กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ถูกใช้ที่แดนสุขาวดีอย่างเข้มงวด
เตรียมป้องกันขนาดนี้ ถ้าคิดจะจับตัวพระปีศาจให้ได้ก็คงไม่แน่ ถึงอย่างไรใต้หล้าก็ใหญ่โต ไม่สามารถค้นหาได้ทุกซอกทุกมุม แต่กลับยับยั้งไม่ให้พระปีศาจทำอะไรซี้ซั้วได้ กำลังพลแนวหน้าที่อยู่ตามจุดป้องกันต่างๆ ถึงขั้นปิดประสาทสัมผัสการได้ยินและจิตสำนึก ป้องกันไม่ให้พระปีศาจอาศัยช่องโหว่
เหมียวอี้ถึงขนาดสั่งให้แดนอเวจีปฏิบัติเหมือนกัน ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น เขาสามารถหาทางเข้าแดนอเวจีอีกทางได้ ใครจะไปรู้ว่าพระปีศาจจะรู้เส้นทางหรือเปล่า ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า
สรุปก็คือ พอพระปีศาจหนานโปออกมา ใต้หล้าก็ค่อนข้างเกรงกลัวจนระแวงแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกกระสา
เหมียวอี้ต้องทึ่งในความเจ๋งของปีศาจเฒ่า คนที่สูญเสียกายเนื้อและพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนในใต้หล้าตึงเครียดขนาดนี้ คาดว่าคงมีแค่พระปีศาจคนเดียวเท่านั้น
บนผิวน้ำที่มีหมอกและคลื่นเล็กน้อย ชาวประมงเฒ่าคนหนึ่งกำลังแจวเรือเรือสำปั้น ค่อยๆ ไปหยุดตรงตีนเขา จากนั้นกระโดดขึ้นฝั่งแล้วมัดเชือกไม่ให้เรือลอยไป
ชาวประมงเฒ่าเดินขึ้นไปตามทางภูเขาที่คดเคี้ยว เดินมาถึงนอกศาลาหลังหนึ่งตรงไหล่เขา
ในศาลา ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตกำลังเอามือไขว้ยืนชมทิวทัศน์
ชาวประมงเฒ่าเข้ามานั่งในศาลา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
บัณฑิตหันตัวมาช้าๆ ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา “มาเยี่ยมสหายเก่าผิดตรงไหน?”
“ตระกูลอิ๋งตกต่ำจนมีจุดจบอย่างนั้นแล้ว พวกเราไม่สะดวกจะเจอกันอีก” ชาวประมงเฒ่ากล่าว
“ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะจะถามพี่ลี่สักหน่อย คนของตระกูลอิ๋งได้ติดต่อมาหาเจ้าอีกหรือเปล่า?” บัณฑิตถามด้วยรอยยิ้ม
ในดวงตาชาวประมงเฒ่าฉายแววระแวดระวัง “ข้ากับตระกูลอิ๋งตัดขาดกันไปนานแล้ว คนตระกูลอิ๋งจะติดต่อข้ามาอีกทำไม?”
