว้าง พรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธก็ดีเยี่ยม อยู่ต่อในกำแพงเมืองปราณกระบี่นานหนึ่งวัน ล้วนเป็นผลเก็บเกี่ยวของผู้ฝึกยุทธอย่างที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นขอแค่พวกเขาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ถึงครึ่งปี ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก

เพียงแต่เฉินผิงอันยังไม่ค่อยวางใจนัก ทว่ามีชุยตงซานอยู่ข้างกาย ไม่วางใจก็ได้แต่วางใจ

เฉาฉิงหล่าง ผู้ฝึกตนคอขวดขอบเขตถ้ำสถิต แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิด หรือเส้นทางการศึกษาเล่าเรียน แนวทางการศึกษาหาความรู้ ล้วนคล้ายคลึงกับจั่วโย่วอย่างยิ่ง ฝึกเรือนกายฝึกจิตใจฝึกบำเพ็ญตน ล้วนไม่รีบไม่ร้อน

กวอจู๋จิ่ว บุตรสาวเพียงคนเดียวของเซียนกระบี่กวอเจี้ย ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร พรสวรรค์ดีเยี่ยม แรกเริ่มถูกทางตระกูลกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน แล้วนางก็ควรจะเป็นคนแรกที่เฝ่าด่านรับมือกับหลินจวินปี้ที่เชี่ยวชาญการเก็บซ่อนอำพราง เพียงแต่ทั้งๆ ที่นางคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่โดดเด่น ทว่ากลับกราบอาจารย์เพราะอยากเรียนวิชาหมัด ต้องการเรียนวิชาหมัดล้ำโลกที่ปล่อยหมัดออกไปก็ทำให้ฟ้าร้องครืนครั่นได้

จั่วโย่วเอ่ย “เผยเฉียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชากระบี่ที่เจ้าริเริ่มชุดนี้มีข้อด้อยอยู่ตรงที่ใด?”

เผยเฉียนหน้าแหย นางหรือจะคิดได้ว่าอาจารย์ลุงใหญ่จะจับจ้องวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นของนางไม่ยอมวางเช่นนี้ นางก็แค่เล่นสนุกเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไรให้เอามาพูดเลยสักนิด

ข้อด้อยอยู่ตรงไหน? เวทกระบี่ชุดนี้ของข้าไม่มีข้อดีเลยต่างหาก อาจารย์ลุงใหญ่ท่านจะให้ข้าตอบอย่างไร ข้าแค่เอาไว้โม้ให้คนอื่นฟังตอนแทะเมล็ดแตง พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ร่ายกระบวนท่านี้แค่ไม่กี่ครั้ง อาจารย์ลุงใหญ่ไยท่านถึงได้เอาจริงเอาจังเช่นนี้เล่า

กวอจู๋จิ่วทิ้งตัวนอนหงายหลัง ชำเลืองตามองท้ายทอยของเผยเฉียน ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ตัวไม่สูง แล้วก็ใจไม่กล้าผู้นี้ พอเห็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็อึ้งตะลึง พอเจออาจารย์ลุงใหญ่ก็ไม่กล้าพูดอีก พูดถึงแค่ตอนนี้ ตนที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายครึ่งตัวของอาจารย์ ในเรื่องของความกล้าหาญก็ควรต้องมีความรับผิดชอบ จะดีจะชั่วก็ควรจะช่วยเอามาทดแทนให้ศิษย์พี่หญิงสักหน่อย

จั่วโย่วไม่ได้ถือสาท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของเผยเฉียน “เคยมีคนอื่นบอกกับเจ้าหรือไม่ว่า วิชากระบี่ของเจ้า ความหมายซับซ้อนและวุ่นวายเกินไป? อีกทั้งยังปล่อยออกมามากเกินไปจนเก็บไว้ไม่อยู่”

