บทที่ 612.2 ลมกำลังจะก่อตัว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินชิงตูหันมาพูดกับเว่ยจิ้น “เว่ยจิ้น วันนี้ข้าโน้มน้าวเจ้า เจ้าอาจไม่ยินดีฟังเสมอไป ดังนั้นหลังจากร่วมสงครามใหญ่อีกครั้ง เจ้าค่อยฟังคำข้าก็ได้ ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซะ ถึงเวลานั้นจะมีสามสถานที่ให้เจ้าเลือก ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ทวีปเกราะทอง เจ้าคิดเสียว่าไปท่องภูเขาแม่น้ำก็แล้วกัน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปไม่ควรจะเป็นเพียงแค่คนลุ่มหลงในรักที่เศร้าเสียใจอย่างสุดแสน อีกอย่างอยู่ที่ไหนก็เสียใจได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ห่างไกลเกินไป แม่นางที่ชอบก็มองไม่เห็นเสียหน่อย”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ที่ข้าพูดจาไม่เกรงใจกับเจ้าแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้ายังต่ำกว่าจั่วโย่ว ดังนั้นในอนาคตเมื่อออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็จำให้ดีว่าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ เมื่อเวทกระบี่สูงขึ้นแล้วจะได้ไล่ตามจั่วโย่วได้ทัน และคราวหน้าข้าก็จะพิจารณาว่าจะเกรงใจเจ้าให้มากขึ้น”

เว่ยจิ้นยิ้มเจื่อน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”

เฉินชิงตูกระดกปลายคางชี้ไป “ถามข้าทำไม ไปถามกระบี่ของเจ้าโน่น”

เว่ยจิ้นยิ่งจนใจกว่าเดิม

คราวนี้พอเว่ยจิ้นขอตัวจากไป เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงไม่ได้รั้งตัวไว้อีก

เหลือเพียงคนสองคนที่เวทกระบี่สูงส่ง

เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นไม่ยอมให้จุดตะเกียงอมตะ แต่ทำการค้าเล็กๆ อย่างหนึ่งกับข้า ในอนาคตเมื่ออยู่บนสนามรบจะช่วยเขาหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ช่วยคนที่เขาอยากช่วยหนึ่งครั้ง”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คนที่กลัวตายขนาดนั้น อยู่ดีๆ กลับไม่กลัวตายเสียแล้ว ส่วนจั่วโย่วที่พูดน้อย จู่ๆ กลับพูดมากเสียขนาดนั้น ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่”

จั่วโย่วกล่าว “หากอยากรู้ อันที่จริงก็ง่ายมาก”

แน่นอนว่าต้องเป็นลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งของพวกข้าก่อนค่อยว่ากัน

เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ข้าว่าเจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้ายังอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากอาจารย์ลุงใหญ่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในสายตาของพวกเขา จู่ๆ กลับถูกคนซ้อมเสียจนหน้าเขียวจมูกบวม คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร”

ใช่ว่าจั่วโย่วจะไม่ถือสาคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น จึงถามว่า “หากเขามา จะทำอย่างไร?”

เฉินชิงตูเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งลูบเสยไปบนศีรษะ ลูบเลยไปยันผมที่อยู่ช่วงท้ายทอยของตัวเอง “ประตูใหญ่เปิดอ้า ต้อนรับแขกหมื่นปี เซียนกระบี่รับมือกับศัตรู มีแต่จะรังเกียจว่าปีศาจใหญ่ไม่ใหญ่พอ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

เฉินชิงตูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ในที่สุดก็อยากออกกระบี่เพื่อตัวเองแล้วรึ?”

จั่วโย่วกล่าว “สายของเหวินเซิ่ง พูดแค่เหตุผล ไม่เคยคุยโว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่และอาจารย์ลุงใหญ่จะทำให้คนร่วมสำนักได้รู้ว่า คำกล่าวที่ว่าผู้มีเวทกระบี่สูงสุดในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ไม่ใช่แค่คำชื่นชมที่เกินจริง และคำประเมินนี้ยังต่ำไปด้วยซ้ำ”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ยังอยากได้สูงกว่านี้อีกหรือ? จะสูงแค่ไหน? เขย่งเท้ายืดคอให้มาถึงหัวไหล่ข้าเลยไหม?”