บัณฑิตจึงบอกว่า “ถึงยังไงปีนั้นเจ้าก็เคยอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋งมาก่อน พอคนตระกูลอิ๋งตกระกำลำบาก จะติดต่อเจ้ามาก็เป็นเรื่องปกติมาก”
ชาวประมงเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้า…” สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ดวงตาสองข้างเหม่อลอย
“คนของตระกูลอิ๋งเคยติดต่อเจ้าหรือเปล่า?” บัณฑิตถามด้วยรอยยิ้ม
“มี อิ๋งเยว่ คุณหนูของตระกูลอิ๋งซ่อนตัวอยู่ที่บ้านข้า…” ชาวประมงเฒ่าตอบด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
หลังจากถามตอบพักหนึ่ง บัณฑิตก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินออกไปด้วยกัน ชาวประมงเฒ่าเดินตามหลังเขาออกจากศาลาไป
ทั้งสองเดินลงเขา ชาวประมงเฒ่าแก้หมัดเชือก แล้วขึ้นเรือพร้อมบัณฑิต
ชาวประมงเฒ่าแจวเรือ ลอยช้าๆ ไปกลางแม่น้ำ แล้วจู่ๆ ก็วางไม้พายสองด้าม แล้วค่อยๆ หันตัวเดินเข้าไปในเรือ
บัณฑิตที่นั่งอยู่ในเรือพลันหลับตา หงายหลังล้มลง เงาร่างที่ดวงตากะพริบแสงเพลิงสีทองหลุดออกมาจากตัวบัณฑิต แล้วชนเข้ากัยตัวชาวประมงเฒ่า หลอมรวมเข้าไปในร่างของชาวประมงเฒ่าแล้ว
ดวงตาของชาวประมงเฒ่ากลับมามีแววแล้ว หิ้วร่างบัณฑิตโบนลงในแม่น้ำ พอขยุ้มนิ้วทั้งห้ากลางอากาศ ร่างของบัณฑิตที่จมลงช้าๆ ก็แหลกกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อ เลือดสดเริ่มกระจายปนเปื้อนอยู่ในแม่น้ำ ดึงดูดฝูงปลาให้เข้ามากิน
ชาวประมงเฒ่าเดินมาที่หัวเรืออีกครั้ง หยิบไม้พายสองด้ามขึ้นมาพายเรือ ปากพึมพำร้องเพลงด้วยเสียงแหบพร่า “เรือน้อยลำหนึ่ง เอ้อระเหยกลางฟ้าดิน ข้าล่องลอย ความกลัดกลุ้มจากกลางใจ มิอาจตัดสัมพันธ์ เขาไม่เกี่ยงสูง ทะเลไม่เกี่ยงลึก…”
ป่าไผ่ริมแม่น้ำ ในป่ามีกระท่อมหลังหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนตัวอยู่ในสังคมโลกแต่ก็ตัดขาดกับโลกภายนอก ปกติยามจะซื้อของก็ต้องเข้าเมืองไกล
จอดเรือที่ริมฝั่งแม่น้ำ ชาวประมงเฒ่าโยนเชือกมัดบนเสา พอขึ้นฝั่งมาก็มองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปในป่าไผ่ตามทางเล็กๆ อย่างไม่รีบร้อน เมื่อมาถึงรั้วที่ใช้ไม้ไผ่สานล้อมไว้ ก็ผลักไม้เกี๊ยะประตูเล็กเดินเข้าไป สองข้างทางเป็นแปลงผักเล็กๆ พืชผักเขียวชอุ่ม
ในรั้วไม้ไผ่สาน กั้นเรือนด้านหลังและเรือนด้านหน้า เรือนข้างหน้าเป็นที่อยู่ของชาวประมงเฒ่า ส่วนข้างหลังเป็นที่อยู่ของลูกสาวชาวประมงเฒ่า
ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดผ้าฝ้ายหยาบเดินออกมาจากบ้าน สีหน้าชินชา นางยิ้มเห็นฟันพร้อมถามว่า “่ท่านพ่อ ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้?”