เผยเฉียนแข็งใจตอบเบาๆ “ไม่มี อาจารย์ลุงใหญ่ วิชากระบี่ชุดนี้ของข้าไม่มีใครเคยบอกว่าดีหรือไม่ดี”

พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเผยเฉียนก็ยิ่งแผ่วลงเรื่อยๆ “มีแต่พี่หญิงโจวเซียนกระบี่โล้ชิงช้าที่เอ่ยถ้อยคำที่ข้าไม่เข้าใจ แค่เจอหน้ากันก็มอบของขวัญให้ ข้าจะขวางก็ขวางไม่อยู่ พออาจารย์รู้เข้าก็บอกข้าว่าก่อนจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องแสดงความขอบคุณต่อเซียนกระบี่โจวอย่างเป็นทางการครั้งหนึ่ง รับประกันกับเซียนกระบี่โจวว่า ปณิธานกระบี่กลุ่มนั้น ข้าจะต้องเรียนรู้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่กล้ารับรองว่าจะเรียนได้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่ก็จะพยายามตั้งใจศึกษามันอย่างเต็มที่”

จั่วโย่วไม่ได้สนใจด้ายสีทองที่พันกันซึ่งเกิดจากการรวมตัวของปณิธานกระบี่หลากหลายชนิดจนกลายเป็นของที่จับต้องได้จริงของสายเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงมากนัก ในเมื่อเฉินผิงอันสอนมารยาทที่ควรมีแก่เผยเฉียนไปแล้ว เขาก็จะไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก เพียงแค่เอ่ยว่า “อาจารย์ของเจ้าเคยชมวิชากระบี่ของเจ้าให้ข้าฟัง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาบอกว่าในบรรดาลูกศิษย์และนักเรียนของเขา เขาก็กล้าเอ่ยประโยคว่า ‘หากพูดถึงแค่เวทกระบี่ เผยเฉียนเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่มากที่สุด’ ดังนั้นอาจารย์ลุงใหญ่จึงใคร่รู้มาโดยตลอด”

เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก รู้สึกว่าตัวเองผิดต่อความหวังยิ่งใหญ่ที่อาจารย์ฝากฝังไว้ยิ่งนัก “ทำให้อาจารย์ลุงใหญ่ผิดหวังแล้ว”

จั่วโย่วหัวเราะ “ก็โชคดีที่ไม่มีใครกล้าพูดจาระยำเช่นนั้นกับเจ้า ความหมายซับซ้อนเกินไป? เก็บไว้ไม่อยู่? ไม่อย่างนั้นข้าที่เป็นอาจารย์ลุงใหญ่คงต้องพูดทวงความเป็นธรรมแทนเจ้าจริงๆ แล้ว”

จั่วโย่วยื่นมือชี้ไปยังทิศไกล “เผยเฉียน”

เผยเฉียนเงยหน้ามองตามจุดที่จั่วโย่วชี้ไป

เฉาฉิงหล่างกับกวอจู๋จิ่วก็เพ่งสายตามองตามไปด้วย เพียงแต่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เมื่อเทียบกันแล้ว กวอจู๋จิ่วจะมองเห็นได้มากกว่า ไม่เพียงแค่เพราะขอบเขตของนางสูงกว่าเฉาฉิงหล่างเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะนางคือผู้ฝึกกระบี่

บางครั้งผู้ฝึกกระบี่ก่อนกำเนิดก็มีคุณสมบัติจะดูแคลนผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าอยู่จริงๆ

น่าเสียดายก็แต่นางอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นใต้หล้าไพศาลที่หาผู้ฝึกกระบี่ได้ยาก ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่พรสวรรค์น่าตะลึงอย่างกวอจู๋จิ่วนี้ อยู่สำนักไหนบ้างที่จะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ เป็นเสาคานหลักที่สำนักแห่งหนึ่งยินดีทุ่มเทวัตถุดิบวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อปลูกฝังอบรมอย่างเต็มกำลัง?

มีเพียงเผยเฉียนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณด้วยซ้ำที่กลับมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าผู้ฝึกกระบี่อย่างกวอจู๋จิ่วเสียอีก กลางอากาศนอกหัวกำแพง ระหว่างฟ้าดินพลันปรากฏปราณกระบี่เป็นเส้นๆ เสี้ยวๆ ปนกันวุ่นวาย ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง บิดเบือนอย่างกำเริบเสิบสาน วิถีโคจรเอนเอียง ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ให้กล่าวถึง ถึงขั้นที่ว่าปราณกระบี่ห้าหกในสิบเส้นยังกำลังตีกันเอง เหมือนกับว่าอาจารย์ลุงใหญ่พบเจอปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตนหนึ่งระหว่างทาง แล้วมองมันเป็นดั่งปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ อาจารย์ลุงใหญ่เลยโยนแหตกปลาขนาดใหญ่ที่แผ่คลุมฟ้าดินออกไปง่ายๆ เพียงแต่ว่าแหตกปลานี้ไม่มีข้อพิถีพิถันใดๆ ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่รู้สึกเปลืองแรงอย่างยิ่ง

เพราะคำนึงถึงความสามารถในการมองเห็นของเผยเฉียน จั่วโย่วจึงยกมืออีกข้างหนึ่งทำมุทราเบาๆ กลางอากาศที่ห่างไปไกล ปราณกระบี่นับพันนับหมื่นเส้นพลันรวมตัวกันเป็นก้อน ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น

จั่วโย่วเอ่ย “เจ้าของเล็กๆ สิ่งนี้ หากขว้างใส่ร่างของก่อกำเนิดก็มากพอจะทำให้จิตวิญญาณดับสลายได้ วิชากระบี่นั้นของเจ้าก็ควรแสวงหาไล่ตามขอบเขตนี้ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าความหมายซับซ้อนเกินไป แต่เป็นยังไม่ซับซ้อนมากพอ อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ ขอแค่ปราณกระบี่ของเจ้ามากพอ มากจนไร้เหตุผล แค่นี้ก็พอแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปอย่าได้หวังว่าจะทำเช่นนี้ได้ และอาจารย์ลุงใหญ่ก็ยิ่งไม่มีทางชี้แนะพวกเขา ทุกคนมีความแตกต่าง ข้าพูดถึงเวทกระบี่นี้กับเจ้าเผยเฉียน นับว่าเหมาะสมพอดี เผชิญหน้ากับศัตรูเพื่อตัดสินเป็นตาย ไม่ใช่โต้วาทีอธิบายเหตุผลเสียหน่อย ยังจะพูดถึงกฎเกณฑ์ไปอีกทำไม? ในเมื่อต้องการให้คนตาย ก็กระแทกเขาให้ตายก็พอ ปราณกระบี่มากพอ อีกฝ่ายคิดอยากจะออกกระบี่งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าปราณกระบี่ของเจ้ายอมตกลงหรือไม่!”

สองนิ้วของจั่วโย่วฟันฉับหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่ที่รวมตัวกันเป็นลูกแสงสีขาวหิมะก็ถูกแบ่งออกเป็นสอง ในเส้นยาวเล็กบางเส้นนั้นมีแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมา สุดท้ายก็เหมือนมีเสียงฟ้าผ่ากัมปนาท ก้อนเมฆสลายหายไป พายุลมกรดกระโชกพัดแรง พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่มากจนปราณกระบี่ ‘ผู้บริสุทธิ์’ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปั่นคว้านจนเละ จากนั้นก็กลับมารวมตัวอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากโชคดีหน่อยก็จะถูกปณิธานที่หลงเหลืออยู่ของเซียนกระบี่บรรพกาลชักจูงไป จากนั้นถูกบำรุงด้วยความอบอุ่น แล้วก็จะสามารถถือกำเนิดขึ้นเป็นปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่เหมือนกับของเซียนกระบี่โจวเฉิง เหมือนได้เกิดใหม่ เซียนกระบี่ตายไปแล้วร้อยปีพันปี มีเพียงปณิธานกระบี่ที่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

