บทที่ 1985 ทำลายค่ายกลผนึก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ประมุขพุทธะที่สุขุมมาตลอดสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เมื่อเห็นเขาอ่านไม่หยุด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกว่า “หุบปาก!”

ประมุขชิงจ้องประมุขพุทธะอย่างสงสัย ได้ยินคำว่า ‘อเวจี’ จากปากพระปีศาจติดต่อกันหลายคำ ก็ทำให้เขาสงสัยบ้างแล้ว เพราะวิชาที่ประมุขพุทธะฝึกก็คือ ‘มหาเวทอเวจี’ กอปรกับปฏิกิริยาของประมุขพุทธะ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าที่พระปีศาจพ่นออกมาคือเคล็ดวิชาฝึกตนของมหาเวทอเวจี?

พระปีศาจหนานโปหัวเราะเบาๆ แล้วก็หุบปากไปจริงๆ แต่ก็แค่หุบปากให้ประมุขพุทธะเท่านั้น แต่กลับมองไปที่ประมุขชิง ปากพึมพำท่องอีกครั้ง “รูปโฉมสามัญทว่าใจประสานฟ้า กลมกลืนสังคมทว่าคงความไร้เดียงสา สูงส่งทว่าใจกว้าง สรรพสิ่งมิสอดคล้องสัจธรรม ประพฤติตัวซื่อตรงเพื่อให้สรรพสิ่งเห็นแจ้ง เจตนาชั่วต่อผู้อื่นย่อมสลายไป ปราชญ์ผู้มีคุณธรรม เบื้องบนสามารถสอดแนมฟ้าคราม เบื้องล่างสามารถหยั่งน้ำพุใต้ธรณี แปดทิศไร้สิ่งกีดขวาง สีหน้ามิเปลี่ยนแปลง…”

พอเปลี่ยนมาท่องคำพูดพวกนี้ แต่กลับถึงคราวที่ประมุขชิงสีหน้าเปลี่ยนแล้ว นี่ก็คือ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ที่เขาฝึก

เมื่อประมุขพุทธะเห็นปฏิกิริยาของเขาก็เดาออกแล้ว สีหน้ากลับยิ่งตกตะลึงมากขึ้น ที่พระปีศาจหนานโปท่องก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ก็คือมหาเวทอเวจีที่เขาฝึก พระปีศาจไม่เพียงแค่รู้จักมหาเวทอเวจีที่เขาฝึก ทั้งยังคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าของประมุขชิงด้วยหรือ?

“หุบปาก!” ประมุขชิงตะคอกเช่นกัน

พระปีศาจหนานโปหุบปาก ดวงตาเพลิงจ้องทั้งสอง แล้วส่งเสียงหัวเราะหึ่งๆ ดังก้องวัด หัวเราะจนทั้งสองหนังศีรษะชาวาบ

“เจ้ารู้จักเคล็ดวิชาที่พวกเราฝึกได้ยังไง?” ประมุขพุทธะอดไม่ได้ที่จะถาม

พระปีศาจหนานโปตอบว่า “เคล็ดวิชาของข้าควบคุมตาแก่ไป๋เหมยไม่ได้ แต่ก่อนที่ขู่หมิงกับชิงเทียนจะตาย พอเผชิญกับเคล็ดวิชาของข้าก็คายออกมาหมด ไม่ต้องแปลกใจหรอก ของที่ข้าเรียนได้มีตั้งเยอะ พวกเจ้าอยากเรียนมั้ยล่ะ?”

