ตอนที่ 2329 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

การต่อสู้ของเหล่ายอดอัจฉริยะนั้นมันจะเริ่มขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้า

เย่หยวนนั้นได้สัญญากับเจียนหยุนซินไปว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งปีเขาจะออกเดินทางไปยังมิติสงครามดึกดำบรรพ์อย่างแน่นอน

ระหว่างนั้นเย่หยวนก็ยังมีเรื่องราวอีกมามายให้ต้องจัดการ

หลังจากจบศึกที่อาณาจักรทหัยเมฆานั้นยอดฝีมือการโอสถนับหมื่นๆ ก็มุ่งหน้ามายังวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์อินทรีสวรรค์นี้

เพราะในศึกที่ผ่านมานี้เย่หยวนได้ทำลายมหาศาสตร์ผนึกลายสวรรค์ลงช่วยเหลือชีวิตยอดฝีมือไว้มากหลาย

และที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้นคือเย่หยวนใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อดึงตัวหยวนเว่ยไปจากผู้คนเพื่อปกป้องชีวิตนักหลอมโอสถทั้งหลาย เรื่องราวนี้มันถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งโลกการโอสถ

กอปรกับวิชาโอสถที่เย่หยวนแสดงออกมานั้น เวลานี้ตัวเขาจึงได้ถูกยกย่องให้กลายเป็นยอดคนอันดับหนึ่งในการโอสถแห่งมหาพิภพถงเทียนไป

เวลานี้แม้แต่ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ไม่อาจจะเทียบเคียงชื่อเสียงของเย่หยวนได้

เวลานี้มันมิใช่เพียงแค่เหล่านักยุทธจนไร้ค่ายสำนัก แต่รวมไปถึงเหล่าค่ายสำนักตระกูลใหญ่น้อยทั้งหลายที่ต่างเดินทางมาคิดขอเข้าร่วมกับวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์อินทรีสวรรค์

ในเวลานี้เหล่ายอดฝีมือในวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นมันมีมากล้นเหลือฟ้าดิน

ไป๋ตงที่เคยเป็นผู้ปกครองนั้นเองจึงไม่อาจจะยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองดูแลเมืองได้อีกต่อไป

เมื่อไร้สิ้นหนทางเย่หยวนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปเชิญให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมาอยู่คอยดูแลเมืองอินทรีสวรรค์ไป

หลังจากที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นรักษาอาการจนหายเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นและตอบรับคำเย่หยวนอย่างไม่ลังเล

เพราะหากให้พูดแล้ว ชีวิตของเขานั้นคงนับว่าถูกเย่หยวนช่วยไว้

ด้วยพลังฝีมือของเขานี้มันไม่มีทางใดที่จะทำลายมหาศาสตร์ผนึกลายสวรรค์ลงได้เลย

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือตัวเขาและโอสถบรรพกาลนั้นต่อให้จะร่วมมือกันก็ยังไม่อาจเอาชนะหยวนเว่ยได้

หากสู้กันต่อไปมันคงมีแต่ความตายรอเขาอยู่

หลังจากมหาศาสตร์ผนึกลายสวรรค์สลายลงนั้นหยวนเว่ยก็ไม่สนใจตัวเขาและมุ่งหน้าหมายเอาชีวิตเย่หยวน

ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเขาก็คงไม่อาจจะหาทางรอดมาได้ด้วยตัวเองและคงถูกฆ่าสังหารลงด้วยมือของหยวนเว่ยไปในอีกไม่กี่กระบวนท่า

ถึงเวลานี้ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นรู้สึกตื้นตันขึ้นมาในใจ

หลายปีมานี้เขาพยายามอำนวยความสะดวกมากมายให้เย่หยวนได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่

ไม่นึกไม่ฝันว่าบุญคุณนั้นมันจะกลับมาช่วยเหลือให้เขารอดชีวิต

เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำขอของเย่หยวนมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงไม่คิดแม้แต่จะลังเล

แต่เมื่อเขาได้มาถึงยังเมืองอินทรีสวรรค์และพบเจอเข้ากับความน่าตื่นตะลึงของหอโอสถนี้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็อดไม่ได้ที่จะยืนนิ่งไปหลายวัน

ที่แท้แล้วยอดฝีมือของวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์อินทรีสวรรค์นั้นมันไม่ได้มีแค่ตัวเย่หยวนและศิษย์ทั้งหลาย

กำลังฝีมือของเหล่านักหลอมโอสถในหอโอสถนี้มันเหนือล้ำกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมากล้น

ทั้งๆ ที่เมืองอินทรีสวรรค์นี้มันมีเวลาพัฒนามาแค่สั้นๆ ไม่กี่พันปี

ไม่เช่นนั้นแล้วที่แห่งนี้คงได้กลายเป็นยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอย่างไม่ต้องแย่งชิงกับใครเลย

