บทที่ 1227 แค่นี้เองหรือ?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,227 แค่นี้เองหรือ?

หลินเฟิงอี้เป็นบุคคลที่ภูมิใจในตนเองเสมอมา

เขาภูมิใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง เช่นเดียวกับพรสวรรค์และความแข็งแกร่ง

ใบหน้าที่หล่อเหลา ความแข็งแกร่งไร้เทียมทาน และการใช้วิชาเวทมนตร์ ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เขาสามารถเอาชนะใจสตรีมาได้นับไม่ถ้วน

อย่างเช่นชิงเล่ยผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้

นางเป็นเพียงหนึ่งในดอกไม้ริมทางที่หลินเฟิงอี้เด็ดมาเชยชมแล้วก็โยนทิ้งไปก็เท่านั้น

ครั้งแรกที่เขาได้พบกับนางนั้น ชิงเล่ยยังเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก นางมีหน้าตางดงาม จิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดในครอบครัวที่ดี มีบิดาเป็นนักรบเทวะชื่อดัง…

ใช้เวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น หลินเฟิงอี้ก็สามารถพิชิตใจชิงเล่ยและกลายเป็นสามีของนางได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ชีวิตของหลินเฟิงอี้ก็เจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยเส้นสายของบิดาภรรยา

แต่เพียงครึ่งปีหลังการแต่งงาน เขาก็ไปมีสตรีอื่น ซึ่งสถานะสูงส่งมากกว่าชิงเล่ย

นั่นนำมาสู่การหย่าร้าง

บิดาของภรรยาเขาโกรธมาก

ชิงเล่ยถูกย่ำยีหัวใจอย่างสาหัส

หลินเฟิงอี้ล้วนทำทุกอย่างด้วยความสมบูรณ์แบบ

เขามั่นใจในเสน่ห์ของตนเอง

และบรรดาสตรีโฉมงามผู้สูงส่งเหล่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟิงอี้ ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหนีรอดเงื้อมมือของเขาไปได้อีก

หลินเฟิงอี้เชื่อว่าถึงตนเองจะทอดทิ้งชิงเล่ยไปอย่างไม่ไยดี หรือได้สร้างความเจ็บปวดทางจิตใจให้แก่นางมากมาย…

แต่ชิงเล่ยก็ไม่มีทางลืมเขาได้ลงแน่นอน

หลินเฟิงอี้ยังมีความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างสูงว่า เมื่อชิงเล่ยเคยเป็นภรรยาของเขาแล้ว ก็ไม่มีทางที่นางจะเปิดใจรับชายใดอีก

แต่บัดนี้ เขาได้เห็นแล้วว่าตนเองคิดผิด

ภาษากายและสีหน้าท่าทางของชิงเล่ยบอกให้หลินเฟิงอี้ได้รับทราบถึงสิ่งหนึ่ง

สิ่งที่เขาไม่อยากเชื่อ

นางตกหลุมรักบุรุษคนใหม่

หลินเฟิงอี้รู้สึกหึงหวง

เรื่องนี้ทำลายความมั่นใจของเขาไปโดยสิ้นเชิง

“เจ้าเป็นใคร?”

ดวงตาของหลินเฟิงอี้เป็นประกายวาววับราวกับคมกระบี่ที่ถูกอาบย้อมไปด้วยความอำมหิต แววตาดุดันไม่ต่างจากเหยี่ยวที่กระพือปีกหมายสังหารเหยื่อ เมื่อจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน จิตสังหารก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแรงกล้า

“ข้าหรือ?”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อหลินเฟิงอี้เลยแม้แต่น้อย “ข้าเป็นบุรุษของนาง”

หลังจากพูดออกมาแล้ว เด็กหนุ่มก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

โอกาสที่จะได้พูดประโยคเช่นนี้มาถึงแล้วสินะ…

ช่างน่าตื่นเต้นจริง ๆ

ความรู้สึกนี้มัน… โฮะโฮะโฮะโฮะ

ชิงเล่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบก้มหน้าต่ำทันที

ความประหลาดใจ ความอ่อนหวาน ความตื้นตัน ความวิตกกังวล ความเขินอาย…

หลากหลายความรู้สึกตีกันวุ่นวายอยู่ในหัวใจของนาง

นางเคยหลับนอนกับหลินเป่ยเฉินมาครั้งหนึ่งก็จริง แต่ชิงเล่ยก็ไม่ได้คิดที่จะผูกพันกับเขาตลอดไป

