บทที่ 612.4 ลมกำลังจะก่อตัว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในประวัติศาสตร์มีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่มากมายที่ก่อนจะรบตายก็อยู่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ตายไปแล้วก็ยังไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียใดไว้ สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงสิ่งของที่ไร้เจ้าของเท่านั้น

หากมีคำสั่งเสียก็จะมีคนที่ได้รับของทั้งหมดไป ไม่ว่าจะเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ หรือแม้แต่กระบี่ประจำกายของเซียนกระบี่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างที่ได้รับสิ่งของเหล่านี้ก็ไม่มีใครไปแย่งชิง ต่อหน้าไม่กล้า แต่หากลับหลังกล้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็อย่าเห็นสายอิ่นกวานเป็นคนโง่ ตระกูลไม่น้อยที่เกือบจะสามารถย้ายไปอยู่ถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู้ได้แล้วกลับต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมากมายก็เพราะสาเหตุนี้ กฎเกณฑ์นั้นเรียบง่ายมาก หากอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดพอ นอกจากคนที่ยื่นมือมาแตะต้องที่ต้องตายแล้ว ตระกูลที่คนผู้นั้นอยู่อาศัย คนที่ขอบเขตสูงที่สุดจะถูกลั่วซานหรือไม่ก็เซียนกระบี่จู๋อานซ้อมปางตายก่อน หากพวกเขาทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เพราะใต้เท้าอิ่นกวานยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือ สุดท้ายก็จะเว้นชีวิตไว้ให้ครึ่งหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรก็ยังต้องสังหารปีศาจ สงครามใหญ่ครั้งหน้าคนผู้นี้จำต้องถอยออกจากสนามรบแล้วหากยังอาศัยความสามารถของตัวเองจนมีชีวิตรอดต่อไปได้ เรื่องนี้ก็จะยุติลง ทว่าส่วนแบ่งที่เดิมทีควรได้รับจากหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถหลังจากสงครามสิ้นสุดลง ก็อย่าได้หวังเลย

เพราะฉะนั้นสถานที่แบบนี้ สถานที่ที่แม้แต่เซียนกระบี่มากมายตายไปก็ยังไม่มีหลุมศพให้เอนกายนอน จะมีกลิ่นอายของวันปีใหม่ที่ผู้คนพากันปิดภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่บนหน้าประตูได้อย่างไร ไม่มีทางมีได้หรอก

ร้อยปีพันปี หรือหมื่นปีผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนเคยชินที่จะได้เห็นว่าบนหัวกำแพงมีกระท่อมหลังนั้น มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่แทบจะไม่เคยเดินลงจากหัวกำแพงคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่

ดูเหมือนว่าเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่ไปพลิกเปิดปฏิทินเหลือง ปฏิทินเหลืองก็ไม่มีอยู่แล้ว หรือควรจะพูดว่าดูเหมือนมันจะไม่เคยมีอยู่มาก่อน

……

วันนี้หวังไจ่วิญญูชนของสายหลี่เซิ่งมาที่ร้านเหล้า นี่เป็นครั้งแรกที่หวังไจ่มาซื้อเหล้าที่นี่

เพียงแต่ว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ลูกค้าในร้านที่ส่งเสียงดังโหวกเหวกกลับไม่มีสีหน้าดีๆ ให้วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อท่านนี้ได้เห็น

หนึ่งเพราะสถานะบัณฑิตที่มียศของใต้หล้าไพศาล สองเพราะได้ยินมาว่าหวังไจ่คนนี้กินอิ่มว่างงาน ถึงได้จับจ้องเรื่องที่เถ้าแก่รองปล่อยหนึ่งหมัดฆ่าคนไม่ยอมวาง ดึงดันจะเขียนบทความคุณธรรมขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนั้นให้จงได้ ทุ่มเทยิ่งกว่าเซียนกระบี่สายอิ่นกวานที่ตรวจสอบเรื่องนี้เสียอีก พวกเขาล่ะแปลกใจนัก หย่าเซิ่งกับเหวินเซิ่งตีกันหัวร้างข้างแตกก็แล้วไปเถิด สายหลี่เซิ่งอย่างเจ้าจะมาร่วมวงความครึกครื้น คอยซ้ำเติมผู้อื่นไปด้วยทำไม?

