ตอนที่ 1814 ใกล้อีกแค่เอื้อม

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ลั่วจ่างเฟิงชะงักและกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูด

สถานที่แห่งนี้คือค่ายอาคมป่าดอกท้อสวรรค์ ขนาดเขาที่มีแผนที่ที่ได้รับจากราชานิรันดร์ ก็ยังใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่พวกเจ้าที่ไม่มีแผนที่สามารถมาถึงก่อนข้าได้อย่างไร?

หากมีเพียงแค่คนสองคนเขาก็อาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยได้ แต่ทว่าจำนวนของคนที่มาถึงจุดหมายได้นั้นมีอยู่ด้วยกันถึงสิบกว่าคน เพราะงั้นมีรึที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ?

ลั่วจ่างเฟิงอ้าปากค้าง เขารู้สึกตกตะลึงจนแทบจะเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้น

‘พรึบ’ ใบของต้นดอกท้อเกิดการสั่นไหว พร้อมกับร่างของสตรีที่งดงามได้ปรากฏตัว

ร่างนั้นคือจื่อเหอปิงอวิ๋น ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความตกตะลึงที่ไม่ต่างจากลั่วจ่างเฟิง   สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน? นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ธิดาโร๋ว เป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆกระซิบกระซาบพูดคุยกัน พวกเขาทุกคนสังเหตุเห็นเช่นกันว่าบริเวณแห่งนี้นั้นแตกต่างไปจากส่วนอื่นของป่าดอกท้อ ซึ่งที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ซ่อนวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ร่างเงาเคยเอ่ยถึงแน่นอน

ลั่วจ่างเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ยังไม่ถูกใครชิงไป เขาก้าวเดินขึ้นหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง ออร่าอันน่าเกรงขามของเขาส่งผลให้คนที่ขวางทางอยู่หลบทางให้โดยไม่รู้ตัว

เขาเพิ่งจะบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานก็จริง แต่ในการทดสอบก่อนหน้านี้ เขาได้รับวาสนาจนพลังบ่มเพาะยกระดับขึ้นมาเป็นนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ในตอนนี้ต่อให้เป็นราชาระดับสี่นิพพานสูงสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!

นอกจากจื่อเหอปิงอวิ๋นที่ถูกส่งมาแย่งชิงหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กับเขา คนอื่นๆก็เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น

ทางด้านของหลิงฮันนั้น ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เขาก็สับสนเป็นอย่างมากว่าวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ว่ามันซ่อนอยู่ไหนกันแน่

แต่ทันทีที่เห็นลั่วจ่างเฟิงก้าวเข้ามาใกล้ เขาก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างออก และขยับตัวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้

อีกฝ่ายเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้แย่งชิงแร่โลหะนิรันดร์ในที่แห่งนี้มาก่อน เพราะงั้นบางทีลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นอาจจะได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างมาจากราชานิรันดร์ที่ว่าก็เป็นได้

ในเมื่อตนเองไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แล้วทำไมไม่ลองปล่อยให้คนอื่นเป็นคนทำหน้าที่นั้นแทนล่ะ?

ลั่วจ่างเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

เขาคิดไปเองว่าที่หลิงฮันหลีกทางนั้น เป็นเพราะหวาดกลัวในพลังของเขาที่เป็นราชาในหมู่ราชา

ที่ด้านข้างของเขา จื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ห้าวหาญและงดงาม

เพียงแต่พวกเป่ยหยิ่วย้ง เชียนจ้าวเถี้ยนและคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังบั้นท้ายของนาง และภาพก้นอันขาวเนียนก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว

จื่อเหอปิงอวิ๋นมีโทสะขึ้นมาทันที สายตาของนางกวาดมองหลิงฮันก่อนที่จะร่างกายจะสั่นสะท้านและระเบิดจิตสังหารออกมา

เพียงแต่ว่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์นั้นมีความสำคัญมากเกินไป มันคือสมบัติที่จะช่วยให้นางสร้างประวัติศาสตร์การบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน!

เพราะงั้นตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง และต้องตามหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรก

เมื่อเดินมาถึงต้นดอกท้อที่เป็นเป้าหมาย จื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยืนนิ่งและยกหน้าที่เปิดเส้นทางให้เป็นของลั่วจ่างเฟิง เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะแย่งชิงวาสนา

ลั่วจ่างเฟิงลงมือโดยไม่มีใครรบกวน หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก จู่ๆโพรงที่ต้นดอกท้อก็ส่องประกายแสงสลัวออกมา พร้อมกับปรากฏบันไดหินที่ด้านใน

ลั่วจ่างเฟิงเผยรอยยิ้ม โพรงของลำต้นดอกท้อนั้นคือรูปแบบอาคมอย่างหนึ่ง โดยปกติแล้วการจะถอดรูปแบบอาคมนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหมื่นปี เพียงแต่ว่าเขาได้รับวิธีการมาจากราชานิรันดร์แล้ว การถอดรูปแบบอาคมจึงเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว

สายตาของเขากวาดมองไปยังคนอื่นๆอย่างเชื่องช้า แต่ทันทีที่มองเห็นจักรพรรดินี ลมหายใจของเขาก็กลายเป็นติดขัด

ปะ… เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่บนโลก?