จั่วโย่วกล่าว “เฉินชิงตู ตัดขาดฟ้าดิน มาสู้กันสักตั้ง”

เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินจากไป

จั่วโย่วหลับตาทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง

สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เหมาะแก่การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังมากที่สุด

จุดที่ห่างไปไกลแสนไกล

สตรีโจวเฉิงยังคงโล้ชิงช้าอยู่ดังเดิม นางคลอเพลงพื้นบ้านของที่แห่งอื่นที่ยากจะทำความเข้าใจอยู่ในลำคอ

เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นสอนบทเพลงนี้ให้แก่นาง ก็ไม่ถือว่าสอน แค่ว่าเขาชอบไปนั่งอยู่จุดที่ไม่ห่างจากชิงช้าเท่าไรแล้วคลอเพลงอยู่กับตัวเอง ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าฟัง ยิ่งไม่อยากเรียน ขนาดฝึกกระบี่ยังมีเวลาไม่พอ แล้วจะเรียนเรื่องเลื่อนลอยพวกนี้ไปทำไม

ภายหลังโจวเฉิงได้ยินคำกล่าวว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเป็นครั้งแรก เขายังบอกว่าการที่เขามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นบ้านเกิดในใจของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ก็แค่อยากมาดูเท่านั้น

เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือเดินมาหยุดอยู่ข้างชิงช้า ยื่นมือข้างหนึ่งมากำเชือกเอาไว้แล้วแกว่งเบาๆ

โจวเฉิงไม่ได้หันหน้ากลับไป แค่ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงลู่ มีคนบอกว่าอยากจะมาดูบ้านเกิดในใจ ถึงขั้นไม่เสียดายชีวิต เหตุใดท่านถึงไม่ไปดูมาตุภูมิในใจของท่านบ้าง? ไม่ได้ต้องตายเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังสะสมคุณความชอบด้านการรบมามากขนาดนั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ารับปากท่านมานานแล้ว บอกว่าหากผลการศึกมีมากพอก็จะไม่ขัดขวาง”

ลู่จือคือหญิงสาวที่มีเรือนกายสูงเพรียวผอมบางอย่างเห็นได้ชัดคนหนึ่ง แก้มของนางตอบลงเล็กน้อย เพียงแต่ผิวพรรณขาวนวล หน้าผากโหนกเกลี้ยงเกลา แวววาวประหนึ่งสะสมแสงจันทร์ไว้ภายใน

รูปโฉมของนางไม่ถือว่างดงามสักเท่าไร เพียงแต่พลังอำนาจน่าเกรงขาม แม้จะยืนอยู่ข้างชิงช้าเงียบๆ แต่พลังอำนาจกลับเหมือนยามที่จั่วโย่วไม่เก็บปราณกระบี่

ลู่จือส่ายหน้า “การที่มีข้อตกลงเช่นนั้น เป็นเพราะมีความคิดว่าอยากจะหาอย่างอื่นทำนอกเหนือจากการฝึกกระบี่ สามารถทำได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องทำจริงๆ”

โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไรอีก

ลู่จือไกวชิงช้าเบาๆ “หลังจากได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างเปิดเผย ความคิดนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ความคิดตอนนี้ก็คือไปทางทิศใต้ ไปเยือนสถานที่สองแห่งที่ห่างไกลมากๆ ป้อนน้ำม้าข้ามลำธาร ปักกระบี่ลากจันทราภูผา”

โจวเฉิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “คือเจ้าคนปากสุนัขไม่งอกงาช้างผู้นั้น? ท่านชอบเขาหรือ?”

