บทที่ 1233 การช่วยเหลือสาวงาม ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,233 การช่วยเหลือสาวงาม ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น

จอมเสเพลอันดับหนึ่ง ฉินโซวเป็นผู้ที่ไม่ค่อยใช้สมองสักเท่าไหร่

เขายินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของตนเอง

ตราบใดที่เป็นผลประโยชน์แก่หอการค้าคนแคระเทวะ ไม่มีสิ่งใดที่ฉินโซวจะทำไม่ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยไว้หน้าหอการค้าแห่งใดเลยสักครั้ง แล้วนับประสาอะไรจะไว้หน้าเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง?

แต่กลับกลายเป็นว่าในวันนี้ ฉินโซวได้ไว้หน้าให้แก่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจริง ๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ชิงเล่ยกับหลินเป่ยเฉินจึงแทบไม่พูดอะไรเลย

พวกเขาเพียงยืนนิ่งเฉย

เรื่องราวหลังจากนั้นก็ง่ายดายแล้ว

ฉินโซว หลินเป่ยเฉินและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปยังลานด้านหลังของหอการค้าคนแคระเทวะ

จัดการประชุมอย่างเร่งด่วน

การประชุมดำเนินไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย

เกอสือเหนียนถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายอ้วนจอมราคะรีบคุกเข่าลงไปขอร้องอ้อนวอนด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา “ใต้เท้า ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยด้วย ตลอดสองปีที่ผ่านมา ข้าน้อยอุทิศตนทำงานหนักให้แก่หอการค้าของเรา เพื่อเห็นแก่ความดีความชอบของข้าน้อย…”

“หุบปาก”

ฉินโซวกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ

ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนผู้เป็นคนติดตามของฉินโซวเดินเข้ามาตบหน้าเกอสือเหนียนฉาดใหญ่

ใบหน้าของเกอสือเหนียนบวมช้ำราวกับหัวหมูไหว้เจ้า ฟันแทบทุกซี่ที่มีอยู่ในปากหลุดออกมาเกือบหมดสิ้น ตลอดเนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสด

บรรดาผู้ช่วยของเกอสือเหนียนคนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอหน้าออกมาแล้ว

ฉินโซวเฝ้าดูด้วยแววตาเฉยชา

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เปลี่ยนแปลงจากคุณชายผู้ร่ำรวยที่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจอย่างคนที่อัธยาศัยดี กลับกลายเป็นผู้ควบคุมหอการค้าที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างยิ่ง

“ในส่วนของผู้ชี้แนะกระโปรงม่วง เซียวจื่อหราน…”

ฉินโซวหันขวับกลับมาจ้องมองอีกหนึ่ง ‘ผู้ร้ายคนสำคัญ’ ด้วยแววตาเรียบเฉย

“ไม่นะเจ้าคะ ใต้เท้าได้โปรดละเว้นข้าน้อยด้วย”

เซียวจื่อหรานรีบคุกเข่าลงตรงหน้าฉินโซวด้วยความหวาดกลัวและลนลาน นางพูดไม่ทันจบประโยค ก็ส่งเสียงร่ำไห้ออกมาดังสนั่น

บัดนี้ นางไม่กล้าใช้ความงามของตนเองให้เป็นประโยชน์อีกแล้ว

“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าแม่นางชิงเล่ยจะให้อภัยเจ้าหรือไม่”

นี่คือความพิเศษของฉินโซว

เขารู้ดีว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร

“นับจากนี้ไป ชิงเล่ยจะเป็นผู้ดูแลของหอการค้าคนแคระเทวะประจำแดน 4 และเป็นผู้ตัดสินใจกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหอการค้า พวกเจ้าจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไรต่อไป ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเท่านั้น”

จังหวะที่ฉินโซวหันหน้ามา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงในพริบตา ความเย็นชาบนใบหน้าสลายหายไป รอยยิ้มที่อบอุ่นกลับมาประดับอยู่บนริมฝีปากอีกครั้งขณะที่พยักหน้าให้กับชิงเล่ย

ชิงเล่ยยืนนิ่งอึ้งตะลึงงัน

นางหันไปมองหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว

แม้นางพอทราบอยู่แล้วว่าตนเองจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลหอการค้า แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริง ๆ ชิงเล่ยก็ยังตั้งตัวไม่ทันอยู่ดี

หลินเป่ยเฉินมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ชิงเล่ยเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

ระหว่างที่เริงรักศึกสวาท เขาอาจจะช่วยประคับประคองนางได้…

แต่ในเรื่องราวอื่น ๆ ชิงเล่ยจำเป็นต้องตัดสินใจด้วยตนเองแล้ว

ชิงเล่ยเข้าใจความหมายของหลินเป่ยเฉิน

นางสูดหายใจลึก รีบประมวลผลความคิดอย่างรวดเร็ว

“เกอสือเหนียน ตลอดสองปีที่ผ่านมา ท่านทำอะไรให้หอการค้าบ้าง ตนเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ สมองของท่านวันทั้งวันคิดแต่เรื่องราวสกปรก นี่คือพฤติกรรมที่รับไม่ได้อย่างเด็ดขาด… ท่านจงไปสำนึกผิดที่หอลงทัณฑ์เสียเถิด”

เกอสือเหนียนถึงกับปัสสาวะราดรดด้วยความหวาดกลัว

การเข้าสู่หอลงทัณฑ์ นั่นหมายความว่าตนเองจะต้องถูกลงโทษด้วยการแล่เนื้อเถือหนังทั้งที่ยังเป็น ๆ แม้สุดท้ายจะต้องตาย แต่ก่อนตายก็ยังต้องรับความทรมานอย่างแสนสาหัส

แต่บัดนี้ เขาถูกทุบตีจนไม่สามารถร้องขอความเมตตาออกมาได้อีก

โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!