จั่วโย่วเอ่ยเนิบช้าว่า “นี่ก็คือขอบเขตถัดไปที่ควรไขว่คว้าหลังจากที่ปราณกระบี่ของเจ้าเข้าขั้นแล้ว ต่อให้ข้ามีพละกำลังหมื่นชั่ง ก็สามารถใช้พละกำลังเพียงเศษเสี้ยวสังหารคนได้ แล้วก็จะฆ่าคนด้วยวิธีนี้”

เผยเฉียนถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ข้าไม่ฆ่าคนได้หรือไม่?”

จั่วโย่วเอ่ย “คนที่ไม่ควรฆ่า ต่อให้เจ้ามีเวทกระบี่สูงแค่ไหนก็ไม่ใช่เหตุผลให้เจ้าออกกระบี่ คนที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ได้ เจ้าอยากฆ่าหรือไม่ก็ตามใจเจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า คนที่ควรฆ่า ห้ามไม่ฆ่าเด็ดขาด อย่าได้คิดว่าเป็นเพราะเจ้าขอบเขตสูง แล้วนั่นจะแปลว่าเจ้าอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น รู้สึกว่าเพียงแค่ยิ้มรับ พูดอย่างง่ายๆ ผ่อนคลายก็จบเรื่องกันได้แล้ว ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ผู้อ่อนแอที่อยู่ข้างกายเจ้า เมื่ออยู่ที่อื่นในใต้หล้าไพศาล ก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ภัยร้ายที่ผู้แข็งแกร่งจะสร้างให้แก่โลกมนุษย์มักจะเหนือกว่าคนทั่วไปเสมอ วันหน้าเจ้าได้ท่องผ่านยุทธภพมากขึ้น เห็นคนบนภูเขามากขึ้นก็จะเข้าใจได้เอง หากคนเหล่านี้มาชนปลายกระบี่ของเจ้าเอง แล้วเหตุผลของเจ้าถูกมากพอ เวทกระบี่สูงมากพอ ก็ไม่ต้องลังเลอีก”

เผยเฉียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

จั่วโย่วจึงเอ่ยว่า “สายของเหวินเซิ่ง หากพูดถึงแค่เวทกระบี่ แน่นอนว่าต้องไม่พอ หลักการเหตุผลในใจ ขอแค่ข้าสบายใจ นั่นก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ ต่อให้เวทกระบี่ของเจ้าจะสูงที่สุดในโลกมนุษย์ แต่จะนับเป็นอะไรได้”

จั่วโย่วหันหน้ามาเอ่ยเรียกหนึ่งคำ “เฉาฉิงหล่าง”

เฉาฉิงหล่างเข้าใจความนัยของเขาได้ทันที จึงเอ่ยว่า “มองดูเหมือนอาจารย์ลุงใหญ่กำลังพูดถึงเรื่องเวทกระบี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักการเหตุผลเชื่อมโยงถึงกัน ความคิดกับความคิดตัดสลับถักทอกัน หากไม่ต่อสู้ให้ศัตรูถอยร่นแตกฮือ ก็ทำเหมือนปราณกระบี่กลุ่มนั้นของอาจารย์ลุงใหญ่ที่รวมตัวกันอย่างใกล้ชิด ผู้ที่มหามรรคาใกล้เคียงกันมารวมตัวกัน นี่ก็เหมือนการสร้างความรู้อันเป็นรากฐานของคนคนหนึ่ง ในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ต้องงัดข้อกับตำราอริยะปราชญ์และหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ ยิ่งต้องงัดข้อกับจิตใจดั้งเดิมของตน ต้องงัดข้อกับวิถีทางโลกและฟ้าดิน สุดท้ายคนที่สามารถเอาชนะได้ก็จะสามารถค้ำฟ้ายันดิน กระบี่ค้ำยันฟ้าดิน สืบทอดควันธูปให้กับความรู้ที่สาบสูญไป”