อาณาจักรทหัยเมฆาใดๆ นั้นมันกลายเป็นแค่ตัวประกอบหากเทียบกับที่แห่งนี้

ยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าที่ว่าหายากในโลกภายนอกนั้นมันมีมากล้นในที่แห่งนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าคนที่อยู่ในหอโอสถมาแต่ดั้งเดิมที่เวลานี้มีกำลังเหนือล้ำหัวผู้คนไปอย่างไม่อาจเอื้อม

หลายต่อหลายปีมานี้ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นสนใจแค่ตัวเย่หยวน

เพราะในสายตาของเขานั้น เย่หยวนคือยอดอัจฉริยะที่ควรค่าจะสนใจ

ส่วนเรื่องของหอโอสถที่เย่หยวนดูแลนี้เขาไม่ได้คิดหันมาสนใจแม้แต่น้อย

เพราะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่กี่พันปีมันย่อมจะไม่มีค่าใดๆ ในสายตาเขา

เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างเย่หยวนได้

ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจมากพรสวรรค์ในการสอนสักเท่าใด ด้วยเวลาแค่พันปีนี้มันย่อมจะไม่อาจทำให้ค่ายสำนักของเขาเก่งกาจมากล้น

และเรื่องนี้มิใช่แค่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเท่านั้นที่คิด แต่เหล่ายอดฝีมือการโอสถทั้งหลายที่มาถึงเมืองอินทรีสวรรค์นี้ต่างต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน

หนึ่งคนเป็นยอดอัจฉริยะยังพอเข้าใจได้ แต่เมืองทั้งเมืองที่เปี่ยมล้นด้วยยอดอัจฉริยะมันคงจะมีอยู่แต่ในนิทาน

เมืองขนาดเท่าเมืองจักรพรรดิแค่นี้มันจะให้กำเนิดยอดอัจฉริยะได้สักกี่คน?

แค่ให้กำเนิดยอดคนเหนือฟ้าอย่างเย่หยวนมาได้นี้มันก็คงเป็นบุญหัวของพวกเขาไปสิบแปดชั่วโคตรแล้ว

แต่เมื่อคนทั้งหลายได้มาถึง พวกเขาต่างก็ได้เข้าใจว่าตนนั้นเข้าใจผิดไปแค่ไหน

ผิดไปอย่างมหัน!

เพราะการบ่มเพาะเรียนรู้ของเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายในที่แห่งนี้มันแตกต่างจากผู้คนไปมากมาย

พวกเขานั้นยังคงศึกษาเต๋าเหมือนๆ คนทั่วไป แต่สิ่งที่เขาศึกษานั้นมันแตกต่างกันอย่างลึกล้ำ

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นจะฝึกฝนเรื่องเดิมๆ พื้นฐานทั้งหลายซ้ำไปมาวันเล่าวันเล่า ปีเล่าปีเล่า

แม้แต่โอสถใดๆ ที่พวกเขาหลอมนั้นเองก็ล้วนแต่เป็นโอสถพื้นฐาน ไม่ใช่โอสถหายากมากล้นใดๆ

ทักษะพื้นฐานต่างๆ นั้นมันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายต่างดูถูกเหยียดหยาม ไม่มีใครคิดที่จะหยิบมันมาฝึกฝนให้มากมายจนชำนาญ

หากมิใช่เพราะว่าความสามารถเหนือล้ำฟ้าดินของสองศิษย์นั้นหากใครได้เห็นการฝึกฝนเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายก็ต้องทุบหัวคนผู้นั้นจนแตกตาย

ทำเช่นนี้มันคือการทิ้งเวลาให้เสียเปล่าชัดๆ มิใช่หรือ?

แต่เย่หยวนกลับใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นตอกหน้าคนทั้งหลายว่านี่คือเส้นทางการบ่มเพาะฝึกฝนที่ถูกต้องแท้จริง!

“เฮ้อ เฒ่าผู้นี้ก็คิดว่าเจ้านั้นมากพรสวรรค์จนก้าวขึ้นมาถึงวันนี้ได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็มีพรสวรรค์เป็นส่วนประกอบหลักในความสำเร็จที่ได้มา! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่เจ้าเดินมาถึงจุดนี้ได้มันจะเป็นเพราะวิธีการเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นมันในเวลานี้ข้ากลับรู้ตัวแล้วว่าตนนั้นผิดไป ผิดไปอย่างมหันแค่ไหน! เต๋าของเจ้านี้ต่างหากที่ชี้ถึงต้นกำเนิดอย่างแท้จริง” มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก พื้นฐานวิชาโอสถนั้นคือสิ่งที่หอโอสถเราเน้นย้ำ แต่ข้านั้นก็ได้ปรับเปลี่ยนมันมากหลายเพื่อที่จะให้ผู้บ่มเพาะฝึกฝนมันเข้าถึงเต๋าได้ง่ายขึ้น”

แน่นอนว่ายิ่งความรู้ความเข้าใจของเย่หยวนเพิ่มมากขึ้น สายตาของเขามันก็จะยิ่งกว้างไกลกว่าเก่า

เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ปรับเปลี่ยนวิชาพื้นฐานทั้งหลายให้สมบูรณ์ขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ฝึกฝนเข้าถึงเต๋าได้ง่ายขึ้น

มันก็เป็นเพราะเช่นนั้นเองที่ทำในหอโอสถได้มียอดคนถือกำเนิดขึ้นทุกวี่วัน

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นหันมามองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ “ก่อนวันนี้หากเจ้าไปบอกใครที่ไหนว่าเจ้าขึ้นถึงเต๋าได้ด้วยการฝึกฝนบ่มเพาะเช่นนี้คนทั้งหลายคงไม่มีใครเชื่อเจ้าแน่”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “มันมิใช่แค่ว่าไม่เชื่อ พวกเขาทั้งหลายนั้นคงหัวเราะเยาะเย้ยข้าลั่น”

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “คงเป็นเช่นนั้นจริง”

แต่จู่ๆ สายตาของเขาก็สั่นสะท้านเหมือนตัดสินใจอะไรได้ “เย่หยวน การบ่มเพาะฝึกฝนนี้เจ้าจะช่วยสั่งสอนมันให้เฒ่าผู้นี้ได้หรือไม่?”

เย่หยวนหันไปมองที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง เพราะเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่ายอดคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นกลับจะทิ้งศักดิ์ศรีใดๆ และเริ่มทำการเรียนรู้พื้นฐานทั้งหมดนี้

มันเหมือนกับการทิ้งทุกสิ่งที่ตัวเองมีและเริ่มเส้นทางเต๋าอันใหม่!

เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “ผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลท่านก็คิดมากไปแล้ว หอโอสถข้านั้นไม่ได้คิดยึดถือความรู้เป็นของตน นักหลอมโอสถคนใดอยากเรียนก็ไปสมัครเข้าหอโอสถแล้วพวกเขาก็จะได้รับการฝึกฝนเรียนรู้เหมือนกันสิ้น เพียงแค่ว่าคนส่วนมากไม่อาจจะทนรับมันไว้ได้”

เพราะการบ่มเพาะเรียนรู้เช่นนี้มันสุดแสนจะเหนื่อยยากและน่าเบื่อหน่าย เวลานี้ยอดฝีมือทั้งหลายที่เข้าหอโอสถไปในช่วงแรกๆ ต่างถอนใจถอยตัวกลับสิ้น

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ได้ยินนั้นต่างเบิกตามองดูเย่หยวนด้วยตัวตกตะลึงไม่อาจพูดกล่าวไปได้อีกแสนนาน

หลังผ่านไปได้พักใหญ่ๆ เขาจึงตั้งสติกลับมาได้ “มอบการศึกษาให้ผู้คนอย่างไม่แบ่งชนชั้น เฒ่าผู้นี้เคยคิดว่าตนเองนั้นเป็นคนที่มีความคิดเปิดกว้างแต่เทียบกับเจ้าแล้ว มันช่างต่ำต้อยกว่ามากมายนัก”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ทำไมผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลกล่าวเช่นนั้นเล่า? เวลานี้ที่มนุษย์เรากำลังเผชิญภัย เหล่านักหลอมโอสถนั้นต่างเป็นความหวังของเผ่าพันธุ์สิ้น ท่านเองก็ได้ยินที่หยวนเว่ยมันกล่าวไว้ว่าในสงครามสิ้นโลกครั้งก่อนนักหลอมโอสถเราเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงแค่ไหนต่อพวกมัน”

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลพยักหน้ารับ “ที่เจ้าว่ามามันย่อมถูกต้อง หากยังมีเวลามาเห็นแก่ตัวตอนนี้มันคงเท่ากับรนหาที่ตายแล้ว!”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เหล่ายอดนักหลอมโอสถผู้ปกครองฟ้าดินนั้นต่างละทิ้งศักดิ์ศรีของตนและเริ่มเข้าฝึกฝนกับหอโอสถอย่างหนักแน่น

พวกเขาทั้งหลายนั้นทิ้งความเป็นยอดฝีมือของตนลงและได้พบว่าเหล่านักหลอมโอสถของหอโอสถนี้ได้ฝึกฝนพื้นฐานกันมาอย่างหนักแน่นแค่ไหน

และยิ่งในตอนที่พวกเขาทั้งหลายได้ประลองกับคนจากหอโอสถนั้น พวกเขาต่างได้พบว่าตนเองต้องอ้าปากค้างขึ้นหลายคราเพราะว่าโอสถที่พวกเขาทั้งหลายหลอมได้นั้นมันกลับไม่อาจเทียบกับโอสถที่คนจากหอโอสถหลอม

เพราะไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาทั้งหลายนั้นส่วนมากก็เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาว บ้างก็เป็นถึงจอมเทพโอสถแปดดาว!

ส่วนทางคนของหอโอสถนั้นส่วนมากเป็นแค่จอมเทพโอสถหกดาว ผู้คนที่ขึ้นไปถึงระดับจอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นมีแค่หยิบมือ

………………..