หวังไจ่สีหน้าเป็นธรรมชาติ ควักเงินจ่ายค่าเหล้าแล้วก็หิ้วเหล้าเดินจากมา ไม่ได้กินบะหมี่หยางชุนและผักดอง ยิ่งไม่ได้ดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเลียนแบบผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย ทว่าในใจของหวังไจ่รู้สึกขำเล็กน้อย เขาคิดว่าเหล้ากานี้ เถ้าแก่รองควรจะจ่ายเงินเลี้ยงจริงๆ

หวังไจ่ไม่ได้เดินกลับทางเดิม แต่หิ้วเหล้าเดินไปยังมุมเลี้ยวของตรอกที่ไร้ผู้คน

หวังไจ่หยุดเดินตรงจุดที่เดิมทีควรมีคนหนุ่มชุดเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก แล้วพูดเสียงเบาพร้อมรอยยิ้มว่า “วิญญูชนพูดจา สำคัญที่ความเที่ยงธรรม ยิ่งสำคัญที่การอธิบายอย่างละเอียด”

หวังไจ่ที่กำลังจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปทางเดิม เดินไปยังร้านเหล้า หาแผ่นป้ายสงบสุขว่างเปล่าไร้ตัวอักษรแผ่นหนึ่งแล้วเขียนชื่อกับภูมิลำเนาของตัวเองลงไป จากนั้นก็เขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขว่า ‘ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเข้มงวด ใช้เหตุผลสยบผู้คน ใช้คุณธรรมพันธนาการตน ใต้หล้าสงบสุข ไร้เรื่องราวใดอย่างแท้จริง’

หลังจากหวังไจ่เขียนเสร็จก็แขวนป้ายสงบสุขไว้บนผนัง ลองพลิกอ่านเนื้อหาของป้ายสงบสุขแผ่นอื่นที่อยู่ใกล้เคียงดูก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มีป้ายสงบสุขอยู่แผนหนึ่งที่คาดว่าวันหน้าคงถูกคนเอาไปเลี่ยมกรอบทอง คือ ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ของเซียนกระบี่ทวีปเกราะทองคนหนึ่ง ‘เถ้าแก่รองผู้ไม่เคยหลอกหลวงใคร เฉินผิงอันผู้มีพฤติกรรมดื่มเหล้าเป็นเอกไร้ใครเทียม’

แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ยังไม่คิดจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่

และยังมีอีกแผ่นหนึ่งที่ต้องถูกเถ้าแก่รองมองว่า ‘คนซื่อเขียนไปตามจิตสำนึก’ อย่างแน่นอน ประโยคนั้นเขียนว่า ‘สายเหวินเซิ่ง ความรู้ไม่ตื้นเขิน หนังหน้ายิ่งหนากว่า เถ้าแก่รองวันหน้ามาที่หลิวเสียทวีปของข้า จะเลี้ยงเหล้าดีๆ ที่แท้จริงให้แก่เจ้า’

เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมือนหวังไจ้ที่กำลังจะไปยังภูเขาห้อยหัว

หวังไจ่พึมพำกับตัวเองว่า “หากเป็นเขาก็ควรเอ่ยประโยคหนึ่ง คนดีที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้กลับเพิ่งจะมีขอบเขตก่อกำเนิด ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ขอบเขตหยกดิบต่ำเกินไป ขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่ถือว่าสูงถึงจะถูก”

หวังไจ่ยิ้มบางๆ “เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนี้ หากเถ้าแก่รองเป็นคนพูด ผู้คนคงชื่นชอบ แต่หากคนอย่างข้าเป็นคนพูด ก็ไม่ต่างจากหญิงชราทาชาดหน้าแดง ทำให้คนชิงชังรังเกียจ”

ไม่ใช่คนต่างถิ่นทุกคนที่จะเป็นเหมือนเฉินผิงอันที่กลายเป็นคนกันเองในใจของผู้ฝึกกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่

หวังไจ่รู้สึกดีใจแทนเฉินผิงอัน แต่ก็มีความเสียใจร่วมด้วย

หวังไจ่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเขียนตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันเพิ่มไว้บนป้ายสงบสุขของตัวเอง ‘ประพฤติตนมีเมตตากรุณา ขอแค่ยินดีทำ ความเมตตากรุณาก็จะมาสู่ตน หวังให้ผู้ที่ยินดีทำเช่นนี้ ไร้ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ’

หวังไจ่พบว่าห่างจากข้างกายตนไปไม่ไกลมีเด็กหนุ่มหิ้วเหล้าคนหนึ่งยืนอยู่ นามว่าเจี่ยงชวี่ มีชาติกำเนิดมาจากตรอกซัวลี่

หวังไจ่หมุนตัวกลับมายิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “บอกกับเถ้าแก่รองของพวกเจ้าสักคำว่าเหล้ารสชาติไม่เลว พยายามขายให้ได้มากๆ หน่อย เป็นเงินที่ได้มาโดยชอบธรรม ก็สามารถทำได้อย่างเปิดเผย”

เจี่ยงชวี่ยิ้มเขินอาย พยักหน้ารับแรงๆ

หวังไจ่กระดกเหล้าในกาดื่มจนหมด วางกาเปล่าไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้วจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน พอเดินออกจากประตูก็กุมหมัดเอ่ยกับพวกผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากที่นั่งอยู่ริมทางด้วยเสียงดังกังวานว่า “ขายกระบี่แต้มสุราใครกล้าซื้อ แต่ดื่มพันจอกมิเก็บเงิน”

รอบด้านเงียบสงัด คล้ายว่าอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว หวังไจ่จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนประโยคใหม่ เอาให้ตรงไปตรงมายิ่งกว่าเดิม หวังว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง เซียนกระบี่ทุกท่านที่มาดื่มเหล้าที่นี่ ลูกค้าจะเป็นดั่งปลายักษ์สูบน้ำร้อยสาย ทว่าเถ้าแก่ไม่เก็บเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว”

ยังคงไม่มีใครรับน้ำใจ

มีคนหลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “ใต้เท้าวิญญูชนคงไม่ได้วางยาพิษลงในเหล้าหรอกกระมัง? ต่อให้เถ้าแก่รองนิสัยแย่แค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่มีทางทำได้ลงคอ วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่ อริยะปราชญ์ผู้สูงส่งใสสะอาด ก็ไม่ควรทำร้ายเถ้าแก่รองถึงจะถูก”

หวังไจ่ไม่ได้ตอบโต้ เพียงจากไปพร้อมรอยยิ้ม พอห่างไปไกลแล้วก็ยกแขนขึ้น ชูนิ้วหัวแม่มือ “ดีใจมากที่ได้รู้จักเซียนกระบี่ทุกท่าน”

ทันใดนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังไปทั่วร้านเหล้า

“โดนเถ้าแก่รองสิงร่างหรือเปล่า? หรือว่าเป็นเถ้าแก่รองที่สวมรอยเขามา? วิธีการเช่นนี้ เกินไปแล้ว เกินกว่าเหตุไปแล้ว”

“เถ้าแก่รองร้ายกาจนัก แม้แต่วิญญูชนสายเหวินเซิ่งก็ยังกลายมาเป็นสหายของเขาได้อย่างนั้นหรือ?”

“ถือว่าเป็นวิญญูชนที่ยังมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่ในจิตใจบ้าง”

วิญญูชนหวังไจ่เดินไกลออกมาจากร้านเหล้า มาเดินอยู่ในตรอกเล็ก ควักตราประทับเรียบง่ายที่สลักจากหินขาวใส่แวววาวดุจหยกออกมา เป็นตราประทับที่เฉินผิงอันมอบให้เขาหวังไจ่ มีทั้งลายริมขอบ แล้วก็มีทั้งชื่อคนแกะสลักและเวลาที่แกะสลัก

เนื้อหาที่สลักไว้ริมขอบคือ ‘คนเดินบนทางดินโคลนไม่เหนื่อยหน่าย วีรบุรุษสังหารโจรไม่บันทึกลงตำรา ผู้กล้าแท้จริงไม่สง่างาม ภูผาหินสูงตระหง่านเทียมขอบฟ้า’

ตัวอักษรที่สลักตรงกลางคือ ‘ที่แท้คือวิญญูชน’

……

ในที่สุดเผยเฉียนก็ขบคิดจนเข้าใจ

นางที่รู้ตัวช้าที่สุดจึงคิดอยากจะชดเชยวันเวลาที่ใช้ไปอย่างเสียเปล่าด้วยการฝึกหมัดให้มากขึ้น

ต้องนอนแช่อยู่ในถังยาครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ลุกขึ้นไปนอนบนเตียง พอรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วก็ค่อยไปฝึกหมัดกับหมัวมัวเฒ่าอีกรอบ

