บทที่ 1231 จอมเสเพลอันดับหนึ่ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,231 จอมเสเพลอันดับหนึ่ง

รัตติกาลครอบคลุมผืนฟ้า

บ้านหลังน้อยตกอยู่ในความเงียบ

เมื่ออันอันรับประทานผลกวนเจี๋ย อาการของนางก็ดีขึ้น เด็กหญิงสามารถกระโดดโลดเต้นได้อย่างสดชื่นแจ่มใส นางเผลอหลับไปโดยที่ยังมีหุ่นดินเหนียวที่ทำเสร็จได้แค่ครึ่งตัวถืออยู่ในมือไม่ยอมปล่อย

หลังม่านบาง ๆ ที่กั้นเตียงนอนอีกห้องหนึ่ง ชิงเล่ยกำลังพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ

ไม่ว่านางกำลังรู้สึกสุขสมมากเพียงใด หญิงสาวก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

นางทำได้เพียงจิกสองมือลงไปบนผ้าปูที่นอน และใช้ผ้าผืนหนึ่งอุดปากตนเองไว้ จึงมีเพียงเสียง ‘อืม’ ดังขึ้นในลำคอเป็นระยะแทบตลอดทั้งคืนเท่านั้น…

วันต่อมา

ชิงเล่ยสะดุ้งตื่น

พบว่าข้างกายมีแต่ความว่างเปล่า

แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความตื่นกลัว แต่แล้วนางก็ค่อย ๆ ปลอบโยนให้ตนเองใจเย็นลง

สภาพร่างกายสดชื่นแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชิงเล่ยรู้สึกว่าตนเองแข็งแรงมากขึ้น ไม่ต่างจากได้รับการประทานพรจากเทพเจ้า

แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกมหัศจรรย์มากกว่าความแข็งแรงของร่างกายก็คือ นางสัมผัสได้ถึงขีดจำกัดขั้นใหม่ของร่างกายที่ตนเองไม่คาดคิดมาก่อน

เมื่อคิดถึงความมหัศจรรย์พันลึกซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ชิงเล่ยก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าตนเองด้วยความเขินอาย

ใบหน้าขาวผ่องราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบกลายเป็นสีแดงระเรื่อชัดเจน

“อันอัน?”

นางพยายามร้องเรียกบุตรสาวของตนเอง

ไม่มีเสียงขานรับ

ชิงเล่ยจึงรีบสวมใส่เสื้อผ้า

ก่อนจะพบว่าอันอันไม่ได้อยู่ในห้องด้านข้าง

ด้วยความตกตะลึง ชิงเล่ยรีบวิ่งออกมาที่ลานหน้าบ้านและก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รอยยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

แสงสว่างยามเช้าในพื้นที่เขต 2 ไม่ค่อยสว่างสักเท่าไหร่

ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในลานหน้าบ้าน อันอันกับหลินเป่ยเฉินกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกันที่โต๊ะหินตัวหนึ่ง พวกเขากำลังรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับพูดคุยหัวเราะเฮฮาอย่างมีความสุข

กลิ่นอาหารเช้าลอยตลบอบอวลในอากาศ

นี่คือภาพแห่งความอบอุ่นที่ชิงเล่ยไม่เคยคิดฝันมาก่อน

แต่มันกลายเป็นความจริงแล้ว

ชิงเล่ยยิ้มแย้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าทำลายภาพที่สวยงามเหมือนฝันในขณะนี้ลงไป

จนกระทั่งหลินเป่ยเฉินหันมากวักมือเรียก “มาทานอาหารเช้าด้วยกันเถอะ เช้านี้มีแต่อาหารโปรดของท่านทั้งนั้นเลย”

“คุณชายรู้ได้อย่างไร?”

