ก่อนหน้านี้สวีโหย่วหรงเคยได้กล่าวไว้ว่า หวังจือเช่อนั้นเลอะเลือนไปแล้ว
ในครานั้นคำพูดของนางทำให้เกิดเสียงอื้ออึงในสุสานเทียนซู แม้แต่ผู้บำเพ็ญพรตจากแดนใต้ที่ติดตามนางมานั้นก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
ในครานี้ที่นางเอ่ยคำนี้ออกมาอีกครั้ง ทั้งด้านในและด้านนอกของสุสานเทียนซูกลับเงียบสงัด
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ผู้ใดก็ล้วนฟังออกทั้งสิ้นว่าประโยคนี้ของนางกำลังให้ความร่วมมือกับเฉินฉางเซิง
หลังจากที่เฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้น หวังจือเช่อมิได้เอ่ยคำใดกับเขา แต่กลับเอ่ยทักทายจูซาเสียก่อน
คำกล่าวที่ว่าไม่พบกันเสียนาน แอบซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งไว้มากมาย
หากเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว สถานการณ์นี้ก็คงสูงส่งเท่าภูเขาที่หนาวเหน็บ
หากนี่เป็นการโจมตีทางด้านจิตใจ มันก็แทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยที่สามารถทำตามได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากคิดจะต่อกรกับกลวิธีเช่นนี้ก็ล้วนยากเย็นแสนเข็ญทั้งสิ้น
เฉินฉางเซิงเลือกที่จะตัดต้นตอทิ้งเสีย
เขายืนอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวชุดดำ บอกกับหวังจือเช่อว่า นั่นไม่ใช่ชื่อของนาง
สามารถเรียกนางว่าหงจวง สามารถเรียกนางว่าจี๊ดจี๊ด หรือจะเรียกชื่อเผ่าพันธุ์มังกรที่มีหลายพันพยางค์เมื่อเทียบกับภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้
อย่างไรเสีย นางมิได้ชื่อจูซา
แม้ว่านางจะเคยถูกเรียกเช่นนั้นมาก่อนก็ตาม
เพราะนี่มิใช่ตอนนั้นแล้ว
นางไม่ได้อยู่ใต้สะพานอุดรใหม่อีกต่อไป แต่อยู่ข้างกายเขา
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งด้านนอกและด้านในของสุสานเทียนซู
หากเอ่ยว่าสวีโหย่วหรงไม่มีความเกรงใจต่อหวังจือเช่อ มันก็มิได้ขัดแย้งกับความทรงจำที่นางมีไว้ให้ต่อผู้คนในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา
เฉินฉางเซิงแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวเยี่ยงนี้ต่อหวังจือเช่อ กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายต่างคาดไม่ถึง
เหตุใดกันเล่า
เมื่อยามอยู่บนเทือกเขาหานซาน เฉินฉางเซิงมองเห็นหวังจือเช่อขี่เมฆาดำเนินมา เปรียบเสมือนครั้งแรกที่เขามองเห็นผู้บำเพ็ญพรตจากโลกแห่งดวงดาวที่แท้จริง
เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่บนโลก เขาเองก็มองว่าหวังจือเช่อเป็นต้นแบบ
ในวันนี้หวังจือเช่อยืนอยู่ตรงข้ามเขาและสวีโหย่วหรง แต่ความเคารพที่มีต่อท่านผู้เป็นตำนานยังคงอยู่ในใจนี้มิได้ลดลงเลย
จวบจนกระทั่งหวังจือเช่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา
มังกรดำเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อมองสีหน้าซีดเผือดของนาง และมองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของหวังจือเช่อ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
เขาไม่สามารถเอ่ยอย่างชัดเจนได้ว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ อย่างไรก็ตามเขาเริ่มที่จะโกรธขึ้นมาแล้ว
ภายในระยะเวลาอันแสนสั้น ความเคารพเลื่อมใสในใจของเขาก็หายไป และเขาก็สงบลงอย่างมาก
ในส่วนของสวีโหย่วหรง จากท่าทีของนางที่มีต่อหวังจือเช่อก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านอกเสียจากเรื่องวิถีพรตแล้ว นางไร้ซึ่งความเคารพใด ๆ
ด้วยเหตุนี้หวังจือเช่อที่ใช้ประโยคนั้นบีบคั้นความรู้สึก ก็ถูกสองประโยคนั้นของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยับยั้งเอาไว้เสีย
หวังจือเช่อยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนเตรียมจะเอ่ยคำใด
เฉินฉางเซิงกลับมองไปยังทางอื่น
คำพูดที่หวังจือเช่อเตรียมจะเอ่ยนั้นจึงไม่ได้เอ่ยออกมา
สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึม
เฉินฉางเซิงมิได้มองไปยังอาจารย์ของตน แต่กลับมองไปทางสวีโหย่วหรง
พวกเขาสบตากันอย่างเงียบ ๆ ราวกับเข้าใจแล้วถึงจิตใจของอีกฝ่าย
เนื่องจากเดิมทีจิตใจของพวกเขาก็เชื่อมประสานถึงกันราวกับสายรุ้งที่ทอดเชื่อมระหว่างสองดินแดน
ดาบนั้นราวกับสายรุ้ง
บนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ วิชาสองกระบี่ประสานพลังของพวกเขานั้นเคยบังเกิดสายรุ้งขึ้น
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าทราบดีว่าท่านเคยไปที่สวนร้อยหญ้า ข้าเองก็เคยไป”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “เมื่อยามข้ายังเล็ก เหนียงเหนียงเคยสอนข้าเอาไว้ว่า เมื่อต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวใหญ่โต จักต้องสงบนิ่ง ข้าเพียงอยากไปที่นั่นเพื่อให้ตนสงบนิ่ง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากกลายเป็นคนเยี่ยงอาจารย์ข้า และก็ไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นคนเยี่ยงเหนียงเหนียงเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้หวังจือเช่อและเหล่าเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีต่างมองไปยังซางสิงโจวที่อยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่
ซางสิงโจวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา สีหน้าเขาเฉยเมยคาดเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดเรื่องใดอยู่ และไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่ในที่นั้น
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีข้าก็อยากกลายเป็นคนแบบเหนียงเหนียงอย่างนั้น”
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ เพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้ชื่นชอบการดำรงชีวิตเยี่ยงนั้น”
เขาทราบดีว่านางชื่นชอบการปีนหน้าผา ชื่นชมหิมะ ฟังเสียงฝน เก็บสมุนไพรยาและอ่านหนังสือ
สวีโหย่วหรงหัวเราะเล็กน้อยพลางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบดีว่าท่านไม่ได้ยินดีจะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้”
นางทราบดีว่าตั้งแต่เล็กเขาก็คุ้นชินกับการดูแลวัด กวาดหิมะ หลบฝน ทานยาและอ่านหนังสือ
ส่วนเรื่องอุบายการวางแผนคบคิด ต่อสู้แข่งขัน หลอกลวง ต้มตุ๋น การสังหารที่โหดเหี้ยม การข่มขู่ที่แสนเย็นชา……
พวกเขาล้วนไม่ชื่นชอบที่จะทำเรื่องราวอย่างนี้ แต่เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนเป็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องทำ
แต่พวกเขาเข้าใจในตัวกันและกันทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชื่นชอบ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดอยากจะทำจึงคิดว่าตนต้องเป็นคนทำเสียเอง
สวีโหย่วหรงชักกระบี่ก่อน เฉินฉางเซิงชักกระบี่ตาม
คนหนึ่งชักกระบี่หันทางตะวันออก คนหนึ่งชักกระบี่หันทางตะวันตก
กระบี่ออกมาโดยไม่คาดคิด แต่มีเจตนา
พวกเขาไม่ได้ตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจังแต่สุดท้ายแล้วกลับดำเนินถึงปลายทางด้วยกัน
มีเพียงวิชาสองกระบี่ประสานพลังถึงจะเป็นที่รู้กันลึกซึ้งเช่นนี้ ให้ความรู้สึกสมบูณณ์แบบราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง
สวีโหย่วหรงกักขังซางสิงโจวไว้ใน สุสานเทียนซู ควบคุมเหล่าอ๋องเหล่านั้นไว้
เฉินฉางเซิงนำพาพลังของพระราชวังหลีไปรอบทิศทาง
ผลลัพธ์สุดท้ายช่างไร้ที่ติยิ่งนัก
ขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวงได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น ทั้งเมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ต้องการเพียงพระประสงค์จากในวังเท่านั้น ซางสิงโจวก็จะพ่ายแพ้อย่างแท้จริง
สวีโหย่วหรงไม่ต้องการจะเป็นจักรพรรดินีเทียนไห่คนที่สอง เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ต้องการที่จะฝืนจิตใจตนไปสังหารทุกคนที่อยู่รอบตัว
หากหวังจือเช่อมิได้ปรากฏตัวแล้วก็
