ตำหนักนรกเทพ!

จี้ซิงเหยาตกตะลึง จากนั้นนัยน์ตาก็เป็นประกายวาววาม “ยังจำเป้าหมายของภารกิจเราครั้งนี้ได้ไหม ศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกหมื่นสมัยนั่นซ่อนอยู่ในนี้!”

“ถ้าอย่างนั้นยังลังเลอะไรอยู่ ออกเดินทางสิ”

เจ้าคางคกถูไม้ถูมือ

หลินสวินกลับไม่สนใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่เข้ามาในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก เขาก็ได้รับประโยชน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

เริ่มจากหลอมเทวบุตรโลหิตได้แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์มาอย่างหนึ่ง ทำให้พลังจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นอีกขั้น

จากนั้นก็เข้าไปในโลกใต้สุสาน ได้เพลิงมรรคฟ้าประทานอย่างเพลิงมรรคอัศจรรย์มาหกดวง รวมถึงเพลิงมรรคต้นกำเนิดอื่นอีกสิบกว่าดวง

ต่อมาก็เข้าไปในถ้ำนรกเทพ ได้เจอกับอู๋ยางในแดนลับภูเขาเขียวนั่น การกรำศึกสามพันสนามในป่าไผ่ม่วงทำให้พลังยุทธ์ของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย

ทั้งยังได้กระบวนท่ากระบี่ ‘ไปไร้หวน’ ที่อู๋ยางเหลือไว้มาด้วย!

นอกจากนี้ผลเก็บเกี่ยวอื่นอย่างพวกโอสถราชัน วัตถุดิบวิญญาณก็มีไม่น้อย

พูดได้ว่าต่อให้ตอนนี้ต้องจากไป หลินสวินก็ไม่เสียดายเลย

และจากที่เขารู้ ยิ่งเป็นศุภโชคพลิกฟ้าเท่าไร อันตรายที่ตามมาก็ยิ่งน่ากลัว

ก็เหมือนอย่าง ‘ตำหนักนรกเทพ’ ที่ตอนนี้ถูกผู้ฝึกปราณอื่นมากมายจับจ้อง มหาศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกมาหมื่นสมัยเช่นนี้ มีหรือจะได้มาง่ายๆ

แต่หลินสวินก็ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นเจ้าคางคกหรือพวกจี้ซิงเหยา ล้วนคงไม่มีทางยอมแพ้แน่

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไปเป็นเพื่อนพวกเขาสักรอบก็ไม่เห็นเป็นไร

ที่สำคัญกว่าคือหลินสวินรู้ดีว่าในใจเจ้าคางคกยังกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ต้องการหาตัวหวังเสวียนอวี๋แห่งสำนักเอกอุมาล้างความอัปยศ

จากที่หลินสวินคาดเดา หวังเสวียนอวี๋ต้องไม่ยอมพลาดมหาศุภโชคที่เกี่ยวกับ ‘ตำหนักนรกเทพ’ นี้แน่!

“ไป!”

ทุกคนก้าวไปข้างหน้า

โลกที่ความมืดปกคลุมนี้วังเวงและอึมครึม ก้อนหินต้นไม้ล้วนเป็นสีดำสนิทแปลกประหลาด พาให้บรรยากาศกดดันนัก

อีกทั้งยิ่งมุ่งหน้าไปกลิ่นอายกดดันไร้รูปนั้นก็ยิ่งเด่นชัด ราวกับในความมืดนั้นซ่อนสิ่งแปลกประหลาดและอัปมงคลบางอย่างไว้ พาให้ผู้คนขนพองสยองเกล้า

พวกหลินสวินต่างระวังตัวขึ้นมา

“เผ่นโว้ย…!”

ทันใดนั้นในความมืดที่ห่างออกไปมีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้น ดูตื่นตระหนกและพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด

“มารดามันเถอะ นี่มันตัวบ้าอะไรกัน”

“รีบหนีเร็ว!”

