ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 1001 เยี่ยนตี๋

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ก็อดมองละอองเมฆความโกลาหลที่เหมือนกับดอกบัวบนศีรษะของเยี่ยนตี๋ไม่ได้

“ไม่ใช่ท่านตามหามันจนเจอ แต่มันตามหาท่านจนเจอ?” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวทวน “แน่ใจหรือขอรับ”

เยี่ยนตี๋เงียบงันไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “ข้าไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญ”

“…เหตุผลเล่า” เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างใคร่ครวญ

ผู้เป็นบิดายื่นมือออกมา เมฆแปลงกำเนิดบนศีรษะของเขาลอยลง และกลายเป็นดอกบัวขนาดเล็ก มีสีดำยากจะบรรยาย มันลอยค้างอยู่เหนือฝ่ามือของเขา

“ตั้งแต่ได้เห็นเมฆแปลงกำเนิดนี้ ข้าก็รู้สึกใกล้ชิดอย่างแปลกประหลาด” เยี่ยนตี๋สีหน้ายิ่งมายิ่งพิกล “นอกจากนี้ในพริบตานั้น ข้าก็รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร”

“ข้าคุ้ยเคยกับเมฆแปลงกำเนิดมากที่สุด แต่ว่าในความทรงจำของข้า ข้าสมควรเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก”

ครั้นพูดถึงตรงนี้ เยี่ยนตี๋ค่อยหยุดลง

สักพักต่อมา เขาค่อยเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “ยากจะอธิบาย แต่ข้ารู้สึกได้ถึง…อ้อมกอดของมารดา?”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ปั้นสีหน้าครุ่นคิด ตั้งใจพิจารณาเมฆแปลงกำเนิดบนฝ่ามือของเยี่ยนตี๋

“หลังจากเมฆแปลงกำเนิดนี้มาอยู่ในมือของข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหลอมมัน ใช้มันได้ดุจแขนขา เหมือนกับว่า…” เยี่ยนตี๋คิดหาคำพูด “เหมือนกับมันเป็นของข้าอยู่แล้ว”

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอขบคิดครู่หนึ่ง เขาก็พลันถามว่า “ที่บำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยของจักรพรรดิแพรที่เราไปในครั้งนั้น เหมือนกับเป็นการไปยังมิติต่างแดนเป็นครั้งแรกของท่านกระมัง”

เยี่ยนตี๋ใช้ฝ่ามือดันเมฆแปลงกำเนิดคืนสู่บนศีรษะเบาๆ เอ่ย “มิผิด เป็นเช่นนั้นเอง”

“เรื่องที่เจ้าคิดพูด ข้าเองก็นึกถึงแล้ว บางทีมันอาจรอข้าอยู่ในมิติต่างแดนมาโดยตลอด ในตอนที่ข้าไปอยู่ในมิติต่างแดน มันค่อยตามหาข้าเอง”

สีหน้าของเยี่ยนตี๋เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

“คำถามคือ…เพราะเหตุใดกัน” เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วนวดขมับของตัวเองเบาๆ เงยหน้ามองบิดา “มันรอท่านมาโดยตลอด คล้ายกับเป็นของท่านมาตั้งแต่ต้น ท่านยังรู้สึกถึงความใกล้ชิดและความคุ้นเคย…”

เยี่ยนตี๋เข้าใจความหมายในวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอ เพราะที่ผ่านมาเขาก็สงสัยเช่นกัน

“ในอดีตตอนที่บึงน้ำไร้ขอบเขตก่อความวุ่นวายบนโลกแปดพิภพ กว่างเฉิงประสบเพทภัย ในตระกูลก็เกิดความปั่นป่วน”

เยี่ยนตี๋เอ่ยอย่างแช่มช้า “คำพูดของพวกเยี่ยนเหวินเต้าเป็นเรื่องจริง”

“ข้า…ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแม่”

“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้น และคนที่บอกความจริงให้ข้าทราบก็คือท่านพ่อ”

“เพียงแต่ในใจของข้า ข้าถือว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลเยี่ยน ในตระกูลเองก็มีคนที่ถือว่าข้าเป็นครอบครัว นี่เพียงพอแล้วสำหรับข้า”