จั่วโย่วปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เหมือนข้ามากที่สุดจริงๆ ด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่เอ่ยอะไรกับเจ้ามาก เจ้าเข้าใจได้ใช่ไหม?”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

จั่วโย่วหันหน้ามาถามเผยเฉียน “อาจารย์ลุงใหญ่พูดเช่นนี้ เข้าใจได้ง่ายกว่าการพูดถึงหลักสัจธรรมแห่งกระบี่กับเจ้าหรือไม่?”

เผยเฉียนนึกถึงคำสอนของอาจารย์ที่บอกว่าต้องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ จึงปลุกความกล้าเอ่ยว่า “อิจฉาก็ส่วนอิจฉา เรียนกระบี่ก็ส่วนเรียนกระบี่ ไม่ตีกันเองแม้แต่น้อย”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ดีมาก ควรเป็นเช่นนี้ ได้อยู่ร่วมสำนักเดียวกัน แน่นอนว่าถือเป็นวาสนา แต่ไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าเปลี่ยนมาเป็นคนคนเดียวกัน มีความคิดเหมือนกัน ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้เรียกร้องให้ลูกศิษย์ทุกคนต้องเหมือนอาจารย์ แค่รักษากฎเกณฑ์ใหญ่ๆ เอาไว้ได้ คำพูดและการกระทำนอกเหนือจากนั้นก็ล้วนมีอิสระในตัวเอง”

จั่วโย่วหันหน้าไปมองกวอจู๋จิ่ว คนที่ใจใหญ่ที่สุดก็น่าจะเป็นแม่นางน้อยคนนี้แล้ว บทสนทนาของพวกเขาเวลานี้ นางน่าจะรับฟัง แล้วก็น่าจะจดจำได้แล้ว เพียงแต่ว่าความคิดและสายตาของกวอจู๋จิ่วกลับลอยไปหา ‘อาจารย์’ ของนาง เงี่ยหูตั้งใจฟัง กะว่าจะลอบฟังบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ได้ แน่นอนว่าไม่มีทางได้ยิน แต่นี่ก็ไม่ขัดต่อการแอบฟังของนาง

สัมผัสได้ถึงสายตาของอาจารย์ลุงใหญ่ กวอจู๋จิ่วก็รีบขยับตัวนั่งให้ดี วางท่าเคร่งขรึม “ทุกคำพูดของอาจารย์ลุงใหญ่หนักนับหมื่นชั่ง ข้าต้องตั้งรับให้ดีแล้ว”

เผยเฉียนทอดถอนใจ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา ไร้ขื่อไร้แปจริงๆ

จั่วโย่วเอ่ย “กวอจู๋จิ่ว รู้หรือไม่ว่าเรียนวิชาหมัด รับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ มีชื่ออยู่ในทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วของใต้หล้าไพศาล หมายความว่าอะไร?”

กวอจู๋จิ่วเอ่ยเสียงดัง “อาจารย์ลุงใหญ่ ข้าไม่ทราบ!”

พูดด้วยท่าทางเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล

จั่วโย่วรู้สึกว่าอันที่จริงนางก็เหมือนตัวเองมาก ดีมากเลย

เพียงแต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนสถานะกัน พอเจอเข้ากับตัวจริงๆ จั่วโย่วถึงได้ค้นพบว่าปีนั้นอาจารย์น่าจะไม่ได้ปวดหัวเพราะตนกระมัง?

ต่อให้เป็นจั่วโย่วยังรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย ช่างเถอะ ให้เฉินผิงอันปวดหัวไปคนเดียวก็แล้วกัน

แต่แม่นางน้อยเรียกตนว่าอาจารย์ลุงใหญ่ จะปล่อยให้นางเรียกเปล่าๆ ไม่ได้ จั่วโย่วหันหน้าไปมองชุยตงซาน

ชุยตงซานจึงวิ่งตุปัดตุเป๋มายังหัวกำแพงเมือง “อาจารย์ลุงใหญ่ มีอะไรจะสั่งสอนหรือ?”