ป๋ายหมัวมัวไม่อยากจะสอนหมัดอันหนักหน่วงให้แก่ท่านเขยของตนเท่าใดนัก ทว่ากับแม่หนูน้อยผู้นี้ นางกลับยินดีอย่างมาก

ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ในบรรดาลูกศิษย์และนักเรียนของท่านเขย ป๋ายเลี่ยนซวงถูกใจเผยเฉียนมากที่สุด

ภายนอกเหมือนขี้ขลาด แต่ในดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยกลับมีแววตาที่โหดเหี้ยมที่สุด

ทุกวันนี้กวอจู๋จิ่วไม่ถูกกักบริเวณแล้ว จึงมักจะมาเตร็ดเตร่ที่นี่เป็นประจำ นางจะอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูเผยเฉียนที่ถูกซัดจนหมอบกระแตครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งท้ายที่สุดลุกขึ้นไม่ไหว นางก็จะวิ่งห้อไปแบกเผยเฉียนขึ้นหลังเบาๆ

บางครั้งกวอจู๋จิ่วอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็จะถามวิชาหมัดจากอาจารย์จ้ง

วันนี้หลังจากที่เผยเฉียนฟื้นขึ้นมา กวอจู๋จิ่วก็นั่งอยู่ตรงธรณีประตูแล้ว นางมานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ยังลงจากเตียงมาเดินไม่ได้ ช่วยศิษย์พี่หญิงใหญ่คลายความกลัดกลุ้ม

ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่อยากจะคุยกับนางหรือไม่ กวอจู๋จิ่วไม่สนใจหรอก ถึงอย่างไรศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ต้องยินดีอยู่แล้ว พอพูดเหนื่อยแล้ว กวอจู๋จิ่วก็จะหยิบแท่นฝนหมึกสี่เหลี่ยมอันนั้นขึ้นมา เป่าลมใส่หนึ่งที เป็นการโอ้อวดศิษย์พี่หญิงใหญ่

วันนี้ป๋ายโส่วเดินผ่านมานอกเรือนอีกครั้ง ประตูไม่ได้ปิด ป๋ายโส่วหรือจะกล้าหาเรื่องซวยใส่ตัว เขาจึงรีบเดินเร็วๆ ผ่านไป

กวอจู๋จิ่วจึงกดเสียงเบาๆ ถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็ก เจ้ารู้สึกว่าป๋ายโส่วผู้นั้นชอบเจ้าหรือไม่?”

เผยเฉียนเหมือนถูกฟ้าผ่า “ว่าไงนะ?!”

กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างแปลกใจ “แค่นี้ก็มองไม่ออกหรือ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากข้าไปถามป๋ายโส่ว เขาต้องบอกว่าไม่ชอบแน่นอน? แต่เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กระมัง คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบุรุษล้วนเป็นผีที่ออกมาตากแดดตอนกลางวัน”

เผยเฉียนไม่สนใจคำพูดนี้ของกวอจู๋จิ่วแล้ว ดูเหมือนว่าป๋ายโส่วจะพูดหรือไม่พูดก็ล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น เผยเฉียนกำหมัดทุบลงบนเตียง “น่าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”

กวอจู๋จิ่วก้มหน้าเช็ดแท่นฝนหมึกพลางทอดถอนใจ “ข้ายังรู้อีกว่ามีแม่นางแก่ๆ คนหนึ่งมักจะพูดเป็นประจำว่า สตรีที่ออกเรือนไปแล้วก็คือน้ำที่สาดออกไป ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ถือว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่คือคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว เก้าอี้ของศิษย์พี่หญิงใหญ่ในศาลบรรพจารย์ที่บ้านเกิดของอาจารย์ก็จะต้องว่างเปล่า นี่แสดงว่านอกจากอาจารย์แล้ว ก็จะกลายเป็นฝูงมังกรที่ขาดหัวหรือไม่ น่ากลุ้มเสียจริง”

เผยเฉียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าได้หวังจะมาแย่งตำแหน่งข้า! เก้าอี้ตัวนั้นของข้าแปะกระดาษที่เขียนชื่อเอาไว้แล้ว นอกจากอาจารย์พ่อ ใครก็นั่งไม่ได้!”

กวอจู๋จิ่วร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ไว้ค่อยพูดกันวันหน้า ไม่ได้รีบร้อนเสียหน่อย”

เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “ทำไมป๋ายโส่วจะไม่ชอบเจ้าล่ะ?”