ลู่จือส่ายหน้า “ใช่ว่าสตรีจะต้องชอบบุรุษเสมอไป ข้าไม่ชอบที่ตัวเองชอบใคร ชอบแค่ตัวเองที่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ชอบ”

โจวเฉิงยิ้มกล่าว “พี่หญิงลู่ ท่านพูดจาเหมือนคนของใต้หล้าไพศาลจริงๆ”

“โจวเฉิง หากวันใดไม่มีชิงช้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”

“คนก็ตายไปแล้ว ข้าไม่สนแล้วล่ะ”

“ชอบคนคนหนึ่ง ต้องเป็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

“ก็ใช่ว่าจะชอบเขามากมายจริงๆ เสียหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่เหลืออะไรแล้ว สำนักเหลือแค่ข้าคนเดียว ยังจะคิดอะไรได้อีก พี่หญิงลู่มีพรสวรรค์ดี สามารถคิดว่าจะทำอะไรได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าก็เลยไม่คิดเสียเลย”

ลู่จือทอดสายตามองไปทางทิศใต้ พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “เซียนกระบี่ที่ได้แต่รอความตายไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น เจ้าว่ามันน่าตลกหรือไม่?”

โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ยิ้มด้วย

เซียนกระบี่ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีปคือพวกคนที่ไม่รู้จักหยุดอยู่นิ่ง วันนี้ถามกระบี่กับหานไหวจื่อของสำนักกระบี่ไท่ฮุย พรุ่งนี้ก็ไปถามกระบี่กับเซียนกระบี่คนอื่น หากถามกระบี่กับเซียนกระบี่ไม่สำเร็จก็ไปรังแกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด โหวกเหวกว่าข้าเป็นสตรีคนหนึ่งพวกเจ้ายังเอาชนะไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ ขนาดจะสู้กับข้าก็ยังไม่กล้า ยังนับว่าเป็นบุรุษมีไอ้จ้อนได้ด้วยหรือ? พวกผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่มักจะโมโหเดือดดาล แต่พอแพ้แล้วก็ไปเรียกสหายมา ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ใครบ้างที่ไม่มีเพื่อนเป็นเซียนกระบี่? หลังจากเชิญให้เซียนกระบี่ออกจากภูเขามาได้แล้ว หากลี่ไฉ่ชนะแล้วยังนับว่าดี เพราะนางจะเปลี่ยนคนถามกระบี่ แต่หากแพ้ก็จะไปหาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นอีกครั้ง พอทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็จะหน้าบูดบึ้ง และสหายเซียนกระบี่ก็ไม่ยินดีพบหน้าเขาแล้ว จึงต้องบอกกับลี่ไฉ่ว่าจะเอาแต่จับแกะตัวเดียวมาตัดขนอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ ดังนั้นจึงแอบแนะนำก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งให้กับลี่ไฉ่ บอกว่าให้ไปหาเจ้าหมอนั่น สหายเซียนกระบี่ที่เจ้าหมอนั่นรู้จักมีมากกว่าเสียอีก

ลี่ไฉ่จึงรู้สึกชอบกำแพงเมืองปราณกระบี่จากใจจริง

มีคนให้ต่อสู้ด้วยไม่มีวันหมด อีกทั้งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่ทำอะไรก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ต้องคอยเห็นแก่หน้าตาและความสัมพันธ์ควันธูปแล้ว ถือว่าดีกว่ามากนัก

ลี่ไฉ่ถึงขั้นอยากจะหาบุรุษสักคนมาแต่งงานด้วยให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลับไป

เพียงแต่ว่าพอมีความคิดนี้ก็จะรู้สึกผิดต่อเจียงซ่างเจิน ทว่าพอคิดอีกครั้ง บุรุษอย่างเจียงซ่างเจินไม่มีทางชอบสตรีคนเดียวได้ตลอดชีวิต แล้วนางจะชอบเขาไปทำไม? นั่นไม่ใช่การย่ำยีตัวเองหรอกหรือ? ทว่ายามที่เซียนกระบี่หญิงนั่งอยู่บนหัวกำแพง หรือไม่ก็พักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในจวนว่านเฮ้อของตน คิดไปสะระตะก็ไม่อาจไม่ชอบเขาอีก นี่ทำให้ลี่ไฉ่กลัดกลุ้มจนนึกอยากจะดื่มเหล้าให้ตัวเองเมาตายไปเสีย

เรือนว่านเฮ้อที่ลี่ไฉ่มาพักอยู่ชั่วคราวอยู่ห่างจากจวนคลังเจี่ยจ้างที่เป็นเรือนส่วนตัวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยไปไม่ไกล และยิ่งอยู่ใกล้กับหออวิ๋นถิงที่สิ่งปลูกสร้างหลักล้วนใช้หยกมรกตแกะสลักขึ้นทั้งหมด