เฉินฉางเซิงมองไปยังหวังจือเช่อ เอ่ยว่า “เข้าหวังมาตลอดว่าจะไม่พบท่านที่นี่”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ข้าเองก็หวังว่าจะไม่พบเจ้าเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าคือสมเด็จใต้เท้าสังฆราช ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปรากฏตัวที่นี่ แล้วท่านเล่า”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “เพื่อคนทั้งโลกนี้จึงมาอย่างไม่เต็มใจ ”
เฉินฉางเซิงเชื่อคำกล่าวนี้
เขาเคยพบท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลถังในเมืองเวิ่นมาก่อน จึงทราบดีถึงความคิดที่แท้จริงของผู้อาวุโสเหล่านี้
บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ที่อยู่ในรัชสมัยไท่จง ล้วนเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์เพื่อเป้าหมายอย่างแท้จริง และ เพื่อคนทั้งโลก สี่คำนี้ คนเหล่านี้ยินดีที่จะสละสิ่งต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่นมังกรดำ อาทิเช่นชื่อเสียง หรือแม้แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
เฉินฉางเซิงอยากเอ่ยออกมาว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่รู้ดีว่าเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์
เขาเอ่ยกับหวังจือเช่อว่า “ดูเหมือนว่าอย่างน้องพวกเราก็ยังมีความเห็นตรงกัน ไพร่ฟ้าใต้หล้าถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าไพร่ฟ้าอาจจะไม่เข้าใจในฐานะของตนอย่างถ่องแท้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเพื่อให้ไพร่ฟ้าใต้หล้าไม่ต้องประสบกับภัยพิบัติจากสงคราม ท่านไม่หวั่นหนทางไกลหมื่นลี้เดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาจูงใจให้พวกเราล่าถอยหรือ”
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “ไม่เลว”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อนเอ่ยถาม “อย่างนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่พวกท่านที่ล่าถอย”
นี่เป็นคำถามที่ดี
ซางสิงโจวมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาออกมา
หวังจือเช่อครุ่นคิด
การนำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์เดินต่อไปภายภาคหน้า ต้องการปณิธานที่กล้าหาญ รวมทั้งพละกำลังและการดำเนินการที่โดดเด่น
เรื่องราวในวันนี้ สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถที่จะกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นได้
ซางสิงโจวยอมรับในข้อนี้ หวังจือเช่อเองก็ยอมรับเช่นกัน
วิกฤตในปัจจุบันมาจากการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่าย
หากประมาทเพียงเล็กน้อย ความเลวร้ายจากสงครามที่ยาวนานสามเดือนก็จะเกิดเป็นผลลัพธ์ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญเสีย
ท่านอ๋องผู้นั้นรวมทั้งเหล่าผู้เก่งกาจแห่งราชสำนักล้วนดำเนินเข้าไปในสำนักเทียนซู
เหล่าผู้แข็งแกร่งของพรรคจากทางตอนใต้ดำเนินออกมาจากในป่า
หวังผ้อก็มาถึงแล้ว เขายืนอยู่ไกล ๆ และกอดกระบี่เอาไว้
เกิดเสียงที่รุนแรงคล้ายกับโมโหดังขึ้นหลายครั้ง
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างจริงจังแต่ยังคงมีบางคำที่ลอยเข้าไปในหูของเขา
ไร้ซึ่งทางถอยกลับ หากถอยหลังกลับไปก็มีเพียงความตายเท่านั้น
ดังนั้นเฉินฉางเซิง จึงเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งข้อ
ภายในวันคืนข้างหน้าคำถามข้อนี้จะต้องเป็นที่พูดถึง
“หากไพร่ฟ้าใต้หล้าสำคัญจริง เช่นนั้นเหตุใดพวกท่านไม่สามารถตายแทนพวกเขาได้เล่า”
สีหน้าของเขาจริงจังยิ่งนัก ดวงตาเป็นประกายทั้งยังบริสุทธิ์ ราวกับกระจกบานหนึ่ง
เนื่องจากเขาไม่ได้กำลังดูถูกอีกฝ่าย และไม่ได้ตำหนิอย่างโกรธเคือง แต่เป็นการเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ
หวังจือเช่อมองสบตาเขา ทันใดนั้นก็พบว่าตนไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้