“จะได้เป็นประมุขตระกูลหรือไม่ สำหรับข้าไม่สำคัญ แต่ในเมื่อท่านปู่มอบตำแหน่งประมุขตระกูลแก่ข้า ข้าก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยง และไม่ต้องการทำให้ท่านผู้เฒ่าผิดหวัง”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินบิดาของตนกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน ก็พยักหน้าอย่างเงียบงัน

คนที่สงสัยสถานะของเยี่ยนตี๋ในตอนนั้น มีจดหมายที่บิดาของเยี่ยนตี๋และปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอเขียนด้วยตัวเอง เมื่อวิเคราะห์ลายมือแล้ว พบว่าไม่ใช่ของปลอม

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เยี่ยนจ้าวเกอก็พอจะรู้คร่าวๆ

“ในตอนนั้นตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในเกาะนภากลางในนภาพิภพ แต่ว่าอยู่ที่แผ่นดินจ้าวบนอัสนีพิภพ” เยี่ยนตี๋มีสีหน้านึกถึงความหลัง “ท่านพ่อเก็บข้าได้จากในเขา เพราะว่าของที่อยู่บนตัวข้า สุดท้ายจึงนำข้ากลับตระกูล”

เขาพูดพลางล้วงเอาหยกแขวนสองอันออกมาวางไว้ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

หยกแขวนสองอันนั้นมีลักษณะเหมือนกันโดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่มาคู่กัน

พวกมันดูธรรมดายิ่ง แม้จะไม่ได้เป็นของวิเศษล้ำค่าอะไรนัก แต่ก็ประณีต มีลักษณะงดงามยิ่ง

หยกแขวนสองอันสลักคำไว้สองคำ

‘เยี่ยน’ และ ‘ตี๋’

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็แตะนิ้วกับริมฝีปาก ‘อาจจะเป็นแซ่ของคนสองคน’

ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา

ความเป็นไปได้ที่จะเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีมีสูงยิ่ง

แต่เยี่ยนจ้าวเกอทราบว่า บิดาของตนต้องมีการคาดเดาคล้ายกันแน่

“เพราะว่าสิ่งนี้ บิดาจึงนำข้ากลับตระกูล” เยี่ยนตี๋หยิบหยกแขวนที่สลักตัวอักษร ‘เยี่ยน’ อันนั้นขึ้นมา ลดเสียงกล่าวว่า “ตอนแรกเขานึกว่าเป็นพี่น้องคนหนึ่งในตระกูลพลัดหลงกับลูกหรือทอดทิ้งลูก แต่หลังจากตรวจสอบอยู่หลายครั้ง ก็แน่ใจว่าไม่ใช่”

“ถึงแม้จะไม่ใช่คนในตระกูล แต่ท่านพ่อรู้สึกว่าล้วนแซ่เยี่ยนเหมือนกัน สุดท้ายมีวาสนา ดังนั้นจึงชุบเลี้ยงข้า”

เยี่ยนตี๋กล่าวพลางหยิบหยกแขวนที่สลักตัวอักษร ‘ตี๋’ อันนั้นขึ้นมา “ข้าแซ่เยี่ยน ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก แต่ว่าชื่อของข้ามาจากสิ่งนี้”

เยี่ยนจ้าวเกอรับหยกแขวนสองอันนั้นมา ใช้มือถือไว้คนละข้าง พลางมองดูอย่างละเอียด

“ท่านแม่มองข้าแบบไหน ก่อนหน้านี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นัก” เยี่ยนตี๋ระบายลมหายใจออกยาวๆ “จนกระทั่งตระกูลประสบอันตรายระหว่างเดินทางจากแผ่นดินจ้าวบนอัสนีพิภพไปยังเกานภาะกลางที่นภาพิภพ ท่านพ่อได้บอกข้าทุกอย่างก่อนที่จะเสียชีวิต”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปู่…ก็ไม่รู้ว่าท่านมาจากไหนเหมือนกัน”

เยี่ยนตี๋เงยหน้าเล็กน้อย มองเมฆแปลงกำเนิด “หลายปีมานี้ข้าไม่ได้สนใจว่าข้ามาจากที่ไหนกันแน่ แต่ว่าคล้ายกับไม่ได้ตั้งใจ คำตอบกลับเข้าหาข้าเอง”

