โกลาหลแล้ว โกลาหลถึงขีดสุดแล้ว
ไม่มีการต้านทานที่เป็นระเบียบ ไม่มีการจับกุมที่เป็นแบบแผนเช่นกัน คนที่อุตลุตไปทั่วทุกหนแท่ง เละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะกลับมาแล้ว ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทั้งสองสีหน้าแย่หนักกว่าเดิม จนป่านนี้แล้ว มีหรือที่ทั้งสองจะยังไม่รู้ว่าตกหลุมพรางพระปีศาจหนานโป
ที่บอกว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกควบคุมจนกลายเป็นหินสามวันเพราะเสียงระฆัง นั่นคือสิ่งที่ตบตาคนอื่นทั้งนั้น บางทีอาจเป็นเพราะทำลายค่ายกลออกทำให้ฟื้นคืนสติเร็วกว่าเดิม แต่ในมุมของทั้งสองคน นี่เหมือนแผนสำรองของพระปีศาจหนานโปมากกว่า เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจรู้จุดนี้ชัดเจน ไม่ว่าใครที่ต้องการจะฆ่าเขา ก็ล้วนต้องทำลายผนึกก่อน สถานการณ์ปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาว่ากลายเป็นหินสามวันก็เพราะจะทำให้ศัตรูประมาท ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องเหลือโอกาสหนีเอาไว้สักหน่อย
แต่ทั้งสองก็ดันเชื่อแล้ว นึกว่าพระปีศาจจะกลายเป็นหินสามวัน หลังจากทำลายค่ายกลแล้วพวกเขาจะได้กำจัดพระปีศาจได้สะดวก ถึงได้วางใจทำลายค่ายกลใหญ่ทิ้ง ผลปรากฏว่าพอค่ายกลถูกทำลาย พระปีศาจก็ตื่นขึ้นมาทันที
ที่บอกว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินไว้แล้วจะหลบเลี่ยงอิทธิพลของมนต์คร่าชีวิตได้ นั่นก็คือเรื่องโกหก ก็อย่างที่ประมุขพุทธะบอก พระปีศาจสามารถใช้มนต์คร่าชีวิตได้ในระดับใหม่แล้ว สามารถควบคุมคนได้ผ่านจิตสำนึก แต่ตอนแรกพระปีศาจดันไม่ได้ทำอย่างนี้ ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขาแค่ควบคุมคนผ่านประสาทสัมผัสการได้ยิน เข้าใจผิดว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบ ผลปรากฏว่าพวกเขาวางใจปล่อยกำลังพลพวกนี้ไว้ นอกจากให้เฝ้าสถานที่ผนึกเพราะกลัวคนก่อกวนแล้ว ยังกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วมีกำลังพลจำนวนมากไว้ช่วยเหลือก็ย่อมดีอยู่แล้ว
ใครจะคิดว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้พระปีศาจหนีรอดไปได้ก็คือกำลังพลพวกนี้ กำลังพลที่ทั้งสองวางไว้อย่างแน่นหนาต่างหากที่เป็นผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดของพระปีศาจ
จนป่านนี้แล้วก็เดาได้ไม่ยากถึงจุดประสงค์ที่พระปีศาจหนานโปท่อง ‘มหาเวทอเวจี’ และ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ เสียงดัง พระปีศาจกลัวว่าจะถูกผนึกเอาไว้ตลอดไป ถ้าถูกตำหนักสวรรค์กับแดนพุทธร่วมมือกันเฝ้าสถานที่ผนึกเอาไว้ ต่อให้เขาสามารถควบคุมทหารยามพวกนี้ไว้ได้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะคนนอกไม่มีโอกาสทำลายผนึกค่ายกลนี้ได้เลย แบบนั้นเขาคงไม่มีโอกาสหนีรอดได้อีกตลอดไป
ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างโอกาส เขาต้องยั่วโมโหสองคนนี้ จะอ้าปากหุบปากก็ด่าว่ากระเป๋าฟาง และเริ่มท่อง ‘มหาเวทอเวจี’ กับ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ต้องทำให้ทั้งสองนั่งไม่ติดที่และกังวลว่าเคล็ดวิชาจะรั่วไหล รีบทำลายสถานที่ผนึกโดยเร็วที่สุด เขาถึงจะมีโอกาสหลุดรอดไปได้
ภาพเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์แล้ว
การทำลายค่ายกลนั้นไม่ผิด เคล็ดวิชาฝึกตนของทั้งสองก็สามารถกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจได้ด้วย ถ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจเผชิญกับทั้งสองก็ไม่มีทางหนีพ้น จะแย่ก็ตรงที่ปล่อยให้กำลังพลจำนวนมากอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาประเมินพระปีศาจสูงไปแล้ว ในจิตใต้สำนึกถึงขั้นหวาดกลัวนิดหน่อยด้วย ถึงได้เกิดช่องโหว่ใหย่ขนาดนี้
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งกุมหมัดคารวะเอ่ยถามประมุขชิงด้วยสีหน้ากังวล
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนีไปแล้ว” ประมุขชิงตอบด้วยสีหน้าพยับเมฆ
ทุกคนที่อยู่ข้างๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที ดูจากความเคลื่อนไหวนี้ก็เดาออกแล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายืนยัน ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว
“ฝ่าบาทกับประมุขพุทธะลงมือด้วยตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งกลับหวาดระแวงกลัว
ประมุขชิงหันขวับ ถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย ก็เพราะอีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด จะให้เขากับประมุขพุทธะยอมรับได้อย่างไรว่าตัวเองโง่จนตกหลุมพรางพระปีศาจ?
