ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 52 เหตุใดท่านไม่ไปตายเสียเล่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ก่อนหน้านี้สวีโหย่วหรงเคยได้กล่าวไว้ว่า หวังจือเช่อนั้นเลอะเลือนไปแล้ว

ในครานั้นคำพูดของนางทำให้เกิดเสียงอื้ออึงในสุสานเทียนซู แม้แต่ผู้บำเพ็ญพรตจากแดนใต้ที่ติดตามนางมานั้นก็ยังรู้สึกไม่พอใจ

ในครานี้ที่นางเอ่ยคำนี้ออกมาอีกครั้ง ทั้งด้านในและด้านนอกของสุสานเทียนซูกลับเงียบสงัด

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ผู้ใดก็ล้วนฟังออกทั้งสิ้นว่าประโยคนี้ของนางกำลังให้ความร่วมมือกับเฉินฉางเซิง

หลังจากที่เฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้น หวังจือเช่อมิได้เอ่ยคำใดกับเขา แต่กลับเอ่ยทักทายจูซาเสียก่อน

คำกล่าวที่ว่าไม่พบกันเสียนาน แอบซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งไว้มากมาย

หากเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว สถานการณ์นี้ก็คงสูงส่งเท่าภูเขาที่หนาวเหน็บ

หากนี่เป็นการโจมตีทางด้านจิตใจ มันก็แทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยที่สามารถทำตามได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากคิดจะต่อกรกับกลวิธีเช่นนี้ก็ล้วนยากเย็นแสนเข็ญทั้งสิ้น

เฉินฉางเซิงเลือกที่จะตัดต้นตอทิ้งเสีย

เขายืนอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวชุดดำ บอกกับหวังจือเช่อว่า นั่นไม่ใช่ชื่อของนาง

สามารถเรียกนางว่าหงจวง สามารถเรียกนางว่าจี๊ดจี๊ด หรือจะเรียกชื่อเผ่าพันธุ์มังกรที่มีหลายพันพยางค์เมื่อเทียบกับภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้

อย่างไรเสีย นางมิได้ชื่อจูซา

แม้ว่านางจะเคยถูกเรียกเช่นนั้นมาก่อนก็ตาม

เพราะนี่มิใช่ตอนนั้นแล้ว

นางไม่ได้อยู่ใต้สะพานอุดรใหม่อีกต่อไป แต่อยู่ข้างกายเขา

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งด้านนอกและด้านในของสุสานเทียนซู

หากเอ่ยว่าสวีโหย่วหรงไม่มีความเกรงใจต่อหวังจือเช่อ มันก็มิได้ขัดแย้งกับความทรงจำที่นางมีไว้ให้ต่อผู้คนในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา

เฉินฉางเซิงแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวเยี่ยงนี้ต่อหวังจือเช่อ กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายต่างคาดไม่ถึง

เหตุใดกันเล่า

เมื่อยามอยู่บนเทือกเขาหานซาน เฉินฉางเซิงมองเห็นหวังจือเช่อขี่เมฆาดำเนินมา เปรียบเสมือนครั้งแรกที่เขามองเห็นผู้บำเพ็ญพรตจากโลกแห่งดวงดาวที่แท้จริง

เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่บนโลก เขาเองก็มองว่าหวังจือเช่อเป็นต้นแบบ

ในวันนี้หวังจือเช่อยืนอยู่ตรงข้ามเขาและสวีโหย่วหรง แต่ความเคารพที่มีต่อท่านผู้เป็นตำนานยังคงอยู่ในใจนี้มิได้ลดลงเลย

จวบจนกระทั่งหวังจือเช่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา

มังกรดำเริ่มรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อมองสีหน้าซีดเผือดของนาง และมองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของหวังจือเช่อ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

เขาไม่สามารถเอ่ยอย่างชัดเจนได้ว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ อย่างไรก็ตามเขาเริ่มที่จะโกรธขึ้นมาแล้ว

ภายในระยะเวลาอันแสนสั้น ความเคารพเลื่อมใสในใจของเขาก็หายไป และเขาก็สงบลงอย่างมาก

ในส่วนของสวีโหย่วหรง จากท่าทีของนางที่มีต่อหวังจือเช่อก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านอกเสียจากเรื่องวิถีพรตแล้ว นางไร้ซึ่งความเคารพใด ๆ

ด้วยเหตุนี้หวังจือเช่อที่ใช้ประโยคนั้นบีบคั้นความรู้สึก ก็ถูกสองประโยคนั้นของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยับยั้งเอาไว้เสีย