ชิงเล่ยเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

“อันอันเป็นคนบอกท่านอาเอง”

เด็กน้อยยกมือขึ้นขอรับความดีความชอบ

ชิงเล่ยเดินไปนั่งลงข้างบุตรสาวและโอบกอดเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน เฝ้าสังเกตรอยกลีบดอกไม้บนหน้าผากของเด็กน้อยอย่างใกล้ชิด ผู้เป็นมารดาไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่นางรู้สึกเหมือนกับว่ารอยกลีบดอกไม้เหล่านี้กำลังบางเบาลงแล้ว

“วันนี้ข้าจะพาท่านไปทำเรื่องบรรจุตำแหน่งงานใหม่ที่หอการค้าคนแคระเทวะ หลังจากนั้น พวกเราค่อยเข้าไปหาดูบ้านเช่าในพื้นที่เขต 1 กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็น่าจะเป็นเวลาครึ่งวันพอดี” หลินเป่ยเฉินกล่าว “ส่วนช่วงบ่ายข้ามีธุระส่วนตัวต้องไปจัดการนิดหน่อย”

“คุณชายจะไปจัดการธุระของตนเองให้เสร็จก่อนก็ได้นะเจ้าคะ”

ริมฝีปากสีแดงสดของชิงเล่ยดูดเส้นบะหมี่เข้าไปเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

การกระทำของนางส่งผลให้เลือดลมในร่างกายหลินเป่ยเฉินร้อนระอุ เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้… นางเองก็ทำปากไม่ต่างไปจากนี้เช่นกัน

“ไม่ต้องหรอก”

เด็กหนุ่มตอบ “เพราะพวกท่านคือสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับข้า”

คำพูดคือสิ่งที่สามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้โดยไม่ต้องใช้การลงทุน

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าสตรีต้องการได้ยินถ้อยคำหวานหูเช่นใด

ชิงเล่ยแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา

ยามที่คนเรามีความสุข ใบหน้าก็จะเปล่งปลั่งโดยไม่รู้ตัว

สำหรับผู้คนที่มีหน้าตางดงามอยู่แล้ว ก็จะยิ่งงดงามมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

หลังจากนั้นไม่นาน การรับประทานอาหารเช้าก็เสร็จสิ้น

“ท่านแม่ ท่านอา อันอันจะรอพวกท่านอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง”

ก่อนที่พวกเขาจะออกจากบ้าน อันอันมีดวงตาเป็นประกายแห่งความคาดหวัง แต่นางก็พูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น “อันอันจะเป็นเด็กดี อันอันจะดูแลตนเอง อันอันจะรอคอยพวกท่านอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”

เด็กหญิงรู้ว่ายิ่งนางทำตัวน่ารักมากเท่าไหร่ ผู้ใหญ่ก็จะยิ่งสงสารมากเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินโอบกอดเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู “ทำไมต้องอยู่บ้านด้วยเล่า? อันอันไปกับมารดาดีหรือไม่?”

“อันอันขอบคุณท่านอามากแล้ว”

เด็กหญิงตัวน้อยฉีกยิ้มอย่างมีความสุข แต่ดูเหมือนนางจะนึกอะไรได้บางอย่าง จึงก้มหน้าลงและกระซิบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “อันอันกลัวจะทำให้ท่านแม่ถูกที่ทำงานตำหนิเอาได้ สมัยนี้งานหาไม่ง่าย อันอันไม่รบกวนดีกว่า…”

เสียงของอันอันแผ่วเบาลงจนเงียบหายไปในที่สุด

“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้เดี๋ยวท่านอาจะดูแลเอง”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้าลงจูบหน้าผากของเด็กน้อยและกล่าวว่า “วันนี้อันอันจะได้ไปที่ทำงานของท่านแม่ อันอันคอยดูก็แล้วกันว่าท่านแม่เวลาอยู่ในที่ทำงานแล้วจะสวยงามมากเพียงใด อันอันอยากดูหรือไม่?”

“ดูได้ด้วยหรือเจ้าคะ?”

อันอันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าชิงเล่ย

ชิงเล่ยพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

ถึงนางไม่รู้ว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถจัดการได้อย่างไร แต่ชิงเล่ยก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในคำพูดของเขา

แล้วทั้งสามก็ออกเดินทาง

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป

หลินเป่ยเฉิน ชิงเล่ย และเด็กหญิงอันอันก็มายืนอยู่ที่หน้าสถานีขนส่งประจำหุบผาอเวจีแดน 4

ทันทีที่พวกเขามาถึง กลุ่มคนที่สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนก็เดินเข้ามาหาเป็นจำนวนสามคน

คนแรกมีร่างกายอ้วนท้วม รูปร่างสันทัด อายุประมาณสามสิบปี รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เขาดูเป็นคนจริงใจไร้พิษภัย ท่าทางน่าจะเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง

เมื่อพบเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของชายอ้วนก็เป็นประกายระยิบระยับ เขารีบเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทีสนิทสนม “น้องเจี๋ยน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”

“พี่ฉิน?”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความตกตะลึง “มาด้วยตัวเองเลยหรือขอรับ?”

ชายอ้วนที่ถูกเรียกว่าพี่ฉินรีบยิ้มตอบอย่างกระตือรือร้น “น้องเจี๋ยนอุตส่าห์ร้องขอความช่วยเหลือทั้งที ข้าจะไม่มาได้อย่างไร เรื่องราวนี้ข้าต้องจัดการด้วยตนเองเท่านั้น… แม่นางชิงเล่ยช่างสวยงามสมคำเล่าลือตามที่น้องเจี๋ยนบอกเอาไว้จริง ๆ”

ชิงเล่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างตกตะลึงและไม่รู้ว่าตนเองสมควรกล่าวเช่นไร

เพราะนางรู้จักชายหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้

เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสภาเทพเจ้า มีสถานะและบารมีสูงส่ง และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เขาเป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะในทุกสถานีขนส่งของหุบผาอเวจีแห่งนี้

ชายอ้วนผู้นี้มีนามว่าฉินโซว

ฉินโซวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

สมัยที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ว่ากันว่าฉินโซวเป็นเทพเจ้าจอมเสเพล มักจะกระทำเรื่องราวที่ไม่มีผู้อื่นคิดกระทำ และได้ชื่อว่าเป็นเศษสวะอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้

และเมื่อเข้ามารับหน้าที่ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะในภายหลัง ฉินโซวก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนใหม่ ยกสถานะของตนเองขึ้นมาเป็นเทพเจ้าผู้ประสบความสำเร็จได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ชิงเล่ยทำงานอยู่ในหอการค้าคนแคระเทวะมาหลายปี ย่อมรู้ดีว่าเจ้านายสูงสุดของตนเองเป็นผู้ใด

ฉินโซวคือบุคคลที่นางไม่มีวันได้พบในชีวิตประจำวัน

ไม่สิ ต้องอธิบายว่าเขาเป็นคนที่นางไม่มีวันได้พบในชีวิตนี้ต่างหาก

ดังนั้น หญิงสาวจึงนึกไม่ถึงว่าในวันนี้ อีกฝ่ายกลับมารอพวกของตนเองอยู่ที่นี่และเขายังแสดงท่าทีสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินอีกด้วย

ชิงเล่ยคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะมีตัวตนจริงเป็นสมาชิกของตระกูลเทวะระดับสูง แต่นางก็คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะอยู่ในแวดวงเทพเจ้าระดับสูงถึงเพียงนี้

“ใต้เท้าฉิน”

ชิงเล่ยรีบสะกดกลั้นความตกตะลึงในหัวใจ ประสานมือก้มศีรษะทำความเคารพโดยเร็ว

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องมากพิธี น้องเจี๋ยนกับข้าคือพี่น้องร่วมสาบาน เจ้าอายุเท่าไหร่กันล่ะ? เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ดีหรือไม่?”