ลี่ไฉ่จึงส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจิน บอกให้เขาควักเงินซื้อให้ แต่เนื่องจากกังวลว่าเขาจะไม่ยินดีควักเงิน ในจดหมายจึงโก่งราคาให้สูงลิบลิ่ว

ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนคนหนึ่งที่ปลายจมูกแดงก่ำหิ้วกาเหล้าเดินออกมาจากที่พักอย่างที่หาได้ยาก เขามาเดินโงนเงนอยู่บนหัวกำแพงเพื่อชมทัศนียภาพ เขาไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เพราะลมแรงเกินไป

ยามที่เดินผ่านเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พู่ห้อยกระบี่ยาวมากจนสามารถผูกกระบี่ให้ลากพื้น หัวกำแพงเมืองกว้างขวางมาก อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันมาก แต่อู๋เฉิงเพ่ยที่เดิมทีใจลอยกลับหันขวับมาจ้องผู้เฒ่าคนนั้นเขม็ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ด่าอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่า ไสหัวไปให้ไกล!”

ผู้เฒ่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีฉายาว่าเฒ่าหูหนวก ฉายาของเขาฟังแล้วไม่มีบารมีเอาเสียเลย แต่กลับติดอันดับสิบคนสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างจริงแท้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลำดับขั้นของผู้เฒ่าที่อยู่เหนือกว่าน่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือเสียอีก

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ทุกคนสามารถทำตัวเจ้าอารมณ์ได้ ลำพังเพียงแค่ประโยคที่ล่วงเกินอย่างถึงที่สุดของอู๋เฉิงเพ่ยประโยคนี้ ผู้เฒ่าก็สามารถออกกระบี่ได้แล้ว และใครที่ขัดขวางก็ล้วนต้องเจอเคราะห์ซวยไปด้วย

ทว่าเฒ่าหูหนวกกลับทำเหมือนคนหูหนวกจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร กลับกันยังเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเร็วขึ้นดั่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไปมาประหนึ่งเมฆหมอก พริบตาเดียวก็หายวับไม่เห็นเงา

อู๋เฉิงเพ่ยถึงได้ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอีกครั้ง

เฒ่าหูหนวกเดินๆ หยุดๆ มีคนทักทาย มีคนที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ผู้เฒ่ากลับไม่เอ่ยอะไรกับใคร

มีเพียงมาถึงจุดที่ภิกษุอยู่ เขาถึงได้หยุดยืนนิ่ง พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “พูดภาษาพระธรรมอีกสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว”

ภิกษุที่นั่งอยู่ปลายสุดด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมืองจึงเริ่มเทศน์ภาษาธรรม

นอกเบาะรองนั่งของภิกษุคือเมฆสีขาวโพลน บางครั้งก็มีแสงสีทองเส้นหนึ่งผุดวาบแล้วก็หายไป นั่นคือภาพเหตุการณ์อัศจรรย์หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาถูกวัตถุที่มองไม่เห็นขัดขวางจึงสาดกระเซ็นเป็นสะเก็ด

ภิกษุยื่นมือออกมาเหมือนวักน้ำ เพียงแต่ก็ยังช้ากว่าแสงสีทองเส้นนั้นอยู่ดี เขาจึงหดมือกลับ ต้องกลับไปมือเปล่าอีกครั้งหนึ่ง