ถ้าจะบอกว่าทั้งสองไม่ใจเย็นเลยสักนิด นั่นก็เป็นคำโกหกแล้ว แต่ทั้งสองรู้แจ่มชัด ว่าความสามารถที่แท้จริงของพระปีศาจหนานโปคือสิ่งที่พวกเขาเรียนไม่ไหว คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังควบคุมใต้หล้าแล้ว ยิ่งไปกกว่านั้นกำลังอาวุธของพวกเขาก็คือสิ่งที่อยู่สูงสุดของใต้หล้า แม้ทั้งสองจะปรารถนาบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ใครจะไปรู้ว่าพระปีศาจหนานโปจะทำร้ายพวกเขาได้หรือเปล่า สิ่งนี้ก็พิสูจน์ตรวจสอบลำบาก อีกทั้งจุดประสงค์ของพระปีศาจหนานโปก็ยังชัดเจนมาก นั่นก็คืออยากถ่วงเวลาตายของตัวเอง

เพราะอะไรทั้งสองจึงยอมทุ่มทุนหลายปีขนาดนี้เพื่อตามหาสถานที่ผนึก ไม่ใช่เพื่อระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นหรอก แต่จะปล่อยพระปีศาจตนนี้ไว้ไม่ได้ จะให้โอกาสพระปีศาจตนนี้หลุดรอดออกไปไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าให้พระปีศาจหนีไป เกรงว่าต่อให้บรรลุถึงระดับระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็รับผลที่ตามไม่ไหว

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หันตัวเดินออกไปพร้อมกัน

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากเรียน ไม่แน่ว่าอาจมีคนอื่นอยากเรียนก็ได้” พระปีศาจหนานโปมองเหงาหลังทั้งสองพลางหัวเราะเบาๆ จากนั้นก้าวถอยหลังช้าๆ สองสามก้าว นั่งขัดสมาธิ ประนมมือ แล้วท่องอีกครั้ง “ผู้อยู่ในอเวจีเป็นอมตะ อายุยืนยาวคือทุกข์เข็ญใหญ่ในขุมอเวจี อเวจีไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ไร้ช่องว่าง แดนรับกรรมไร้ที่สิ้นสุด ไร้เวลา ไร้ช่องว่าง รับกรรมไร้ขอบเขต…” เสียงดังก้องออกไปนอกวัด

ประมุขชิงและประมุขพุทธะหยุดฝีเท้าพร้อมกัน ประมุขพุทธะสีหน้าบูดบึ้ง พลันหันขวับไปจ้องพระปีศาจหนานโป นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะประกาศมหาเวทอเวจีของเขา จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร แม้จะบอกว่าคนที่อยู่รอบๆ ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินหมดแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ประมุขชิงเองก็สีหน้าแย่เช่นกัน พระปีศาจสามารถท่องมหาเวทอเวจีได้ อีกประเดี๋ยวก็ท่องเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าของเขาได้ จึงโบกมือส่งสัญญาณให้เทียนเจี้ยน

เทียนเจี้ยนโบกทวนทุบผนังวัดทันที

ตุ้งตุ้งตุ้ง…

ในวัดมีเสียงระฆังดังยาว พระปีศาจหนานโปส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนาทันที เอามือกุมศีรษะกลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบ ไม่นานแสงทองบนตัวก็หายไป เสียงกรีดร้องก็หายไปเช่นกัน แข็งกลายเป็นหินอยู่ที่เดิม

ประมุขชิงชี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจที่แข็งกลายเป็นหินอยู่ในวัด พร้อมส่งสัญญาณมือให้เทียนเจี้ยน ว่าขอเพียงพระปีศาจตื่นขึ้นมา ก็ให้ใช้เสียงระฆังควบคุมไว้ทันที

เทียนเจี้ยนพยักหน้าหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

หงส์รุ้งแบกทั้งสองบินขึ้นฟ้า ฝ่าชั้นบรรยากาศไปถึงดาราจักร หลังจากปรึกษากันพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจที่จะสังหารทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจทันที

“เข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนี้แล้วสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์กันหมด ไม่มีทางทำลายวัดได้ ถ้าอยากกำจัดพระปีศาจก็ต้องทำลายค่ายกลก่อน” ประมุขพุทธะหันมองรอบดาราจักรที่กว้างใหญ่ แล้วถอนหายใจอีก “เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มลงมือจากตรงไหนเพื่อทำลายค่ายกลนี้”