“หลบไป!” จื่อเหอปิงอวิ๋นแทรกตัวเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา นางเป็นคนแรกที่กระโดดเข้าไปยังโพรงและก้าวเดินบนบันไดหิน

“ก้นที่ใหญ่เกินไปของเจ้า ช่างส่งผลเสียต่อสายตาจริงๆ” เสียงตำหนิของหลิงฮันที่จู่ๆก็ดังขึ้นจากด้านหลัง แทบจะทำให้นางทรุดตัวล้มลงกับพื้น

ฝากไว้ก่อนเถอะ!

จื่อเหอปิงอวิ๋นกำด้ามดาบแน่น นางขอสาบานว่าหลังจากที่ได้รับหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาแล้ว นางจะต้องสังหารหลิงฮันให้ได้

ลั่วจ่างเฟิงพยายามสงบจิตใจ ถึงแม้จักรพรรดินีจะงดงามมากจนทำให้เขาตื่นเต้น และอยากจะนำตัวมาครอบครองแค่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้ทีหลังและก้าวเข้าสู่โพรงบนลำต้นดอกท้อ

หลิงฮันและจักรพรรดินีจับมือกันก้าวเข้าสู่โพรง ที่ด้านหลังพวกเขา พวกธิดาโร๋ว เชียนจ้าวเถี้ยน เถิงเซินและคนอื่นๆเองก็ค่อยๆตามเข้ามาทีละคน รวมๆแล้วจำนวนคนที่อยู่ในที่แห่งนี้นั้น มีอยู่ถึงสิบสี่คนด้วยกัน   ถึงแม้สิ่งที่พวกเขาพบเห็นหลังจากเข้าสู่โพรงต้นไม้จะมีแค่เพียงความมืดมิด แต่หลังจากก้าวเดินไปสักพัก เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏพื้นที่สีขาว โดยที่ระยะทางที่ห่างออกไปได้มีภูเขาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกขาวลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมาในระยะสายตา

เมื่อเดินต่อไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดบันไดหินก็มาบรรจบอยู่ที่ภูเขาหมอกขาว

ภูเขาลูกนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก โดยรอบของภูเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเมฆหนาทึบ ทำให้ไม่รู้ว่าตำแหน่งของที่พวกเขาอยู่นั้นคือตรงไหน แถมยังบดบังทัศนวิสัยจนมองอะไรแทบไม่เห็นอีกด้วย

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว แม้แต่จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงเองก็ต้องหยุดนิ่ง สิ่งที่พวกเขารู้มาจากราชานิรันดร์ มีเพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้มีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ซ่อนเอาไว้เท่านั้น แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตำแหน่งของที่ซ่อนที่ว่านั้นอยู่ตรงไหน

กล่าวคือเมื่อมาถึงภูเขาลูกนี้แล้ว จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงย่อมไม่ได้เปรียบคนอื่นๆอีกต่อไป

“วาสนาอันยิ่งใหญ่คืออะไรกันแน่นะ?” หลินฟางเอ่ยถาม นางเองก็เป็นสตรีที่งดงามเช่นกัน เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้มีทั้งธิดาโร๋ว จื่อเหอปิงอวิ๋นและจักรพรรดินีอยู่ด้วย ความงดงามของนางจึงไม่เป็นที่โดดเด่นอะไร

คนอื่นๆส่ายหัว มนุษย์ร่างเงาบอกเพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้มีวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร เพราะงั้นไม่ว่าใครในที่นี้ก็ล้วนแต่รู้สึกสงสัยไม่แพ้กัน

หลิงฮันก็ไม่มีข้อยกเว้น เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าวาสนาที่ว่าคืออะไร ซึ่งเมื่อลองครุ่นคิดดูดีๆแล้ว การที่ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นมายังที่นี่โดยคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างมากนั้น ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแต่ทั้งสองจะต้องวางแผนมาที่นี่เพื่อครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่ก่อนแล้วแน่นอน

การที่สามารถดึงดูดผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ได้แบบนี้ วาสนาที่ว่าจะต้องมีความล้ำค่าเกินกว่าจะจินตนาการแน่นอน

“อืม… หรือว่าจะเป็นหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?” จู่ๆเสียงของหอคอยน้อยก็เอ่ยขึ้น