หวังจือเช่อยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนเตรียมจะเอ่ยคำใด

เฉินฉางเซิงกลับมองไปยังทางอื่น

คำพูดที่หวังจือเช่อเตรียมจะเอ่ยนั้นจึงไม่ได้เอ่ยออกมา

สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึม

เฉินฉางเซิงมิได้มองไปยังอาจารย์ของตน แต่กลับมองไปทางสวีโหย่วหรง

พวกเขาสบตากันอย่างเงียบ ๆ ราวกับเข้าใจแล้วถึงจิตใจของอีกฝ่าย

เนื่องจากเดิมทีจิตใจของพวกเขาก็เชื่อมประสานถึงกันราวกับสายรุ้งที่ทอดเชื่อมระหว่างสองดินแดน

ดาบนั้นราวกับสายรุ้ง

บนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ วิชาสองกระบี่ประสานพลังของพวกเขานั้นเคยบังเกิดสายรุ้งขึ้น

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าทราบดีว่าท่านเคยไปที่สวนร้อยหญ้า ข้าเองก็เคยไป”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “เมื่อยามข้ายังเล็ก เหนียงเหนียงเคยสอนข้าเอาไว้ว่า เมื่อต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวใหญ่โต จักต้องสงบนิ่ง ข้าเพียงอยากไปที่นั่นเพื่อให้ตนสงบนิ่ง”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากกลายเป็นคนเยี่ยงอาจารย์ข้า และก็ไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นคนเยี่ยงเหนียงเหนียงเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้หวังจือเช่อและเหล่าเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีต่างมองไปยังซางสิงโจวที่อยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่

ซางสิงโจวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา สีหน้าเขาเฉยเมยคาดเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดเรื่องใดอยู่ และไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่ในที่นั้น

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีข้าก็อยากกลายเป็นคนแบบเหนียงเหนียงอย่างนั้น”

เฉินฉางเซิงมองไปที่นางก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ เพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้ชื่นชอบการดำรงชีวิตเยี่ยงนั้น”

เขาทราบดีว่านางชื่นชอบการปีนหน้าผา ชื่นชมหิมะ ฟังเสียงฝน เก็บสมุนไพรยาและอ่านหนังสือ

สวีโหย่วหรงหัวเราะเล็กน้อยพลางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบดีว่าท่านไม่ได้ยินดีจะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้”

นางทราบดีว่าตั้งแต่เล็กเขาก็คุ้นชินกับการดูแลวัด กวาดหิมะ หลบฝน ทานยาและอ่านหนังสือ

ส่วนเรื่องอุบายการวางแผนคบคิด ต่อสู้แข่งขัน หลอกลวง ต้มตุ๋น การสังหารที่โหดเหี้ยม การข่มขู่ที่แสนเย็นชา……

พวกเขาล้วนไม่ชื่นชอบที่จะทำเรื่องราวอย่างนี้ แต่เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนเป็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องทำ

แต่พวกเขาเข้าใจในตัวกันและกันทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชื่นชอบ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดอยากจะทำจึงคิดว่าตนต้องเป็นคนทำเสียเอง

สวีโหย่วหรงชักกระบี่ก่อน เฉินฉางเซิงชักกระบี่ตาม

คนหนึ่งชักกระบี่หันทางตะวันออก คนหนึ่งชักกระบี่หันทางตะวันตก

กระบี่ออกมาโดยไม่คาดคิด แต่มีเจตนา

พวกเขาไม่ได้ตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจังแต่สุดท้ายแล้วกลับดำเนินถึงปลายทางด้วยกัน

มีเพียงวิชาสองกระบี่ประสานพลังถึงจะเป็นที่รู้กันลึกซึ้งเช่นนี้ ให้ความรู้สึกสมบูณณ์แบบราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง

สวีโหย่วหรงกักขังซางสิงโจวไว้ใน สุสานเทียนซู ควบคุมเหล่าอ๋องเหล่านั้นไว้

เฉินฉางเซิงนำพาพลังของพระราชวังหลีไปรอบทิศทาง

ผลลัพธ์สุดท้ายช่างไร้ที่ติยิ่งนัก

ขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวงได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ทั้งเมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ต้องการเพียงพระประสงค์จากในวังเท่านั้น ซางสิงโจวก็จะพ่ายแพ้อย่างแท้จริง

สวีโหย่วหรงไม่ต้องการจะเป็นจักรพรรดินีเทียนไห่คนที่สอง เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ต้องการที่จะฝืนจิตใจตนไปสังหารทุกคนที่อยู่รอบตัว