จั่วโย่วเอ่ย “เอาสมบัติอาคมสองสามชิ้นออกมามอบให้กวอจู๋จิ่วแทนอาจารย์ของเจ้า อย่าให้แย่เกินไปนัก”

กวอจู๋จิ่วหันตัวมาเงียบๆ มือข้างหนึ่งยื่นนิ้วสองนิ้ว มืออีกข้างหนึ่งยกนิ้วสามนิ้ว ส่วนข้อที่ว่าจะเลือกหนึ่งจากสอง หรือจะรวมกันเป็นของขวัญห้าชิ้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางคิดอย่างไร แล้วเหตุใดถึงได้คิดเช่นนี้

ชุยตงซานพลิกหมุนข้อมือ พวงสมบัติหลายชิ้นที่มีประกายแสงห้าสี ระยิบระยับแพรวพราว คือสมบัติอาคมลำดับหนึ่งของใต้หล้าชิ้นหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมา แล้วจึงโยนไปให้กวอจู๋จิ่ว

กวอจู๋จิ่วรับพวงสมบัติมา เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ให้จริงๆ หรือนี่ ข้าก็แค่ทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างไปอย่างนั้นเอง ยังคิดจะนั่งต่อรองราคากับศิษย์พี่เล็กอยู่เลยนะ”

แม้ปากของแม่นางน้อยจะพูดแบบนี้ ทว่าท่าทางที่เอาพวงสมบัติร้อยเข้าข้อมือกลับคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย

ชุยตงซานหัวเราะร่าเอ่ยว่า “มีชื่อว่าพวงห้าสมบัติ แบ่งออกเป็นสมบัติที่หล่อหลอมมาจากเหรียญทองแดงแก่นทอง รากเมฆภูเขา ไข่มุกมรกตที่ซ่อนแก่นโชคชะตาน้ำ แกนไม้ท้อสายฟ้าฟาด แมลงสิงโตที่ใช้วิชาห้าอสนีหล่อหลอม ถือเป็นของรักของเซียนสำนักกสิกรรมท่านหนึ่งของใต้หล้าไพศาล รอให้ศิษย์น้องหญิงเล็กเปิดปากอยู่พอดี ศิษย์พี่เล็กรอมานานจนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว”

กวอจู๋จิ่วแอบใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวออกจากหัวกำแพงเมืองไป อาจารย์ลุงใหญ่มองไม่เห็นพวกเราแล้ว ข้าค่อยคืนให้เจ้า แค่สวมไว้แปบเดียวก็พอ”

ชุยตงซานยิ้มตาหยีตอบกลับ “ไม่ต้อง ถึงอย่างไรศิษย์พี่เล็กก็เป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว รีบเก็บเอาไว้ให้ดี วันหน้าศิษย์พี่เล็กก็จะบอกกับเจ้าตะพาบเฒ่าคนหนึ่งว่าทำหายไปแล้ว เป็นเหตุผลที่ข้าช่องโหว่ไม่ได้ ศิษย์พี่เล็กได้ทำตัวใจกว้างครั้งหนึ่ง ศิษย์น้องหญิงเล็กเองก็ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ ให้ตะพาบเฒ่าคนหนึ่งปวดใจจนน้ำตาไหลเป็นสายฝน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว”

กวอจู๋จิ่วมึนงงไม่เข้าใจ นางสะบัดข้อมือ ประกายแสงไหลเวียนวน มีน้ำหนักเล็กน้อย

ของขวัญล้ำค่าเกินไป หลังจากนี้ยังต้องถามอาจารย์ก่อนถึงจะตัดสินใจว่าจะเก็บไว้หรือไม่