ด้วยความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานก่อนหน้านี้ ชิงเล่ยจึงทุ่มเทความรักที่ตนเองมีทั้งหมดให้แก่บุตรสาวแต่เพียงผู้เดียวและนางก็หลีกเลี่ยงที่จะมีบุรุษใหม่เสมอมา

ในวันนั้น นางกำลังถูกเกอสือเหนียนกดดันอย่างหนัก

ดังนั้น เมื่อเด็กหนุ่มแสดงท่าทีมีเมตตาจิตต่อนาง ในที่สุด ชิงเล่ยก็รู้สึกเหมือนตนเองได้พบเจอกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และนางก็รู้สึกหลงรักเขาโดยไม่รู้ตัว…

จนนำพามาสู่เหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมเหมียวเหมียวหง่าว

ความรู้สึกของนางในขณะนั้นไม่ต่างจากภูเขาไฟระเบิด มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

ก่อนขึ้นเตียง นางผูกพันกับเด็กหนุ่มมากน้อยเพียงใด?

ย่อมไม่มีความผูกพันเลย

มากสุดก็แค่รู้สึกประทับใจในตัวเขาเท่านั้น

แต่หลังจากผ่านศึกสวาท ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ด้วยเหตุนี้ หลังเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมเหมียวเหมียวหง่าว ชีวิตของชิงเล่ยก็กลับมาดำเนินไปอย่างมีความสุข นางหวังว่าสักวันหนึ่ง หลินเป่ยเฉินจะกลับมาปรากฏตัวที่หอการค้าของคนแคระเทวะเพื่อตามหาตัวนาง…

นั่นคือความหวังลึก ๆ ในจิตใจ

โชคร้ายที่เขาไม่เคยกลับมาอีกเลย

ชิงเล่ยเริ่มที่จะเลิกคิดถึงเขาแล้ว

ถึงอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกทอดทิ้ง

ชิงเล่ยรู้ดีถึงความยากลำบากของชีวิต อีกเพียงไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นเพียงอดีตที่ปลิวหายไปในสายลม ไม่มีสิ่งใดให้คิดถึงอีกแล้ว

อีกอย่าง เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดทางจิตใจที่ชิงเล่ยเคยได้รับมาก่อนหน้านี้ การพลัดพรากครั้งนี้ยังจะนับว่าเป็นอะไรได้

และเด็กหนุ่มในชุดเสื้อเกราะสีดำก็ไม่ใช่บุรุษของนางอยู่แล้ว

ชิงเล่ยเพียงคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น

ตัวชั่วร้ายอย่างหลินเฟิงอี้นำลูกสมุนของเขามาที่นี่เพื่อแย่งชิงตัวอันอัน แต่ในยามที่ชิงเล่ยกำลังหมดหวังมากที่สุด เด็กหนุ่มผู้เป็นแสงสว่างในชีวิตของนางก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ

ทั้งยังป่าวประกาศอีกว่าเขาคือบุรุษของนาง

ดูเหมือนว่าในขณะนี้ทั้งตัวและหัวใจของชิงเล่ยล้วนตกเป็นของเขาแล้ว

หลินเฟิงอี้ บุรุษหนุ่มผมทองผู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจ

แม้ว่าสตรีนางนี้เขาจะทอดทิ้งไปแล้ว แต่หลินเฟิงอี้ก็จะไม่ยอมให้นางตกเป็นของผู้อื่นเด็ดขาด

“สตรีที่ข้าเคยสัมผัสแล้ว หากผู้ใดมายุ่งเกี่ยวกับนาง มันต้องตาย”

หลินเฟิงอี้เลื่อนมือข้างหนึ่งจับกระบี่ทองคำที่เหน็บอยู่ข้างเอว

รังสีอํามหิตถูกปลดปล่อยออกมาทำให้มวลอากาศรอบกายเกิดความปั่นป่วนในพริบตา

แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหลินเฟิงอี้

“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็เช่นกัน ใครก็ตามที่มายุ่งเกี่ยวกับสตรีของข้า… มันต้องตาย”

ความโกรธแค้นในหัวใจเริ่มปะทุขึ้นมา

หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีจิตใจเป็นนักบุญมาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อรู้ว่าบุรุษผมทองผู้นี้เป็นใคร ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกอยากสังหารขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