ชาวประมงเฒ่าหยุดเดิน สายตามองสำรวจนางศีรษะจดเท้า พยักหน้าเบาๆ พร้อมอมยิ้ม
ลูกสาวงงอยู่บ้าง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าชาวประมงเฒ่าแตกต่างจากยามปกตินิดหน่อย ลักษณะแววตาให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ใช้ชีวิตสูงส่ง
ชาวประมงเฒ่าไม่ได้พูดอะไร แต่มองซ้ายมองขวาแล้วเดินอ้อมบ้านหลังแรก พอมาถึงบ้านข้างหลังก็ผลักประตูเข้าไปเลย
ลูกสาวที่ตามอยู่ข้างหลังยิ่งสงสัยมากขึ้น ปกติเวลาชาวประมงเฒ่าจะเข้าบ้านนางก็ต้องบอกก่อน ไม่เข้ามาโดยไม่ได้เชิญเด็ดขาด
จนกระทั่งเข้ามาดูในบ้านของลูกสาว ก็พบว่าชาวประมงเฒ่านั่งที่หัวโต๊ะอย่างสง่าผ่าเผย มองนางด้วยลักษณะท่าทางที่สูงส่งดุจนั่งอยู่บนเมฆ ราวกับคนบนฟ้ามองต่ำลงมาที่เวไนยสัตว์บนพื้นดิน
ผู้หญิงคนนี้ทำสีหน้าสงสัย เปลี่ยนเป็นถามว่า “ท่านอาหลี่ ท่านบุรุษจิงมาหาท่านเรื่องอะไร?”
“เราก็คืออิ๋งเยว่ หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงสินะ?” ชาวประมงเฒ่าถามด้วยรอยยิ้มเรียบๆ
เมื่อถามแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจมาก ในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว นางพลิกมือหยิบกระบี่วิเศษออกมาด้ามหนึ่ง แล้วถามอย่างระวังตัว “เจ้าไม่ใช่ท่านอาหลี่ เจ้าเป็นใคร?”
ไม่ผิดหรอก นางก็คือหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง อิ๋งเยว่ คนที่หนีออกมาจากตระกูลอิ๋งคนเดียวเพื่อล้างแค้น ก่อนหน้านี้ถูกปรนเปรอมาตั้งแต่เด็ก หลังจากออกมาเผชิญกับความเป็นจริง ถึงได้พบว่ายามสิ้นอำนาจแล้ว การที่ตัวเองคิดจะล้างแค้นนั้นเป็นเรื่องตลก ถ้าลองสุ่มเลือกศัตรูมาสักคน ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวนางในตอนนี้จะไปมีเรื่องกับใครไหวบ้าง ไม่มีใครไว้หน้านางในฐานะคุณหนูของตระกูลอิ๋งอีกแล้ว แทบจะโดนขายทิ้งแล้ว ส่วนท่านอาหลี่ที่นางเรียก เดิมทีเป็นบ่าวไพร่ผู้ซื่อสัตย์ที่เรือนของนาง ในปีแรกถูกบิดาของนางไล่ออกจากบ้าน ดูเผินๆ เหมือนเป็นการไล่ออกจากบ้าน แต่ความจริงแล้วแอบเหลือทางหนีทีไล่ไว้ สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากของตระกูลใหญ่
หลังจากอิ๋งเยว่ถือวิสาสะออกจากกลุ่มมาคนเดียว บิดาของนางก็ให้นางกลับไป แต่นางไม่ยอมกลับ บิดานางกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง จึงบอกที่อยู่ของท่านอาหลี่ให้รู้ บอกว่าต้นไม้ล้มลิงกระเจิง อยากไปหาคุณรู้จักก่อนหน้านี้ง่ายๆ เพราะจะถูกทรยศเอาได้ง่าย บอกว่าท่านอาหลี่ควรค่าแก่การเชื่อใจ บิดานางก็ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ท่านอาหลี่คนนี้มารับ