สมบัติในกระเป๋าของชุยตงซานไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ

เพียงแต่ตอนที่ชุยตงซานเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลับบอกนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาว่าตัวเองยากจน ยืมเรือสมบัติของหลิวเสียทวีปมาจากคนอื่น เขาก็ไม่ได้โกหกจริงๆ

จิตวิญญาณดวงหนึ่งแบ่งออกเป็นสอง ในเมื่อเนื้อหนังมังสานี้เป็นของตน ถ้าอย่างนั้นวัตถุจื่อชื่อและสมบัติทั้งหลายก็ควรยกให้เป็นของชุยฉานถึงจะถูก

สุดท้ายจั่วโย่วก็เอ่ยกับเผยเฉียน เฉาฉิงหล่างและกวอจู๋จิ่วคนละประโยคว่า “วิชากระบี่สามารถฝึกบ่อยๆ ได้ แต่อย่าจับกระบี่ง่ายๆ เด็ดขาด ข้อนี้ต้องเรียนรู้จากอาจารย์พ่อของเจ้าให้มากๆ แม้แต่อะไรคืออะไรก็ยังไม่รู้ แล้วจะสามารถฝึกฝนอะไรได้”

“ยิ่งคนข้างกายเดินได้เร็วเท่าไร เจ้ายิ่งไม่ควรรีบร้อนมากเท่านั้น”

“อาจารย์ลุงใหญ่จะไปคุยกับบิดาเจ้าสักครั้งหนึ่ง”

เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ที่เจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋น ‘มอบให้’ ตนออกมา พาคนทั้งสามกลับไปที่จวนหนิง แต่ก่อนจะไปจากหัวกำแพง เขาบังคับให้เรือยันต์พุ่งไปทางหัวกำแพงทิศใต้เพื่อมองตัวอักษรใหญ่ที่สลักไว้บนกำแพง ขีดเส้นแนวนอนเหมือนเส้นทางสายใหญ่ในโลกมนุษย์ ขีดเส้นแนวตั้งเหมือนน้ำตกที่ย้อยลงมา หนึ่งจุดแต้มเหมือนถ้ำเทพเซียนที่มีผู้ฝึกตนปักหลักฝึกตนอยู่ภายใน

ชุยตงซานบอกว่าตนเองจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย

สุดท้ายชุยตงซานไปพบกับภิกษุท่านนั้น

ชุยตงซานนั่งขัดสมาธิ เอ่ยว่า “ต้องเอ่ยขอบคุณสองครั้ง หนึ่งเพื่อตนเอง สองเพื่อแจกันสมบัติทวีป”

ภิกษุพยักหน้ารับ “ใจคนนั่งแต่ลำพังหันเข้าหาแสงสว่าง เปิดปากเอ่ยคำดุจสิงโตคำราม”

ชุยตงซานไม่ยินดีเอ่ยถึงเรื่องของตัวเองมากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยด้วยการถามอย่างจริงใจว่า “สุดท้ายท่านปู่ของข้าไปหยุดพักอยู่ในวัดซินเซียงของพื้นที่มงคลรากบัว ก่อนจะจากไปได้เปิดปากถามเจ้าอาวาสท่านนั้น น่าจะถามเรื่องหลักพระธรรม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ล้มเลิกความคิด จะช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่?”

ภิกษุเอ่ย “ประสกชุยท่านนั้นน่าจะอยากถามว่าความบังเอิญเช่นนี้ ใช่บัญชาจากสวรรค์หรือไม่ จบสิ้นแล้วหรือไม่ เพียงแต่คำพูดมารออยู่ตรงปาก ความคิดเพิ่งผุดขึ้นก็ดับลง นั่นคือวางลงได้จริงๆ แล้ว ประสกชุยวางลงแล้ว ไยเจ้าถึงยังวางไม่ลง วันนี้ชุยตงซานวางไม่ลง ประสกชุยของเมื่อวานจะวางลงได้จริงๆ หรือ?”