เซี่ยโห้วลิ่งจำต้องหุบปาก ในใจตระหนกว้าวุ่น นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่กังวลที่สุดจะเกิดขึ้นแล้ว เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าพระปีศาจหนานโปจะล้างแค้นตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร ผู้ที่มีความแค้นกับพระปีศาจหนานโปอย่างแท้จริง และยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าคงเหลือแต่ตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แม้แต่ประมุขชิงกกับประมุขพุทธะ ในสายตาพระปีศาจก็ไม่นับว่าเป็นศัตรูอะไร…
ทัพใหญ่ล้อมไล่ดักอย่างอุตลุต ราวกับเป็นละครตลกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายก็จบลงแล้ว
พวกประมุขชิงกลับมายังดาวเคราะห์ที่ผนึกแล้ว ค่ายกลดวงดาวถูกทำลายไป พลังผนึกก็หายไปแล้ว ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับดาวเคราะห์ทั่วไป
หุบผาชันที่ถล่มถูกขุดออกมาใหม่อีกครั้ง วัดประหลาดสีดพปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เซี่ยโห้วลิ่งกับพวกฮ่าวเต๋อฟางอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู ร่องรอยการต่อสู้ข้างในชัดเจนมาก ศพของกลุ่มยอดฝีมือกองทัพองครักษ์อยู่ในนี้ คนที่เคยเห็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะต่อสู้ต่างก็รู้ว่าคนพวกนี้ตายด้วยเคล็ดวิชาของทั้งสอง
คนที่ถูกจับกุมได้ก็ถูกพาตัวมาที่ดาวเคราะห์ดวงนี้เช่นกัน สังหารไปแล้วสามแสนกว่า จับตัวค่อนข้างลำบาก จับได้แสนกว่าคน มีกำลังพลของทุกฝ่ายรวมอยู่ ยังมีที่หนีไปได้อีกหลายแสน ไม่ใช่ว่าทุกคนไร้ความสามารถ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แม้จะมีจำนวนคนมากกว่า แต่ก็ฉุกละหุกจริงๆ
ประมุขพุทธะสั่งให้ทุกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน แม้แต่ศพก็วางไว้ด้วยกัน
สุดท้ายประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน แล้วมองต่ำลงมาที่กำลังพลหลายสิบล้านเบื้องล่าง
กำลังพลหลายสิบล้านเบื้องล่างก็เงยหน้ามองบนฟ้าเช่นกัน เห็นเพียงรอบกายประมุขพุทธะปรากฏสุญญากาศรอยแยก ราวกับเป็นเงาพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ประนมสองมือพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน “อา…มิต…ตา…พุทธ…เส้อ!”
แต่ละคำราวกับตีกระทบหัวใจ คนนับสิบล้านที่อยู่ในอาการเหม่อลอยพากันตัวสั่น ได้สติกลับคืนมาในชั่วพริบตาเดียว
ประมุขชิงที่มองกลุ่มคนเบื้องล่างกลับผิดหวังเล็กน้อย เดิมทียังมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจจะถูกจับแล้ว หวังว่าจะซ่อนอยู่ในบรรดาคนพวกนี้
เงาสุญญากาศรอยแยกรอบกายหายไปแล้ว หลังจากประมุขพุทธะหยุดใช้วิชา ก็สบตากับประมุขชิงแวบหนึ่ง ทั้งคู่ล้วนจนใจ ในใจขื่นขมจนยากจะบรรยายออกมา
ยังคงปล่อยให้พระปีศาจหนีไปแล้ว!
