บนฝั่งดินชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าอบอวล ต้นไม้เก่าแก่พลิ้วไหว เขาเขียวงดงาม
ก้าวสู่ชายฝั่งนี้ราวมาถึงอีกโลกหนึ่ง พาให้คนรู้สึกสบายใจ
กลิ่นอายร่มเย็นนั้นทำให้จิตใจที่ตึงเครียดของพวกหลินสวินผ่อนคลายโดยสมบูรณ์
“หืม?”
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นฝีพายโครงกระดูกนั้นถ่อไม้พายมุ่งไปยังส่วนลึกของทะเลสาบอย่างเนิบช้า
ขณะเดียวกันลำนำมรรคสายหนึ่งก็ดังขึ้น
ได้ยินคำพูดไม่ชัดเจน แต่กลับมีกลิ่นอายอิสระกว้างใหญ่สะท้อนก้อง
ประดุจเซียนคนหนึ่งล่องเรือขับขานเพลงจากไป ดูเสรีและกว้างใหญ่อย่างบอกไม่ถูก!
พวกหลินสวินต่างตะลึงงัน
ฝีพายโครงกระดูกนั่นเป็นใครกันแน่
ทะเลสาบสีเลือดอันตรายและพิสดารซ่อนความน่ากลัวระดับใด แต่เขากลับพายเรืออยู่บนนั้น ทั้งอิสระเสรีเหมือนเซียนในตำนาน
เซียนในหมู่ผี?
ไม่มีใครรู้ได้
ในครรลองสายตาพวกหลินสวิน เมื่อเรือน้อยสีดำนั้นหายไป ทะเลสาบเลือดที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นก็เลือนรางหายไปทีละน้อยดั่งภาพวาด…
สุดท้ายที่นั่นก็เต็มไปด้วยหมอก เรือน้อยสีดำ ฝีพายโครงกระดูก ทะเลสาบสีเลือด… ทั้งหมดล้วนหายลับจากไป
เหลือเพียงความเวิ้งว้างไร้สิ้นสุด!
“เหตุการณ์ในวันนี้เกรงว่าข้าคงยากลืมเลือนชั่วชีวิต”
จี้ซิงเหยาพึมพำ เนตรดาราของนางเหม่อลอย ใบหน้างามพิสุทธิ์ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวกลางสายลมดั่งบทกวีและภาพวาด
คนอื่นเองก็รู้สึกเช่นนั้น
เริ่มจากเข้ามาในทางอุโมงค์แห่งหนึ่งแล้วเจอเพลิงนรกบาป ดอกนรกกระดูกหยินในตำนาน…
หลังจากนั้นก็เข้าไปในป่าหินที่เหมือนแดนผีสิง รูปปั้นหินที่เด่นตระหง่านดั่งร้อยภูตผีซุ่มซ่อน เผยภาพราวขุมนรก
จากนั้นยังนั่งเรือน้อยสีดำข้ามทะเลสาบสีเลือดมาอีก
นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอในการเดินทางนี้ ทัศนียภาพหลายหลากแปลกตาชวนระทึกขวัญ ใครเล่าจะลืมเลือน
“รีบไปเถอะ ไปดูว่าที่นี่จะซ่อนศุภโชคอะไรไว้กันแน่!”
เจ้าคางคกตั้งท่าเตรียมพร้อม สายตามองไปยังเขาเขียวงามอัศจรรย์ลูกนั้นที่อยู่ห่างออกไป
ผ่านความประหลาดและอัปมงคลมาตลอดทางก็เพื่อแสวงหาศุภโชคไม่ใช่หรือ
ตอนนี้เจ้าคางคกกล้ายืนยันเลยว่า สถานที่ซึ่งเหมือนแดนพิสุทธิ์นี้ต้องซ่อนศุภโชคยิ่งใหญ่ไว้แน่!
“ไป!”
หลินสวินตั้งสติรวบรวมสมาธิ เดินนำไปก่อน
ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงคือที่นี่ไม่ใหญ่มากเท่าใดนัก ราวตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ในป่าเขาเขียวขจีนั่นกลับสามารถเห็นโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณได้ทุกที่!
แค่ช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็เจอโอสถราชันสิบกว่าต้น!
มีโป่งรากสนเต่าม่วง ดอกแสงหยกด่างขาว เถาวัลย์ลายเก้าตาผี…
ไม่มีสิ่งใดไม่ใช่โอสถราชันที่สาบสูญไปแล้วในโลกภายนอก หายากถึงที่สุดและล้ำค่าอย่างยิ่ง ต่างมีความอัศจรรย์เฉพาะตัว
อีกทั้งตลอดทางมานี้ ที่นี่ยังเงียบสงบไม่มีอันตรายอะไร!