เกอสือเหนียนรีบโขกศีรษะกับพื้นหินไม่หยุดยั้ง

ใครเลยจะไปคิดว่า สตรีที่เคยอยู่ในกำมือของเกอสือเหนียนจะกลับกลายมาเป็นผู้ที่ควบคุมชะตาชีวิตของเขาเช่นนี้?

โชคชะตาช่างเล่นตลก

แต่ในไม่ช้า เกอสือเหนียนก็ถูกลากจากไปราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง

“สำหรับเจ้า…”

ชิงเล่ยหันมาจ้องมองที่เซียวจื่อหรานและกล่าวว่า “ถึงเจ้าจะเคยร่วมมือกับเกอสือเหนียน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอันใด เจ้ามีความสามารถในการซื้อขายยอดเยี่ยม และเจ้าเองก็ถือเป็นคนเก่าคนแก่ของหอการค้า ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้แก้ตัวอีกครั้ง หากเจ้ายินดีอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ชี้แนะกระโปรงขาวของพวกเรา”

“ข้าน้อยยินดีอยู่ต่อ ข้าน้อยยินดีอยู่ต่อเจ้าค่ะ”

เซียวจื่อหรานร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจและเอาแต่โขกศีรษะคำนับชิงเล่ยไม่หยุดยั้ง

สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็คือการถูกส่งตัวไปที่หอลงทัณฑ์

นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่เซียวจื่อหรานหวาดกลัวก็คือการถูกไล่ออก เพราะคงไม่มีทางที่นางจะสามารถหางานใหม่ได้อีก

เหตุการณ์ในครั้งนี้มีฉินโซวเป็นผู้ควบคุม เขาเป็นเทพเจ้าคนใหญ่คนโต เมื่อไล่นางออกไป ก็คงไม่มีหอการค้าที่ใดกล้ารับเซียวจื่อหรานเข้าทำงานด้วยอีกแล้ว

เพราะคงไม่มีใครกล้ามีปัญหากับคนใหญ่คนโตเช่นฉินโซวเพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่ง

การอยู่ทำงานที่นี่ต่อไปคือทางออกเดียวเท่านั้น

หลังจากนั้น ชิงเล่ยก็จัดการขับไล่และเลื่อนตำแหน่งให้กับเจ้าหน้าที่หลายต่อหลายคน

บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ถูกไล่ออก ส่วนใหญ่แล้วได้รับการบรรจุงานเข้ามาก็เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับเกอสือเหนียนตั้งแต่แรก

ส่วนผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่ละคนต่างก็มีสัมพันธ์ที่ดีกับชิงเล่ยและเป็นผู้ชี้แนะที่มากล้นด้วยประสบการณ์และความรู้ความสามารถ

ชิงเล่ยเริ่มสร้างขุมกำลังของตนเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ในสายตาของฉินโซว นี่คือเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว

เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง เขาก็ดูออกว่าชิงเล่ยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ใบหน้าที่สวยงามนั้น

โดยเฉพาะวิธีการที่นางรับมือกับเกอสือเหนียนและเซียวจื่อหราน นั่นก็คือสิ่งที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ทั้งหมด

เกอสือเหนียนมีความผิดใหญ่หลวงมากเกินไป ไม่มีที่ว่างสำหรับการให้อภัยและเขามีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น

ส่วนเซียวจื่อหราน นางยังสามารถสร้างผลประโยชน์ให้แก่หอการค้าได้อีกมาก บุคคลเช่นนี้เลี้ยงดูเอาไว้ใช้งาน ย่อมมีประโยชน์มากกว่าขับไล่ให้ออกไปอยู่ที่อื่น

ฮ่า ๆๆ แม่นางชิงเล่ยผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!!

แต่หลังจากใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ชายอ้วนก็ต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

นางอาจจะเป็นคนเก่งก็จริง แต่นางสามารถมัดใจบุคคลเช่นเจี๋ยนเซียวเหยาได้อย่างไร?

บางทีแม่นางชิงเล่ยผู้นี้อาจจะช่วยยกระดับหอการค้าคนแคระเทวะในสถานีขนส่งแดน 4 ของเขาขึ้นมาได้กระมัง?

ฉินโซวเฝ้ามองชิงเล่ยด้วยความเคารพและชื่นชม

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ถึงความคิดของหลินเป่ยเฉิน

สำหรับกับเด็กหนุ่ม การช่วยเหลือสาวงาม ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงยังดำเนินต่อไป

ในระยะเวลาสั้น ๆ โฉมหน้าของหอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4 ก็แปรเปลี่ยนไปทั้งหมด

กว่าที่เรื่องราวจะจัดการเสร็จสิ้นเรียบร้อยก็ล่วงเข้ายามบ่าย

ฉินโซวอาศัยโอกาสนี้ตีสนิทหลินเป่ยเฉิน

หลังจากพูดคุยถึงข้อแลกเปลี่ยนกันยาวนาน สุดท้ายจอมเสเพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงก็ได้คำสัญญาที่ตนเองต้องการ หลังจากนั้น เขาก็เดินจากไปด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“นี่ก็เข้ายามบ่ายแล้วสินะ”

หลินเป่ยเฉินนับดูเวลาและพบว่าถึงกำหนดที่เขาต้องไปพบเจอเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมองหน้าชิงเล่ยด้วยความคึกคักแจ่มใสและกล่าวว่า “บ่ายวันนี้ข้าต้องไปทำธุระสำคัญ เรื่องการหาเช่าบ้านหลังใหม่ พรุ่งนี้เราค่อยจัดการก็แล้วกัน”

“รับทราบเจ้าค่ะ”

ผู้ดูแลหอการค้าคนใหม่รับคำอย่างว่าง่าย