ตอนนี้ทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่ทีแรกแล้ว วินาทีแรกที่ทั้งสองเห็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ตอนนั้นก็เดินลงกับดักของพระปีศาจแล้ว
คำว่า ‘กระเป๋าฟาง’ จากปากพระปีศาจ เป็นคำที่ดังก้องอยู่ในหูอย่างแท้จริง เรากับตบหน้าทั้งสองอย่างแรง ทำให้ทั้งสองเจ็บแสบ
พระปีศาจใช้เรื่องจริงมาพิสูจน์คำพูดของตัวเองแล้ว อย่างพวกเขาสองคนน่ะเหรอที่คิดจะสังหารอีกฝ่าย พิสูจน์แล้วว่าทั้งสองเป็นกระเป๋าฟางจริงๆ
ตอนนี้ทั้งสองถึงได้เข้าใจ วัดในปีนั้นที่พระปีศาจหนานโปเป็นใหญ่ในใต้หล้า ไม่ใช่เพราะอาศัยกำลังอย่างเดียว ที่บอกว่าเขากล้าหาญโดยไร้สติปัญญา นั่นเป็นเพียงข่าวลือ
ถ้าพระปีศาจที่ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อหนีไปได้ถูกจัดว่าเป็นคนกล้าหาญที่ไร้สติปัญญา เช่นนั้นคนโง่เง่าในใต้หล้าก็อาจจะมีเยอะเกินไปแล้ว
ทั้งสองปรึกษากันอยู่บนฟ้า สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง อย่างไรเสียเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากคนเบื้องล่าง ถ้าปิดบังต่อไปแล้วทุกคนไม่รู้ความร้ายกาจของพระปีศาจ ก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่โตแน่นอน
ทั้งสองเหาะลงจากฟ้า แล้วเรียกคนกลุ่มหนึ่งมาปรึกษากัน
ประมุขพุทธะหันหน้าเข้าหากลุ่มคน ประนมมือพูดว่า “ทุกคน มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจไม่เพียงแค่สามารถควบคุมคนผ่านประสาทสัมผัสการได้ยินเท่านั้น ยังสามารถควบคุมผ่านจิตสำนึกได้ด้วย ดังนั้นยามที่เผชิญหน้า ปิดแค่ประสาทสัมผัสการได้ยินไปก็ไร้ผล ยังต้องปิดจิตสำนึก…”
ส่วนเรื่องที่พระปีศาจหนานโปด่าพวกเขาว่ากระเป๋าฟาง เรื่องที่ท่องเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ก็ยังไม่พูดอยู่แล้ว จุดประสงค์ที่พูดไปก็เพื่อให้ทุกคนประกาศต่อเบื้องล่างให้เตรียมตัวให้ดี จะได้ไม่ถูกพระปีศาจหนานโปอาศัยช่องโหว่
ทุกคนยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าเคร่งขรึม ความน่ากลัวของพระปีศาจเหนือจินตนาการของพวกเขา
ประมุขชิงประกาศเสียงดังกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เขาไม่มีกายหยาบและพลังอิทธิฤทธิ์ ต่อให้ไม่มีกายหยาบแล้วยังไง? วรยุทธ์ที่หายไปของเขาก็ใช่ว่าจะฟื้นกลับมาได้ภายในเวลาสั้นๆ พลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งแล้วยังไง สถานการณ์ภาพรวมเอนเอียงมาฝั่งพวกเรา ไม่กลัวว่าเขาจะโผล่หัวมาหรอก กลัวก็แต่เขาจะซ่อนตัว ขอเพียงเขากล้าโผล่หน้ามา ก็จะต้องตายสถานเดียวแน่ สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ ก็คือเตรียมป้องกันที่ดี อย่าให้เขาหาช่องโหว่ได้ ทุกคนกลับไปแล้วก็ต้องป้องกันมากขึ้น พร้อมทั้งตรวจสอบในเขตของตัวเองด้วย ต้องตามหาเขาเพื่อมากำจัดทิ้งให้ได้!”
โค่วหลิงซวีกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสามารถแฝงในกายหยาบคนอื่นได้ ถ้าปรากฏตัวด้วยใบหน้าของคนอื่น เกรงว่าต่อให้ค้นหายังไงก็ไม่มีประโยชน์!”