ประมุขชิงสั่งให้กำลังพลหนึ่งหมื่นเรียงแถวนอกดาวเคราะห์ผนึกทันที ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงดาวเคราะห์ผนึกพร้อมกันหมื่นดอก หลังจากลพแสงหนาแน่นยิงฝ่าชั้นบรรยากาศเขาไปแล้วก็ไม่ปฏิกิริยาอะไร เรียกกลับมาไม่ได้ด้วย

ทหารคนหนึ่งขี่สัตว์พาหนะบินออกมาจากดาวเคราะห์ ก้าวขึ้นมารายงานว่า “ฝ่าบาท พอลูกธนูดาวตกยิงเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เปลี่ยนรูปร่างทันที อานุภาพของมันถูกพลังลึกลับดูดไปหมด ทั้งหมดร่วงลงพื้น ไม่มีทางแสดงอานุภาพได้อีก”

ประมุขพุทธะขมวดคิ้ว ความคิดที่จะใช้ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีดับวูบแล้วเช่นกัน

“นี่ต้องเป็นค่ายกลดวงดาวแน่นอน” ประมุขชิงกล่าวอย่างมั่นใจ จากนั้นก็หันไปบอกอู๋ฉวี่ทันที “สั่งให้คนวาดแผนที่ดาวสามมิติในอาณาเขตนี้เดี๋ยวนี้ เร่งมือ!”

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่เอ่ยรับ จากนั้นก็ระดมทัพใหญ่ไปปฏิบัติการ

ขณะมองคล้อยหลังกำลังพลกระจายกันไปตามจุดต่างๆ ของดาราจักร ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็สบตากันอย่างจริงจัง ยังไม่ได้จากไปไหน ยังรออยู่ในอาณาเขตดาวผืนนี้ พวกเขาไปพักที่ดาวเคราะห์สำหรับดำรงชีวิตดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

หลังจากนั้นสามวัน แผนที่ดาวที่ทำเสร็จแล้วก็ถูกบันทึกเข้าไปในเข็มทิศแผนที่ดาว กางอยู่ในกระท่อมไม้อย่างง่ายบนยอดเขา ประมุขชิงและประมุขพุทธะล้วนอยู่ที่นี่ ตรวจสอบแผ่นที่ดาวในเข็มทิศซ้ำไปซ้ำมา ดูไปดูมาก็ยากที่จะมองออกว่าค่ายกลอยู่ที่ไหน ประเด็นก็คือไม่รู้ว่าใช้ค่ายกลอะไร

ประมุขชิงจ้องเข็มทิศ ขณะครุ่นคิดก็กล่าวว่า “ถ้าคิดจะทำลายค่ายกลดวงดาวนี้ เกรงว่าจะต้องทำลายดาวเคราะห์พวกนี้”

ประมุขพุทธะถอนหายใจ “ปัญหาก็คือมีดาวเคราะห์มากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าดวงไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับค่ายกล”

ประมุขชิงใช้นิ้ววาดวงกลมอาณาเขตโดนใช้ดาวเคราะห์ผนึกเป็นจุดศูนย์กลาง “ดาวเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลไม่มีทางอยู่ห่างจากดาวเคราะห์ดวงนี้เกินไป น่าจะอยู่ในบริเวณนี้ อาศัยกำลังคนของพวกเรา ถ้าอยากจะลองทดสอบว่าดาวเคราะห์ดวงไหนเกี่ยวข้องกับค่ายกลใหญ่ก็ไม่ยาก แค่ทำลายดาวเคราะห์นับร้อยในอาณาเขตนี้ทิ้งทีละดวง”

ประมุขพุทธะพยักหน้า “ดูจากตอนนี้ ก็คงจะมีแค่วิธีการโง่ๆ นี้แล้ว”

ประมุขชิงเงยหน้า “อู๋ฉวี่ ไปจัดการตามนี้”

หลังจากปรึกษากันเสร็จ อู๋ฉวี่ก็ไปวางกำลัง ประมุขชิงและประมุขพุทธะขี่หงส์รุ้งไปยังสถานที่ผนึกอีกครั้ง ไปรออยู่นอกวัด ป้องกันไม่ให้พระปีศาจหนานโปหนีไปตอนทำลายค่ายกลแล้ว ขอเพียงทั้งสองอยู่ที่นี่ พอค่ายกลถูกทำลายเมื่อไร อาศัยพลังของทั้งสองก็เพียงพอให้กำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจทิ้ง

“ระวังตัว!”

ทัพใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่ในดาราจักรเพิ่งระเบิดดาวเคราะห์ไปดวงหนึ่ง กำลังดูดาวเคราะห์ระเบิดเหมือนดอกไม้ไฟอยู่ในดาราจักร แล้วจู่ๆ ก็ร้องตกใจ

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลทัพใหญ่ก็ก็ลนลานหนีออกเป็นสองฝั่ง เห็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งพุ่งเข้ามาชนอย่างรวดเร็ว ลักษณะพลังน่าตกใจ มีคนไม่น้อยรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาลท่ามกลางความลึกลับดาวเคราะห์ดึงดาวเคราะห์ดวงนี้เข้ามา

กำลังพลส่วนน้อยที่หลบไม่ทันถูกดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้ามากะทันหันชนแล้ว ถูกชนจนเงาคนหายไป ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ชนกับคนที่เล็กขนาดนั้น ก็เหมือนชนกับฝุ่นผง มองไม่เห็นและไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว

ตรงตำแหน่งที่ดาวเคราะห์เพิ่งระเบิดเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่ามีดาวเคราะห์พุ่งมาจากไหนมาหมุนวนและหยุดอยู่ตรงนั้น ลักษณะการหมุนช้าลงทีละนิด เข้ามาแทนที่ดาวเคราะห์ดวงที่ระเบิดออกดวงนั้น กำลังพลส่วนใหญ่เพิ่งเคยเห็นเรื่องอัศจรรย์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก

อู๋ฉวี่ที่มองอยู่ไกลๆ เม้มริมฝีปากแน่น หยิบแผ่นหยกออกมา ทำสัญลักษณ์ตำแหน่งดาวเคราะห์ดวงนี้ โจมตีทำลายดาวเคราะห์ไปสิบกว่าดวงแล้ว นี่เป็นดวงแรกที่ผิดปกติ

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ซ่างกวนชิงก็มาถึงหน้าวัดที่วัดผนึก เชิญประมุขชิงและประมุขพุทธะกลับไปในดาราจักรก่อนชั่วคราว

“ฝ่าบาท ประมุขพุทธะ” อู๋ฉวี่เข้ามาต้อนรับในดาราจักร แล้วก็เชิญให้ทั้งสองไปอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่ลอยอย่างไร้ระเบียบ จากนั้นกางเข็มทิศแผนที่ดาว เลือกแผนที่ดาวออกมาบริเวณหนึ่ง เป็นแผนที่ดาวที่มีดาวเคราะห์สิบสามดวง เขาชี้พร้อมอธิบาย “ดวงเคราะห์ดวงตรงกลางก็คือสถานที่ผนึก ดาวเคราะห์สิบสองดวงรอบๆ ก็คือดาวเคราะห์ที่ฝ่าบาททดสอบว่าเกี่ยวข้องกับกับค่ายกลหรือไม่”

ประมุขพุทธะใช้นิ้วทั้งห้าดูด ฝุ่นผงบนพื้นลอยขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แล้วรวมกันอยู่ในฝ่ามือเขา จากนั้นวาดตรงระหว่างดาวเคราะห์บนเข็มทิศ ฝุ่นดินที่วาดแล้วตกลงหลายเป็นแนวเส้น ไม่นานแผนที่ดาวหกแฉกก็ปรากฏบนเข็มทิศ ดาวเคราะห์ที่เป็นสถานที่ผนึกก็อยู่ระหว่างดาวหกแฉกนี้เอง

ทุกคนจ้องตรวจสอบบนแผนที่ ประมุขพุทธะปัดฝุ่นในมือจนสะอาด แล้วชี้บอกว่า “นี่น่าจะเป็นความเกี่ยวโยงของค่ายกล ไม่รู้ว่าใช้วิชาลับอะไร แต่ขอแค่ทำลายดาวเคราะห์พวกนี้ทิ้งแล้ว ค่ายกลก็น่าจะถูกทำลายไปด้วย”