สองพ่อลูกสบตากัน ต่างส่ายหน้า

ถ้าหากว่าเยี่ยนตี๋มีชาติกำเนิดธรรมดาก็ยังพอว่า

แต่ถ้าหากมีความเป็นมาอย่างอื่น เช่นนั้นนั่นจะเป็นโชคหรือเป็นคราเคราะห์ก็ยากจะบอกแล้ว

เมฆแปลงกำเนิดตรงหน้าเป็นของที่ดีจริงๆ แต่ผู้ใดจะทราบว่าเป็นรากเหง้าอันตรายที่แอบซ่อนไว้หรือไม่

เยี่ยนจ้าวเกอสลัดความคิด เปลี่ยนเป็นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อมีเมฆแปลงกำเนิดคอยคุ้มครอง การโจมตีของสรรพวิชาในโลกล้วนส่งผลต่อท่านแค่ครึ่งเดียว การโจมตีมากมายถึงขั้นไม่อาจแสดงผล”

“เมื่อมีมัน ตอนที่ท่านเผชิญกับคู่ต่อสู้มากมาย ก็แทบจะกล่าวได้ว่า ก่อนจะลงมือ ก็อยู่ในสถานะไม่แพ้แล้ว”

เยี่ยนตี๋ที่เดิมทีมีสภาวะโจมตีสะท้านฟ้า ดุดันไม่ธรรมดา ในตอนนี้มีเมฆแปลงกำเนิดคอยคุ้มครอง การโจมตีและการป้องกันล้วนสุดโต่ง ต่างเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา

“สถานการณ์ต่อสู้เปลี่ยนแปลงมากมายในชั่วอึดใจ เมฆแปลงกำเนิดไม่ได้แข็งแกร่งไม่อาจทำลาย” เยี่ยนตี๋กลับสงบนิ่งยิ่ง “เหมือนกับชิงซู่จื่อลูกศิษย์ของจักรพรรดิเอกภพที่ครั้งนี้เจ้าต้องสู้ด้วย เอกภพในแขนเสื้อของเขาค่อนข้างป้องกันยากจริงๆ”

“หากถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่โอกาสล้วนหายไปหมดสิ้น”

เยี่ยนจ้าวกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อมีเมฆแปลงกำเนิดอยู่ นอกจากจักพรรดิเอกภพจะมาจัดการท่าน ไม่อย่างนั้นวรยุทธ์ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนปวดหัวอย่างวรยุทธ์เอกภพในแขนเสื้อก็ทำอะไรท่านไม่ได้อยู่ดี แต่พูดถึงจักรพรรดิเอกภพกำเนิดแล้ว…”

เขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกซ้อนโลก แต่ไม่แน่ใจว่าหลังจากได้รับข่าวแล้วจะกลับมาหรือไม่ เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเราทำลายแผนการบนทะเลหวงเจียของเขา ก่อนหน้านี้เพราะถือตัว จึงหาเรื่องแค่ประมุขอาคเนย์เท่านั้น ไม่ได้เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”

“ครั้งนี้ข้ากำจัดชิงซู่จื่อกับนักพรตเซียนหลาน จักรพรรดิเอกภพกำเนิดตอนนี้มีเหตุผลให้ลงมือแล้ว”

เยี่ยนตี๋ได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างเฉื่อยชา “ฆ่าคนย่อมถูกคนฆ่า อีกฝ่ายในเมื่อร่วมกับคนจากเนินต้นจักรพรรดิกลุ้มรุมสังหารเจ้า เมื่อสู้ไม่ได้กลับถูกเจ้าสังหารเป็นเรื่องปกติ”

“ถ้าจักรพรรดิเอกภพมาก็แค่ต้องสู้กัน คนสู้ข้าไม่ได้ข้าสังหารคน ข้าสู้คนไม่ได้คนสังหารข้า เหตุผลนี้คนที่ฝึกฝนวรยุทธ์ทุกคนล้วนทราบตั้งแต่เรียนกวรยุทธ์วันแรก”

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “พวกเราฆ่าคนย่อมดี หากถูกคนฆ่า รสชาติคงไม่ดีนัก”

“เพียงแต่เวลาไม่รอคน ปัญหาตอนนี้ก็คือ เวลาที่พวกเราเหลืออยู่อาจจะมีจำกัดยิ่ง”