ประมุขพุทธะตอบพร้อมรอยยิ้ม “อ๋องสวรรค์โค่วคิดว่าไปแล้ว ผู้ใสสะอาดก็ย่อมใสสะอาด ผู้ขุ่นมัวก็ย่อมขุ่นมัว แท่นจิตชัดเจนที่สุด มีคำกล่าวว่าลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่ง แท่นจิตสะท้อนตัวตนได้ดีที่สุด หากกายหยาบถูกผู้อื่นยึดครอง ตัวเองมิใช่ตัวเอง เขามิใช่เขา สัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตจะไม่แสดงออกมา”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนที่ถูกพระปีศาจยึดครองกายหยาบ ตรงหว่างคิ้วจะไม่ปรากฏสัญลักษณ์พลัง?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม
ประมุขพุทธะประนมมือ “เป็นอย่างนี้! ทุกคนสามารถกระจายข่าวออกไปได้ ให้คนในใต้หล้าตรวจสอบกันและกัน ทำให้พระปีศาจหาที่ซ่อนตัวได้ยาก”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทุกคนก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็มีจุดให้ป้องกันและตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นถ้าพระปีศาจเปลี่ยนหน้ามาหา ก็ป้องกันไม่ชนะจริงๆ แบบนั้นจะน่าหวาดกลัวเกินไป
ตอนนี้เรื่องจบลงชั่วคราว คนต่างกลับไปเตรียมรับมือกับพระปีศาจ
พวกโค่วหลิงซวีก็ไปหาผู้รอดชีวิตจากสถานที่ผนึกก่อนหน้านี้เช่นกัน ไปทำความเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียด ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ตอนยังไม่เข้าใจก็ยังดีหน่อย พอเข้าใจแล้วก็ตกใจมาก โชคดีที่คอยระแวดระวังประมุขชิง คิดมากจึงไม่ได้ตามเข้าไป ไม่อย่างนั้นถ้าถูกพระปีศาจควบคุมแล้ว ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจินตนาการถึง
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ประมุขชิงก็คงไม่ฉวยโอกาสสังหารเขาหรอก พระปีศาจหนีไปแล้ว นี่เป็นเวลาที่ประมุขชิงต้องการความร่วมมือจากพวกเขา ถ้าพูดจากบางมุม ถ้าพระปีศาจหนานโปยังไม่โดนจับ ประมุขชิงก็ไม่น่าจะลงมือกับพวกเขาอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นโอกาสให้พระปีศาจหาช่องโหว่
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้กำลังปรึกษาเรื่องป้องกันกับบรรดาแม่ทัพอยู่ในตำหนักประชุม
เขาไม่รู้ว่าประมุขชิงจะรู้เรื่องเขาจากปากพระปีศาจหนานโปหรือไม่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น เขาก็จะต้องเตรียมตัวรับมือ
เชียนเอ๋อร์เดินออกมาจากหลังตำหนัก ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ฮูหยินมีเรื่องด่วนให้ท่านไปหาสักรอบหนึ่ง”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ส่งสายตาให้คนที่ล้อมเข็มทิศแผนที่ดาว สื่อว่าให้คุยกันต่อไป เขาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว
พอกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคาอย่างกระวนกระวาย เหมียวอี้ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นมาถาม อวิ๋นจือชิวก็ชิงพูดแล้วว่า “หนิวเอ้อร์ เกิดเรื่องแล้ว”
เหมียวอี้ดึงแขนนางเดินเข้ามาในห้องด้วยกัน แล้วถามว่า “เรื่องอะไร?”
อวิ๋นจือชิวตอบด้วยใบหน้ากลุ้มใจ “ลูกน้องเก่าของเจ้าที่อยู่กองทัพองครักษ์ส่งข่าวมา รายละเอียดเป็นยังไงข้าก็ไม่รู้ แต่จากสถานการณ์ที่เขาบอกมา ข้าคิดว่าพระปีศาจหนานโปหนีไปแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่สายลับทางฝั่งกองทัพองครักษ์เห็นให้ฟังอย่างละเอียด
เหมียวอี้ได้ยินหรือสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากขมวดคิ้วอยู่นานก็พยักหน้าบอกว่า “เกรงว่าคงปล่อยให้พระปีศาจหนีไปแล้วจริงๆ…ประมุขชิงกับประมุขพุทธะนี่ยังไง ขนาดทั้งสองร่วมมือกันแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้พลังอิทธิฤทธิ์หนีไปแล้ว?”
“ข่าวนี้ยังไม่ได้ยืนยัน บางทีข้าอาจจะเข้าใจผิดไ ตอนหลังน่าจะมีข่าวจริงออกมา เจ้าเองก็อย่ากังวลเกินไป ตอนนี้ในมือเจ้ามีกำลังทหารมาก ต่อให้พระปีศาจคายความลับของเจ้าแล้วยังไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้ใส่หน้ายิ้มเจื่อน “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล ถ้าเขาไม่หลุดออกไป ก็อาจจะเปิดโปงข้า แต่พอหลุดออกไปแล้ว ก็คงไม่บอกเรื่องนี้หรอก แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาหาข้าโดยตรง เพราะในมือข้ามีสิ่งที่เขาต้องการ”
…………………………