อู๋ฉวี่ส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ขอรับ ที่จริงเคยทำลายดาวเคราะห์พวกนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง แต่พอทำลายทิ้งไปหนึ่งดวง ก็มีพลังลึกลับดูดดาวอีกดวงมาเติมทันที รวบรวมคนให้ทำลายดาวเคราะห์หลายดวงพร้อมกันก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน อานุภาพของค่ายกลนี้น่าตกใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ไม่ว่าใครเข้ามาในค่ายกลนี้ก็ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์หมด จะต้องการจะทำลาย เกรงว่าต้องหาแกนค่ายกลก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าแกนค่ายกลอยู่ตรงไหน คาดว่าคงมีแค่คนที่วางค่ายกลเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด!”

“ทำลายไปดวงหนึ่งแล้วมีมาเติมอีกดวงหนึ่ง?” ประมุขชิงจ้องแผนที่ดาวพลางแสยะยิ้ม บอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไม้ที่ไร้รากจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าทำลายหลายดวงไม่ได้ผลก็ทำลายพร้อมกันให้หมด ถ้ากำลังพลไม่พอก็ระดมมาอีก สั่งให้สี่ทัพระดมกำลังพลมาฝั่งละสิบล้าน เวลาแบบนี้พวกเขาคงไม่กล้าบ่น”

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว สี่ทัพก็ไม่กล้าชักช้า รวบรวมทัพใหญ่ตามมาโดยเร็วที่สุด

ไม่ใช่แค่กำลังพลที่มาถึง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ หรือแม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งก็นำคนหลายหมื่นตามมาด้วย พวกที่ยามปกติไม่เข้าประชุมขุนนาง ครั้งนี้มาเยี่ยมคารวะประมุขชิงพร้อมกันแล้ว

ในเวลานี้ประมุขชิงไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับพวกฮ่าวเต๋อฟาง สั่งให้อู๋ฉวี่ระดมและส่งกำลังพลให้รีบตามไปเตรียมโจมตีดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น

ประมุขชิงและประมุขพุทธะเข้าไปในสถานที่ผนึกอีกครั้ง พวกฮ่าวเต๋อฟางกลัวว่าจะมีอุบาย ไม่กล้าตามเข้าไป แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ทั้งหมดในนั้น จึงส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าไปดูโดยอ้างว่าไปอารักขา

ซ่างกวนชิงที่ตามเข้าไปด้วยกลับมาในดาราจักรแล้ว บอกอู๋ฉวี่ว่า “ฝ่าบาทกับประมุขพุทธะเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ออกคำสั่งทำลายค่ายกลเถอะ!”

ตามคำสั่งของอู๋ฉวี่ ทัพใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำลายดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมกันทันที

ตอนที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงระเบิดพร้อมกัน ตอนที่เหมือนมีดอกไม้สิบสองดอกเบ่งบาน ในดาราจักรก็มีคลื่นล่องหนโหมซัดสาด

ในสถานที่ผนึกภูเขาสะเทือนแผ่นดินสั่นไหว สัตว์ปีกตกใจบินหนี แม่น้ำทะเลสาบราวกับโดนต้มจนเดือด บนทะเลมีคลื่นยักษ์ กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่นอกหุบผาชันมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว เพียงแต่รู้สึกได้ว่าพลังลึกลับที่ระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้เหมือนจะคลายออกทีละนิด

ประมุขชิงและประมุขพุทธะไม่สนใจหินที่ปลิวว่อนอยู่บนหน้าผา พลันหันไปจ้องในวัด

“เฮ้อ…” ราวกับมีเสียงถอนหายใจที่เก็บกดดังมาจากเหวลึก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์พระปีศาจที่กลายเป็นหินอยู่บนพื้นพลันมีรอยแยกหลายรอย ข้างในมีแสงทองจ้าตาเปล่งซึมออกมา

…………………………