กวอจู๋จิ่วเงยหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาไม่ได้ตาบอดสักหน่อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ดีขนาดนี้เขากลับไม่ชอบ ดันมาชอบข้าอย่างนั้นหรือ?”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอก”

กวอจู๋จิ่วหัวเราะคิกคัก “เมื่อครู่นี้ล้อศิษย์พี่หญิงใหญ่เล่นหรอกน่า ใครเชื่อคนนั้นต้องเดินหัวทิ่ม”

เผยเฉียนมุมปากกระตุก

ก่อนที่เผยเฉียนจะถามเสียงเบาว่า “กวอจู๋จิ่ว เมื่อไหร่จะไปเที่ยวเล่นหาข้าที่ภูเขาลั่วพั่วล่ะ?”

กวอจู๋จิ่วได้ยินคำถามกลับไม่มีท่าทางสดชื่นสักเท่าไร “ข้าตัดสินใจเองไม่ได้หรอก ท่านพ่อท่านแม่ควบคุมเข้มงวดนัก ช่วยไม่ได้จริงๆ”

เผยเฉียนเงียบไปชั่วครู่ก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “คำพูดไม่น่าฟังจากความหวังดี ต่อให้เจ้าจะไม่ชอบฟังก็ต้องฟังเอาไว้ ถึงอย่างไรพ่อแม่หรือพวกผู้อาวุโสของเจ้าพูดเต็มที่แค่ไหนก็ตำหนิเจ้าได้แค่ไม่กี่คำ พูดมากหน่อย กลับกลายเป็นพวกเขาเองที่ตัดใจไม่ลง”

กวอจู๋จิ่วคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง”

เงียบกันไปครู่หนึ่ง กวอจู๋จิ่วก็ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าที่วางไว้บนโต๊ะ ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังไม่นอนหลับกรนครอกๆ ช่วยนางเช็ดไม้เท้าเดินป่า พ่นน้ำลายใส่ชายแขนเสื้อแล้วเช็ดถู สุดท้ายแม้แต่ใบหน้านางก็เอาไปถูด้วย มีความจริงใจอย่างยิ่ง

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอข้ายืมหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าบ้างสิ?”

“ทำไม? เพราะอะไรต้องให้?”

“ก็สะพายแล้วสวยดีนี่นา ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทำไมพูดจาไม่ใช่สมองเช่นนี้? หัวสมองที่ว่องไว เหตุใดถึงใช้งานไม่ได้เสียแล้วเล่า?”

เผยเฉียนรู้สึกว่าพูดคุยกับกวอจู๋จิ่วช่างเหนื่อยใจยิ่งนัก

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เต้าหู้เหม็นอร่อยมากจริงๆ หรือ?”

“หอมอร่อยมากเลยล่ะ!”

“กินเต้าหู้เหม็นไปแล้ว เวลาตดก็หอมด้วยหรือไม่?”

“กวอจู๋จิ่ว ทำไมเจ้าถึงได้น่ารำคาญอย่างนี้นะ?!”

จากนั้นเผยเฉียนก็เห็นว่าเจ้าคนที่นั่งอยู่บนธรณีประตูขยับปากไม่หยุด พูดภาษาคนใบ้ ก็แค่ไม่มีเสียงเท่านั้น

ต่อให้เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่มองนาง นางก็ยังมีความสุขกับการทำอย่างนั้น หากเผยเฉียนเหลือบไปมองนางโดยไม่ทันระวัง นางก็จะยิ่งขยับปากสนุกสนานเข้าไปใหญ่

เผยเฉียนกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าพูดใหม่อีกรอบเถอะ ถูกเจ้าทำให้รำคาญก็ยังดีกว่าข้าต้องปวดกบาล”

กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “หากมีวันใดที่ข้าไม่สามารถพูดกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ต้องคิดถึงความน่ารำคาญของข้ากระมัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดมากให้เจ้ารำคาญ เจ้าจะได้จำข้าได้มากๆ หน่อย”

เผยเฉียนมองแม่นางน้อยที่คลี่ยิ้มอย่างเหม่อลอยไร้คำพูด

เงาร่างชุดเขียวของคนผู้หนึ่งมานั่งที่ธรณีประตู เขายกมือบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าให้นอนต่อไป

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างกายกวอจู๋จิ่ว ยิ้มกล่าวว่า “อายุน้อยๆ ห้ามพูดแบบนี้ ขนาดอาจารย์ยังไม่พูด แล้วพวกเจ้าจะพูดได้อย่างไร”