ผู้เฒ่าหูหนวกไปหาอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดจากพุทธบริษัท ตำแหน่งของเขาอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมือง ผู้เฒ่าเอ่ยประโยคที่คล้ายคลึงกัน อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นจึงเอ่ยบางประโยค ผู้เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ แล้วจึงไปหานักพรตเฒ่าที่อยู่ในจุดสูงสุดกลางทะเลเมฆ คือลูกศิษย์ใหญ่ของลูกศิษย์ใหญ่เบื้องใต้มรรคาจารย์เต๋า รอกระทั่งนักพรตเฒ่าเอ่ยถ้อยคำบางอย่างแล้ว ผู้เฒ่าหูหนวกถึงได้ออกมาจากหัวกำแพง ไปยังคุกที่เขารับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์มานานหลายพันปี คุกแห่งนี้ไม่มีชื่อ ก็น่าประหลาดนัก ยิ่งเป็นปีศาจใหญ่ที่ขอบเขตสูง จุดที่ถูกกักขังก็ยิ่งอยู่ใกล้กับพื้นดิน ยามที่ผู้เฒ่าหัวหนวกเดินผ่านกรงขังแต่และแห่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ยินเสียงด่าหรือคำเย้ยหยันอะไรอยู่แล้ว ส่วนความเดือดดาลของปีศาจใหญ่ที่ชักนำให้ตลอดทั้งกรงขังสั่นสะเทือนไม่หยุดนั้น ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่สนใจ ผู้เฒ่าหลังค่อมไม่แม้แต่จะเงยหน้า จึงมองไม่เห็นสายตาเคียดแค้นที่ฝังลึกลงกระดูกดำพวกนั้น สุดท้ายจึงลงไปยังชั้นล่างเพื่อไปดูปีศาจที่ขอบเขตไม่สูง แล้วถ่ายทอดเวทกระบี่ให้ จะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ล้วนต้องตายอยู่แล้ว ตายช้าตายเร็ว แบบไหนโชคดีกว่ากัน? บอกได้ยากนัก

ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกำชับเขาไว้หนึ่งเรื่อง วันที่เขาต้องขึ้นหัวกำแพงเมืองไปสังหารศัตรูนั้น นอกจากชีวิตเล็กๆ ของโอสถทองสามคนที่แลกมาด้วยคุณความชอบซึ่งสามารถอยู่ต่อได้ตามข้อตกลงแล้ว ก็อย่าลืมว่าต้องสังหารเผ่าปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในคุก หากไม่ได้ยินประโยคนี้ ถ้าอย่างนั้นก็หูหนวกจริงๆ แล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ตายไปแล้ว หูจะยังได้ยินอีกได้อย่างไร?

ผู้เฒ่าหูหนวกไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องไม่พอใจ หลายพันปีมานี้ เลือกไปเลือกมา ก็ทยอยเลือกปีศาจได้สามตน ปัญหาข้อเดียวนั้นอยู่ที่ว่า ต่อให้มีพรสวรรค์ดีแค่ไหน สามารถกดขอบเขตได้มากเท่าไร นานวันเข้าก็ยังจำต้องฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ดี เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก หากขอบเขตไม่พอจะมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยหลายพันปีได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องตายไปตามอายุขัย ดังนั้นในประวัติศาสตร์มีคนตายไปกี่ครั้ง ผู้เฒ่าหูหนวกก็จะเสียดายเท่านั้น รอไปรอมา รอมาอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ยังมีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมีชีวิตรอดอยู่สามคน ซึ่งไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของพวกเขาที่เรียนวิชากระบี่อย่างเงียบเชียบแล้วก็ตายไปอย่างเงียบเชียบมีมากกี่คนแล้ว

ในบรรดาคนทั้งสาม คนหนึ่งเพิ่งจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต อีกคนหนึ่งขอบเขตประตูมังกร อีกคนหนึ่งคือคอขวดโอสถทองที่สติใกล้จะวิปลาสเต็มที

ในเรื่องของการรับลูกศิษย์นี้ เฒ่าหูหนวกเปิดเผยอย่างยิ่ง เป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว เมื่อกลายเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็ต้องตาย ดังนั้นจึงต้องชั่งน้ำหนักในเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตเอาเอง

นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่และนคร นอกจากหอมายาที่อยู่ทางเหนือสุดแล้ว ยังมีจวนที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้อย่างคลังเจี่ยจ้าง เรือนว่านเฮ้อ หอถิงอวิ๋น ฯลฯ แต่อันที่จริงยังมีสถานที่บางแห่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญได้ แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว ไม่พูดถึงคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นคนดูแล อันที่จริงยังมีสถานที่อีกสามแห่ง หอกระบี่ที่ตระกูลต่งเป็นผู้ดูแล หอภูษาที่ตระกูลฉีเป็นผู้ดูแลและหอโอสถที่ตระกูลเฉินเป็นผู้ควบคุม