ฉินโซวยิ้มแย้มอย่างใจดีมีเมตตา แตกต่างจากข่าวลือที่ว่าเขาเป็นบุคคลชั่วร้ายโดยสิ้นเชิง

หลินเป่ยเฉินก็กำลังยิ้มแย้มออกมาเช่นกัน “ท่านจงจำหน้าพี่ฉินเอาไว้ให้ดี หากหลังจากนี้มีปัญหา สามารถตามหาตัวเขาได้ทันที”

ไม่นานก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ออกล่าสัตว์อสูรอยู่ในหุบผาอเวจีแดน 5 และแดน 6 หลินเป่ยเฉินได้รับความช่วยเหลือจากแอปความรู้คู่ปัญญาและพลังอัคคีเทวะของเขาเป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้การล่าสัตว์อสูรของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่นและหลินเป่ยเฉินก็มีสินค้านำมาขายมากมาย…

แม้แต่พวกกลุ่มนักล่าอสูรมืออาชีพก็ยังหาได้ไม่เท่ากับเขาคนเดียว

และเนื่องจากเด็กหนุ่มล่าสัตว์อสูรมาได้เยอะมากเกินไป พื้นที่เก็บของในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์จึงไม่เพียงพออีกแล้ว นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินต้องนำซากสัตว์อสูรไปขายที่สถานีขนส่งในทุก ๆ วัน

ยิ่งเป็นหุบผาอเวจีที่มีระดับสูงมากเท่าไหร่ สัตว์อสูรที่ล่ามาได้ก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้น ราชาแห่งสัตว์อสูรประจำหุบผาอเวจีแดน 5 อย่างอสูรวาฬวิหคเพชฌฆาตและราชาแห่งสัตว์อสูรประจำหุบผาอเวจีแดนหก อย่างปักษาสิบหกปีก ก็ยังถูกหลินเป่ยเฉินล่ามาได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นในสถานีขนส่ง จึงเกิดความแตกตื่นวุ่นวายไม่ใช่น้อย

หลินเป่ยเฉินกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่

มีพ่อค้ามากมายต้องการซื้อซากสัตว์อสูรจากหลินเป่ยเฉิน จนกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทกันในที่สุด

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้บรรดาคนใหญ่คนโตประจำสถานีขนส่งต้องปรากฏตัวออกมา

และตอนนั้นเองที่ฉินโซวออกมาจัดการความวุ่นวายและผูกมิตรกับหลินเป่ยเฉิน รวมถึงลงนามในสัญญาซื้อขายระยะยาวระหว่างพวกเขาอีกด้วย

บางทีอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาเคยเป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพลที่ถูกผู้คนทั้งเมืองเกลียดชังด้วยกันทั้งคู่ ฉินโซวกับหลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งพวกเขาพูดคุยกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เป็นคนเสนอความคิดดื่มน้ำร่วมสาบาน และแล้วพวกเขาก็กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันขึ้นมาทันที…

พี่น้องที่ดีต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเสมอ

พวกเขาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างตรงไปตรงมา

ดังนั้น เมื่อวานนี้หลินเป่ยเฉินจึงกล้ารับปากชิงเล่ยว่าจะทำให้นางได้เป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4 ให้ได้

เดิมที เด็กหนุ่มเข้าใจว่าฉินโซวน่าจะส่งลูกสมุนมาจัดการปัญหานี้

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายอ้วนจะลงมาด้วยตนเอง

นับเป็นบุญคุณอย่างสูง

“พี่ฉินช่างมีจิตใจเมตตาผู้น้อยยิ่งนัก”

เมื่อเห็นสีหน้าของชิงเล่ย หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับชายอ้วน ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ที่มีความสุขมากที่สุดในเวลานี้

“ฮ่า ๆ เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า น้องชาย”

ฉินโซวตบหน้าอกด้วยความมุ่งมั่น “วันนี้ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ราบรื่นเอง”

เขาจะต้องหาวิธีเอาชนะใจเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ให้ได้

เพราะความเร็วในการล่าสัตว์อสูรของเขาน่าทึ่งมากเกินไป หากได้ร่วมมือกันในระยะยาว หอการค้าคนแคระเทวะก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นแน่นอน

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผลัดกันชื่นชมกันและกันพอหอมปากหอมคอ

นับเป็นถ้อยคำประจบประแจงที่ไร้ยางอายอย่างยิ่ง

พวกเขาแทบจะเดินจูงมือกัน

ทุกคนเดินตรงไปที่หอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4