หลังจากอิ๋งเยว่พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาก ก็จำต้องมาหาท่านอาหลี่พรุ่งนี้ ทว่ากลับพบว่าบิดามารดาขาดการติดต่อไป แต่สามารถติดต่อจั่วเอ๋อร์ได้ จั่วเอ๋อร์เกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป แต่ท่านอาหลี่กลับขี้ระแวง จึงให้อิ๋งเยว่ลองติดต่อคนอื่นๆ ในครอบครัวอีก ผลปรากฏว่าติดต่อไม่ได้สักคน ท่านอาหลี่คิดว่าตระกูลอิ๋งเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จึงห้ามไม่ให้ห้ามอิ๋งเยว่ไปพบจั่วเอ๋อร์อีก
หลายปีผ่านไป อิ๋งเยว่ก็ติดต่อบิดามารดาไม่ได้เลย พอจะเดาออกแล้วว่าบิดามารดาคงประสบหายนะแล้วจริงๆ
และหลายปีมานี้นางก็ไม่กล้าโผล่หน้าไปไหน ตำหนักสวรรค์ไม่เคยยกเลิกประกาศจับกุมนางเลย ซ่อนตัวอยู่ในโลกมนุษย์โดยใช้ฐานะลูกสาวของท่านอาหลี่มาตลอด
“ข้าคือคนที่สามารถช่วยเจ้าได้ คนที่สามารถช่วยจะล้างแค้นได้” ชาวประมงเฒ่ากล่าวกลั้วหัวเราะ
“เราเป็นใครกันแน่?” อิ๋งเยว่กังวลมาก
ชาวประมงเฒ่าเอนตัวบนเก้าอี้ แล้วจู่ๆ บนตัวก็มีแสงทองวิบวับ ร่างกายที่มีดวงตาเพลิงสีทองลุกขึ้นยืนแล้ว
อิ๋งเยว่ตกใจ ไม่เคยเจอคนแปลกขนาดนี้มาก่อน ถอยหลังไปที่ประตูช้าๆ อย่างสับสนหวาดกลัว “เราเป็นใครกันแน่?”
เงาร่างสีทองเปล่งเสียงดังหึ่งๆ “ทั้งใต้หล้านี้ล้วนกำลังตามหาข้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ?”
อิ๋งเยว่เบิกตากว้างในฉับพลัน เรื่องที่เป็นข่าวครึกโครมในใต้หล้าช่วงนี้ มีหรือที่นางจะไม่ได้ยิน เมื่อมองสภาพของอีกฝ่ายอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นพระ จึงร้องอย่างตกใจว่า “เจ้า…เราก็คือ…ก็คือพระปีศาจหนานโป?” สายตานางล่อกแล่กลนลาน มีเจตนาจะหนีไปแล้ว
“อยู่ตรงหน้าข้าเจ้าหนีพ้นเหรอ? เจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของท่านอาหลี่แล้วหรือ? ในใต้หล้านี้ นอกจากข้าแล้วมีใครที่ล้างแค้นให้เจ้าได้บ้าง?” พระปีศาจหนานโปกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ
อิ๋งเยว่ยืนมองเขาอยู่ที่เดิม แต่กลับใช้กระบี่ชี้เขา พร้อมกล่าวอย่างวิตกกังวล “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
พระปีศาจหนานโปกะพริบแสงทอง กลับเข้ามานั่งในร่างชาวประมงเฒ่าอีกแล้ว ในดวงตาชาวประมงเฒ่ากลับมามีแววอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยเสียงจากกายหยาบ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้ายังไม่มีค่าพอให้ข้ามาลงมือด้วยตัวเองหรอก”
อิ๋งเยว่ไม่กังวลก็แปลกแล้ว ตัวละครที่สามารถทำให้ทั้งใต้หล้าตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดได้ ต่อให้นางนอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เจอกับพระปีศาจหนานโปในตำนาน นางตกใจจนมือไม้อ่อน แต่ยังคงชี้กระบี่ไปที่อีกฝ่าย ถามเสียงสั่นว่า “เจ้าทำอะไรกับท่านอาหลี่?”
“ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้หรอก” พระปีศาจหนานโปลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าต่าง ผลักหน้าต่างออก มองป่าไผ่เขียวชอุ่มด้านนอกพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าน่าเกรงจาม เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่ แต่กลับตกต่ำจนต้องปิดบังชื่อแซ่ มาหลบอยู่ในหมู่บ้านชาวนาจนๆ แสดงตัวเป็นหญิงชาวนา รสชาติยามตกจากที่สูงมันยากจะรับไหวใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ข้าเจอมา เจ้ายังห่างไกล ข้าโดนขังอยู่ในวัดเล็กๆ มาหลายปี…”
อิ๋งเยว่จะไปก็ไม่กล้าไป จะอยู่ก็ไม่กล้าอยู่ เครียดกังวลที่สุด “เจ้าคิดจะทำยังไง?”
พระปีศาจหนานโปมองไปนอกหน้าต่างพลางยิ้มบางๆ “เจ้าอยากล้างแค้นไม่ใช่เหรอ? ประมุขชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ เซี่ยโห้วลิ่ง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ หนิวโหย่วเต๋อ นี่คือศัตรูคู่แค้นที่เจ้าตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าอยากจะฆ่า แต่เจ้าก็ทำได้แค่ ‘อยาก’ ฆ่าเท่านั้น เจ้าฆ่าไหวเหรอ? เกรงว่าเจ้าคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้พวกเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้ามาแล้ว ข้ามาให้โอกาสเจ้าล้างแค้น!”
พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ เขาก็ค่อนข้างกลุ้มใจ หลังจากชิงกายหยาบหนีออกมาได้แล้ว อยากจะรู้สถานการณ์ปัจจุบันของใต้หล้าก็ไม่ยาก หลังจากหนีออกมาแล้ว เดิมทีสิ่งแรกที่เขาทำก็คือไปหาหนิวโหย่วเต๋อ ผลก็คือพบว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อคือหนึ่งในอำนาจใหญ่ที่มีอยู่ไม่กี่ฝ่ายในใต้หล้า ในมือมีทหารเกรียงไกรหลายสิบล้าน มีนักรบอยู่ในมือมากมายดั่งเมฆ มารดาเจ้าเถอะ ไม่ใช่คนที่เขาจะมีเรื่องด้วยไหวในตอนนี้ หลังจากทำความเข้าใจขั้นตอนการผงาดขึ้นมาของหนิวโหย่วเต๋อโดยละเอียด ก็พบว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่พวกอ่อนหัด ไปรังแกไม่ได้ง่ายๆ จึงทำได้เพียงพิจารณาถึงผลระยะยาว
อิ๋งเยว่ไม่กล้าเชื่อ “เจ้าตามหาข้าเจอได้ยังไง?”
พระปีศาจหนานโปยิ้มเบาๆ “สำหรับคนอื่นอาจจะยากมา แต่สำหรับข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็สืบจากคนที่เคยเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งไปทีละขั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า คนที่ข้าไปหาล้วนปิดบังความลับอะไรข้าไม่ได้”
“เจ้าสิ้นเปลืองกำลังความคิดตามหาข้า ก็เพื่อจะช่วยข้าล้างแค้นเหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม
พระปีศาจหนานโปหันตัวมาช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าล้างแค้นอย่างเดียว แต่เพื่อล้างแค้นให้ข้าด้วย เดิมทีไม่ได้คิดจะมาหาเจ้า แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้ว เครือข่ายของตระกูลอิ๋งก็เหมือนจะเหลือแค่เจ้า ตามที่ข้ารู้มา หลังจากตระกูลอิ๋งรบแพ้ ยังมีกำลังพลบางส่วนหนีไปได้ คาดว่าตระกูลอิ๋งคงยังมีกำลังลับอยู่บางส่วน นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการในตอนนี้ แนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนในยุคของข้าแล้ว ถูกจัดระเบียบใหม่แล้ว สู้แบบตัวต่อตัวไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเจ้าอยากจะล้างแค้นจริงๆ ก็ไม่พ้นต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนพวกนี้ เจ้าออกหน้าติดต่อพวกเขาสิ ข้าจะช่วยเจ้ารวบรวมกำลังที่กระจัดกระจายขึ้นมาอีกครั้ง”
…………………………