“ที่นี่ต้องเป็นแดนมงคลใหญ่ที่ถูกผนึกแห่งหนึ่งแน่ ตั้งแต่โบราณกาลมาพวกเราอาจเป็นผู้ฝึกปราณกลุ่มแรกที่มาถึงที่นี่!”
โม่เทียนเหอตื่นเต้นยินดี
“ฟ้าดินที่นี่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวปกคลุม ข้าสัมผัสรับรู้ได้แค่ในรัศมีสิบลี้ นอกเหนือจากนั้นทั่วทิศทางเต็มไปด้วยความเลือนราง”
จี้ซิงเหยากล่าวเสียงเบา “จากมุมมองข้านี่น่าจะเป็นแดนลี้ลับแห่งหนึ่ง แม้จะไม่ใหญ่โตแต่กลับเหลือวาสนาอันอุดมทิ้งไว้”
หลินสวินพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับคำพูดนี้
ขณะพูดคุยพวกเขาก็เดินผ่านผืนป่า มุ่งหน้าไปบนเขาเขียวงามวิจิตรลูกนั้น
ภูเขาลูกนี้สูงแค่ร้อยจั้ง แต่กลับงดงามเงียบสงบผิดธรรมดา
ไอวิญญาณที่อบอวลอยู่ภายในไม่เพียงแต่หอมกรุ่นยังแฝงพลังจิตวิญญาณน่าอัศจรรย์
กรุ่นกลิ่นยิ่งกว่าไอวิญญาณที่แฝงอยู่ใน ‘เขาดาราราย’ ‘เขาฝนดาวตก’ ‘เขาเพรียกมรกต’ ที่หลินสวินเจอในแดนอัคคีทักษิณ!
ในรอยแยกของหินผาเอ่อท้นประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อสุ่มหยิบดินขึ้นมากำหนึ่ง อานุภาพแห่งพลังชีวิตที่แผ่ออกมายิ่งทำให้พวกหลินสวินไหวหวั่น
หนทางขึ้นเขาไม่ขรุขระ พวกหลินสวินทยอยเก็บวัตถุดิบวิญญาณ ผลวิญญาณ โอสถวิญญาณมากมายตลอดทาง…
เพิ่งมาถึงครึ่งทางพวกเขาแต่ละคนก็เก็บเกี่ยวโอสถราชันได้อย่างน้อยสิบกว่าต้น รวมทั้งโอสถวิญญาณหญ้าวิญญาณอื่นอีกบางส่วน
อุดมสมบูรณ์เกินไปแล้ว!
เป็นภูเขาสมบัติลูกหนึ่งจริงๆ!
เจ้าคางคกเอะอะโวยวายอยากย้ายภูเขานี้ไปด้วย แต่เขาลองอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมแพ้
ด้วยเขาลูกนี้แม้จะสูงเพียงร้อยจั้ง แต่กลับแข็งแกร่งราวภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ อย่าว่าแต่เอาไปด้วย แม้แต่จะสั่นคลอนยังเป็นไปไม่ได้
ที่ไหล่เขา ในครรลองสายตาพลันสว่างขึ้นฉับพลัน ปรากฏเป็นที่ราบหินผืนหนึ่ง
ป่าไผ่ม่วงเจริญงอกงามอยู่ในนั้น ลำต้นหนาเท่าปากชาม ใบไผ่ม่วงเป็นประกายเหมือนทำจากหินหยก
สายลมพัดมาเงาไผ่ร่ายรำ ใบไผ่ส่งเสียงอสนีบาตดั่งกระแสน้ำแต่ไม่เสียดหู กลับนุ่มนวลและไพเราะอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนลึกของป่าไผ่มองเห็นกระท่อมหลังหนึ่งเป็นรางๆ
พวกหลินสวินหยุดเดินทันที สายตาล้วนมองทะลุป่าไผ่ม่วงไปยังกระท่อมหลังนั้น
“ที่นี่… มีคนอยู่ด้วยรึ”
เจ้าคางคกไหวหวั่น
“บางทีอาจเป็นที่พักของเจ้าของสานที่ลับนี่”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาววาบ
บนนิ้วเขาแหวนทองแดงวงนั้นร้อนระอุขึ้นเล็กน้อย เกิดการตอบสนองอย่างเด่นชัด ราวกับว่าในกระท่อมนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังเรียกหามันอยู่
นี่ทำให้หลินสวินรู้ว่าคราวนี้พวกเขามาไม่ผิดที่แล้ว!
“ให้ตายเถอะ นี่คือไผ่ม่วงเสียงอสนีใช่ไหม ไม่นึกเลยว่า… จะมีมากขนาดนี้!”
เมื่อสติคืนกลับจากกระท่อมมายังป่าไผ่ม่วงผืนนี้ ลูกตาเจ้าคางคกก็แทบถลนออกมา น้ำลายไหลเป็นทาง
ไผ่ม่วงเสียงอสนี!