อดีตสามี… โดยเฉพาะอดีตสามีผู้ใจจืดใจดำที่ละทิ้งชิงเล่ยไปกับสตรีอื่นได้อย่างไร้ยางอายเช่นนี้ สมควรมีตัวตนอยู่เพียงในป้ายหน้าหลุมศพเท่านั้น

ในเวลาเดียวกันนี้

จังหวะที่หลินเฟิงอี้กำลังจะชักกระบี่ออกมา สีหน้าของบุรุษผมทองก็แปรเปลี่ยนไป

“เศษสวะอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะมาตายด้วยกระบี่ของข้า”

เขาปล่อยมือออกจากด้ามจับกระบี่

“ฆ่ามันซะ”

หลินเฟิงอี้โบกมือออกคำสั่ง

นักรบเทวะในชุดเกราะสีดำสองคนพุ่งร่างออกมารวดเร็วราวกับสายลม กระบี่ประจำกายถูกชักออกจากฝัก พุ่งเข้าโจมตีใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความเกรี้ยวกราด

หลินเฟิงอี้ชำเลืองมองมาที่ชิงเล่ยและหัวเราะเยาะ “ข้าจะให้เจ้าได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าเศษสวะที่เจ้าเลือกนั้น จะตายอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างไร”

“คุณชายระวังตัว…”

ชิงเล่ยอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

แต่ทันใดนั้น เสียงของนางก็ขาดหายไป

เพราะเพียงหลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

เถาวัลย์ขนาดใหญ่สองเส้นก็ทะลวงขึ้นมาจากใต้พื้นดิน ไม่ต่างไปจากอสรพิษจากขุมนรก มิหนำซ้ำ พวกมันยังเป็นเถาวัลย์ที่ลุกเป็นไฟซึ่งกำลังพุ่งโจมตีเข้าใส่นักรบเทวะเกราะดำทั้งสองคนนั้นอีกด้วย

ลมหายใจต่อมา…

นักรบเทวะทั้งสองคนไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องใด ๆ ร่างของพวกเขาก็ระเบิดกลายเป็นหมอกควันสองสาย กระจายตัวหายไปจากโลกใบนี้

วิชาเวทมนตร์?

หลินเฟิงอี้หรี่ตาลง

นี่คือวิชาเวทมนตร์ชนิดใดกัน?

ดูเหมือนจะเป็นวิชาเวทมนตร์เถาวัลย์สายฟ้า แต่วิชาเวทมนตร์นี้ไม่สามารถรองรับพลังธาตุไฟได้นี่

หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปจ้องมองนักรบเทวะชุดเกราะดำที่เหลืออยู่อีกสองคนด้วยความหยิ่งยโสและเหยียดหยาม “ก้าวออกมาสิ ถ้าพวกเจ้าอยากตาย”

นักรบเทวะทั้งสองคนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

หลินเฟิงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะ

“นะ…นี่หรือคือความร้ายกาจของเจ้า? วิชาเวทมนตร์ระดับสามัญเนี่ยนะ?”

มือของเขาเลื่อนไปจับที่ด้ามกระบี่สีทองอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ประเสริฐ ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นเองว่าความแข็งแกร่งของนักรบเทวะที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ข้า…”

วูบ!

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

กำปั้นทมิฬก็อัดกระแทกเข้าใส่ดั้งจมูกของหลินเฟิงอี้อย่างแรง

บุรุษผมทองมองเห็นดวงดาวระยิบระยับ

สมองของเขามึนงงสับสน

รู้ตัวอีกที หลินเฟิงอี้ก็ล้มลงมานอนกองอยู่กับพื้นดิน จมูกของเขาเบี้ยวไปข้างหนึ่ง โลหิตไหลทะลักออกปากออกจมูกราวกับน้ำพุ

“แค่นี้เองหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าเหยียบหน้าอกของหลินเฟิงอี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ความแข็งแกร่งของนักรบเทวะที่แท้จริงน่ะ? หากความแข็งแกร่งของเจ้ามีเพียงเท่านี้ ยังกล้ามาปากดีต่อหน้าข้าได้อย่างไร? เจ้ามันเป็นเพียงเศษสวะผู้หนึ่งเท่านั้น ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน”

บุรุษผมทองมีความสามารถเพียงเทพเจ้าชั้นปลายแถว แล้วยังกล้ามาทำตัววางท่าใหญ่โตต่อหน้าเขาได้อย่างไร