หากหวังจือเช่อมิได้ปรากฏตัวแล้วก็

เฉินฉางเซิงมองไปยังหวังจือเช่อ เอ่ยว่า “เข้าหวังมาตลอดว่าจะไม่พบท่านที่นี่”

หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ข้าเองก็หวังว่าจะไม่พบเจ้าเช่นกัน”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าคือสมเด็จใต้เท้าสังฆราช ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปรากฏตัวที่นี่ แล้วท่านเล่า”

หวังจือเช่อเอ่ยว่า “เพื่อคนทั้งโลกนี้จึงมาอย่างไม่เต็มใจ ”

เฉินฉางเซิงเชื่อคำกล่าวนี้

เขาเคยพบท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลถังในเมืองเวิ่นมาก่อน จึงทราบดีถึงความคิดที่แท้จริงของผู้อาวุโสเหล่านี้

บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ที่อยู่ในรัชสมัยไท่จง ล้วนเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์เพื่อเป้าหมายอย่างแท้จริง และ เพื่อคนทั้งโลก สี่คำนี้ คนเหล่านี้ยินดีที่จะสละสิ่งต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่นมังกรดำ อาทิเช่นชื่อเสียง หรือแม้แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

เฉินฉางเซิงอยากเอ่ยออกมาว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่รู้ดีว่าเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์

เขาเอ่ยกับหวังจือเช่อว่า “ดูเหมือนว่าอย่างน้องพวกเราก็ยังมีความเห็นตรงกัน ไพร่ฟ้าใต้หล้าถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าไพร่ฟ้าอาจจะไม่เข้าใจในฐานะของตนอย่างถ่องแท้”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเพื่อให้ไพร่ฟ้าใต้หล้าไม่ต้องประสบกับภัยพิบัติจากสงคราม ท่านไม่หวั่นหนทางไกลหมื่นลี้เดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาจูงใจให้พวกเราล่าถอยหรือ”

หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ไม่เลว”

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อนเอ่ยถาม “อย่างนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่พวกท่านที่ล่าถอย”

นี่เป็นคำถามที่ดี

ซางสิงโจวมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาออกมา

หวังจือเช่อครุ่นคิด

การนำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์เดินต่อไปภายภาคหน้า ต้องการปณิธานที่กล้าหาญ รวมทั้งพละกำลังและการดำเนินการที่โดดเด่น

เรื่องราวในวันนี้ สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถที่จะกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นได้

ซางสิงโจวยอมรับในข้อนี้ หวังจือเช่อเองก็ยอมรับเช่นกัน

วิกฤตในปัจจุบันมาจากการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่าย

หากประมาทเพียงเล็กน้อย ความเลวร้ายจากสงครามที่ยาวนานสามเดือนก็จะเกิดเป็นผลลัพธ์ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญเสีย

ท่านอ๋องผู้นั้นรวมทั้งเหล่าผู้เก่งกาจแห่งราชสำนักล้วนดำเนินเข้าไปในสำนักเทียนซู

เหล่าผู้แข็งแกร่งของพรรคจากทางตอนใต้ดำเนินออกมาจากในป่า

หวังผ้อก็มาถึงแล้ว เขายืนอยู่ไกล ๆ และกอดกระบี่เอาไว้

เกิดเสียงที่รุนแรงคล้ายกับโมโหดังขึ้นหลายครั้ง

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างจริงจังแต่ยังคงมีบางคำที่ลอยเข้าไปในหูของเขา

ไร้ซึ่งทางถอยกลับ หากถอยหลังกลับไปก็มีเพียงความตายเท่านั้น

ดังนั้นเฉินฉางเซิง จึงเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งข้อ

ภายในวันคืนข้างหน้าคำถามข้อนี้จะต้องเป็นที่พูดถึง

“หากไพร่ฟ้าใต้หล้าสำคัญจริง เช่นนั้นเหตุใดพวกท่านไม่สามารถตายแทนพวกเขาได้เล่า”

สีหน้าของเขาจริงจังยิ่งนัก ดวงตาเป็นประกายทั้งยังบริสุทธิ์ ราวกับกระจกบานหนึ่ง

เนื่องจากเขาไม่ได้กำลังดูถูกอีกฝ่าย และไม่ได้ตำหนิอย่างโกรธเคือง แต่เป็นการเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ

หวังจือเช่อมองสบตาเขา ทันใดนั้นก็พบว่าตนไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้