จี้ซิงเหยาและโม่เทียนเหอเองก็อดสูดหายใจเย็นไม่ได้
สมัยบรรพกาลเคยมีอริยะประเมินออกมาว่าในหมู่ ‘สี่ไผ่เทพ’ มีไผ่ม่วงเสียงอสนีอยู่ด้วย!
ต้นไผ่นี้พันปีงอกราก พันปีแตกหน่อ จากนั้นทุกพันปีจะเติบโตขึ้นปล้องหนึ่ง เมื่อเติบโตครบเก้าปล้องก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง
กระทั่งเปลี่ยนสภาพครบเก้าครั้งก็จะกลายเป็นเจตวัตถุชั้นยอดแห่งฟ้าดิน!
หากนำมาหลอมยอดศาสตรามรรคราชัน ต้องได้ของคุณภาพดีที่สุดแน่นอน
แต่ที่สำคัญกว่าคือความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของไผ่ม่วงเสียงอสนีอยู่ที่ มันเป็นวัตถุดิบหลักของการหลอมสมบัติอริยะ!
ในโลกภายนอกมีเพียงสำนักโบราณที่ปลูกไผ่ม่วงเสียงอสนีได้ แต่ปริมาณก็ไม่มาก
เท่าที่จี้ซิงเหยารู้ ก็มีแค่ในมหาวิหารธรรมแห่งแดนเร้นอริยะที่ครองไผ่ม่วงเสียงอสนีมากที่สุด แต่ก็มีแค่เก้าต้นเท่านั้น ทั้งยังถูกตั้งเป็นยอดสมบัติพิทักษ์สำนักอีกด้วย…
แต่ตอนนี้บนไหล่ทางของเขาเขียวชอุ่มนี่กลับมีป่าไผ่ม่วงเสียงอสนีเติบโตเป็นผืนแผ่น!
ในใจหลินสวินพลันไหวสั่น ไม่อาจนิ่งสงบ
ไผ่ม่วงเสียงอสนีไม่เพียงแต่เป็นเจตวัตถุชั้นยอด ใบของมันยังเป็นโอสถวิญญาณที่หาได้ยากเช่นกัน แม้จะไม่ใช่โอสถราชัน แต่ก็มีผลอัศจรรย์ที่สามารถปราบจิตมาร ชะล้างจิตมรรค ขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งปวง!
‘เจ้าของกระท่อมนั้นต้องเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่ร้ายกาจคนหนึ่งแน่!’
พวกหลินสวินตัดสินออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไป พวกเราลองไปดูที่กระท่อมนั้นก่อน”
หลินสวินสูดหายใจลึก ควบคุมความอยากเก็บไผ่ม่วงเสียงอสนีตอนนี้อย่างเต็มที่แล้วพุ่งนำไปในป่าไผ่
คนอื่นรีบเร่งตามไป
“หืม?”
ทันทีที่เข้าไปในนั้น หลินสวินรู้สึกเพียงทัศนวิสัยเปลี่ยนไป ป่าไผ่ยังคงเป็นป่าไผ่ แต่กลับมองไม่เห็นกระท่อมหลังนั้นอีก
อีกทั้งกวาดสายตามองโดยรอบก็หาไม่เจอว่าทางออกอยู่ที่ไหน!
ค่ายกลมายารึ
ในใจหลินสวินเครียดขมึง ในฐานะที่เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เขายังสังเกตพลังต้องห้ามไม่ได้สักนิด นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว
“ทุกคนระวังตัวด้วย ให้ข้าทำลายค่ายกลเอง พวกเจ้าเร่งตามมา…”
กล่าวถึงตรงนี้เสียงหลินสวินพลันหยุดชะงัก เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่รู้ว่าเงาร่างของพวกเจ้าคางคก จี้ซิงเหยา โม่เทียนเหอหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่!
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่สังเกตเห็นสักนิด!
หลินสวินเกร็งไปทั้งตัวทันที ในดวงตาดำพรั่งแววจริงจังเคร่งเครียด
ประมาทไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าที่นี่คือแดนมงคลลับที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง อีกทั้งตลอดทางยังเก็บโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณมามากมาย จนกระทั่งคิดว่าที่นี่ไม่มีภัยคุกคาม
ใครจะคิดว่าภายใต้บรรยากาศนิ่งสงบร่มเย็นเช่นนี้จะซ่อนความเร้นลับที่ไม่มีคนล่วงรู้!
หลินสวินยืนอยู่จุดเดิม สายตากวาดมองโดยรอบ สีหน้าวูบไหวไม่หยุด
ไผ่ม่วงเริงระบำ ใบไผ่พลิ้วไหวส่งเสียงอสนีเป็นระลอก โบกสะบัดอยู่ในฟ้าดินแถบนี้ดุจเสียงจากธรรมชาติ
ไม่เพียงแค่หาทางออกไม่เจอ แม้แต่บนเวิ้งฟ้าก็ถูกใบไผ่สีม่วงแน่นหนาปกคลุม มองไม่เห็นอะไรเลย
หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรนัยน์ตาเฉาเฟิง แผ่พลังแห่งจิตรับรู้สำรวจและสัมผัสโดยละเอียด
ผ่านไปครู่ใหญ่สภาวะจิตของหลินสวินเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา
แม้แต่เขาก็ไม่อาจมองความลับที่นี่ออก!
แค่คิดก็รู้แล้วว่าผนึกต้องห้ามที่ครอบคลุมป่าไผ่นี้ ต้องเหนือกว่าขอบเขตที่ปฐมาจารย์สลักวิญญาณสามารถเข้าใจได้แน่!
คิดไปคิดมา ในเมื่อไม่รู้ทางออกหลินสวินก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขานั่งขัดสมาธิกับพื้น เหลือบสายตาไปยังแหวนทองแดงบนนิ้ว
ตั้งแต่เข้ามาในถ้ำนรกเทพ ตลอดทางมานี้ล้วนอาศัยคลื่นเร้นลับที่สิ่งนี้ชักนำจนมาถึงที่นี่
อีกทั้งเมื่อครู่ตอนอยู่นอกป่าไผ่แหวนทองแดงยังร้อนขึ้นเล็กน้อย เกิดการตอบสนองที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ตอนนี้แหวนทองแดงกลับตกอยู่ในความสงบแล้ว!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือเป็นเพียงการชี้นำตนให้มาติดอยู่ที่นี่?
หลินสวินขมวดคิ้วใคร่ครวญ เขาลูบแหวนทองแดงเบาๆ ผ่านไปนานจึงตัดสินใจแผ่จิตรับรู้สัมผัสแหวนทองแดงอีกครั้ง
อาศัยระดับความรู้ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณของเขา หากคิดทำลายสถานการณ์คับขันตรงหน้าก็ยังมีหวัง แต่ไม่รู้ว่าต้องรอถึงกี่ปีกี่เดือน
เพราะเขาต้องใช้เวลาไปหยั่งรู้สัมผัสทีละน้อย
ตอนนี้พวกเจ้าคางคกก็ไม่รู้ว่าถูกขังอยู่ที่ไหน ทั้งไม่รู้ว่าจะเจออันตรายหรือไม่ ดังนั้นเขาต้องคลี่คลายสถานการณ์คับขันตรงหน้าให้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุด ถึงจะสามารถช่วยพวกเขาให้รอดพ้นไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แค่ตั้งสมาธิจดจ่อไปที่แหวนทองแดงนี่
จิตรับรู้ราวแผ่กิ่งก้านบางละเอียดและไวต่อความรู้สึก ถาโถมเข้าไปในแหวนทองแดงอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยังคงไม่พบความผิดปกติอะไรเหมือนก่อนหน้านี้
นี่ทำให้หลินสวินหนักใจไม่น้อย
เพียงแต่ชั่วพริบตาที่เขาเก็บจิตรับรู้กลับก็พลันสังเกตเห็น บนพื้นผิวแหวนทองแดงมีประกายแสงเร้นลับไหววูบอยู่เสี้ยวหนึ่งอย่างยากสังเกต
หลินสวินใจกระตุก รวบรวมสมาธิเคลื่อนจิตรับรู้เข้าไปในแหวนทองแดงอีกครั้ง
ขณะเดียวกันสายตาเขาก็จับจ้องที่แหวนทองแดงวงนี้
ประกายแสงเร้นลับเสี้ยวนั้นพลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ถูกหลินสวินจับไว้ได้แน่นหนา
ทว่าเพียงพริบตาประกายแสงนั้นก็หายไป ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
หลินสวินไม่ยินยอม พลันกัดฟันลองอีกครั้ง คราวนี้เขาโคจรพลังปราณและจิตรับรู้เข้าไปในแหวนทองแดงพร้อมกัน
ประกายแสงเร้นลับนั่นปรากฏอีกครั้งดังคาด
อีกทั้งด้วยพลังของหลินสวินที่โหมกระหน่ำเข้าไป ทำให้ประกายแสงเร้นลับนี้ส่องสว่าง สาดละอองแสงเจิดจ้าทันที
ทั้งป่าไผ่ม่วงเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงอสนีที่เดิมไพเราะหาใดเปรียบเวลานี้กลับครั่นครืนสนั่น มีพลังชวนระทึกขวัญ!
พร้อมกันนี้เงามายาเลือนรางหนึ่งค่อยๆ ปรากฏ กลายสภาพเป็นโครงร่างจากละอองแสงเจิดจ้าที่แหวนทองแดงพร่างพรมออกมา…
………………..