จากนั้นเสียงตะโกนอย่างตระหนกขุ่นเคืองดังขึ้นเป็นระลอก

ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือนครืนครัน ราวกับมีกองพลพันหมื่นกำลังพุ่งออกมาจากในความมืดที่ห่างไกล

พวกหลินสวินหยุดเดินทันที

“เจ้าพวกนี้คือกองทัพแดนนรกรึ”

มีคนตะโกนลั่น

เวลานี้พวกหลินสวินก็เห็นแล้วว่าในความมืดนั้นมีแสงเคลื่อนไหวแปลกตามากมายกำลังหลบหนี นั่นคือผู้ฝึกปราณที่เกาะกลุ่มรวมกัน

เพียงแต่สีหน้าพวกเขาล้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ

ด้านหลังพวกเขาคือกองทัพใหญ่ราวกระแสน้ำ!

แต่ละร่างเป็นโครงกระดูกเลือดขี่นกกระดูก สัตว์กระดูก มือถืออาวุธกระดูก ทั่วร่างอบอวลด้วยหมอกควันสีดำราวกับกองทัพนรกในตำนานประชิดพรมแดน!

มากมายมหาศาล แน่นขนัดราวกระแสน้ำ ครอบคลุมฟ้าดินที่ห่างออกไปจนหมด

ภาพเช่นนี้ก็เหมือนกับประตูนรกเปิดออก ผีร้าย ยักษาและทหารนรกที่ซ่อนอยู่ภายในพุ่งออกมาพร้อมกัน กลายเป็นภาพชวนประหวั่น

ในหมู่ผู้ฝึกปราณที่วิ่งหนีนั้นไม่ขาดแคลนเงาร่างของระดับมกุฎราชัน ทั้งยังมีผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณไม่น้อย

แต่ตอนนี้ต่างกำลังหลบลี้หนีตาย!

“ระยำเอ๊ย!”

เจ้าคางคกสบถออกมาเต็มคำ ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

“หนีเร็ว!”

พวกหลินสวินก็ไม่สนใจสิ่งอื่น หันหลังหนีทันที

นั่นเหมือนกับทัพสัตว์ตะบึงข้ามแดน ทั้งเหมือนกองทัพขุมทมิฬเรือนพันเรือนหมื่นเคลื่อนขวาง ทันทีที่ถูกกลืนเข้าไปจุดจบต้องไม่ดีแน่

ในบริเวณที่ห่างออกไปเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นราวอสนีบาต หมอกดำดุจกระแสน้ำโหมกระหน่ำห้อตะบึง ปกคลุมฟ้าดินจนสิ้น

จิตรับรู้ของหลินสวินแข็งแกร่งระดับใด ขณะหลบหนียังสัมผัสได้ในชั่วพริบตาว่าในกองทัพแดนนรกนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารม้าโครงกระดูกหรือสิ่งมีชีวิตจำพวกนกกระดูกสัตว์กระดูก ทั่วร่างต่างอวลไปด้วยไอมรณะน่าตระหนก

พรูด!

แสงโลหิตซ่านเซ็น ขณะที่นกจาบฝนแดงชาดขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังหนีก็ถูกทวนกระดูกขาวเล่มหนึ่งแทงทะลุอย่างหนักหน่วง หลังจากร่างร่วงหล่นก็ถูกเหยียบย่ำจนละเอียดทันที น่าเวทนาเกินกว่าจะทนมอง

“อ๊าก…”

ห่างไปไม่ไกล ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งร้องโหยหวน นกปีศาจกระดูกขาวฝูงหนึ่งพุ่งเข้ามา กรงเล็บมหึมาแหลมคมโอบล้อมด้วยไอมรณะชวนประหวั่น

พวกเขามีประมาณสิบกว่าคน แต่ชั่วพริบตาก็ถูกสังหารสิ้น ฝนเลือดสาดพรมราวน้ำตก

ภาพนี้นองเลือดและน่าสะพรึงนัก

“โฮก!”

บนเวิ้งฟ้าเสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น มังกรโครงกระดูกขาวยาวหลายพันจั้งตัวมหึมาทะยานฟ้ามาเยือน

มันตัวใหญ่เกินไปแล้ว ร่างราวกับเทือกเขาดูประหนึ่งเป็นมังกรนรกตัวหนึ่ง แผ่ไอมรณะออกมาคลุมเวิ้งฟ้าทุกแห่งที่พาดผ่าน

เพียงแค่เสียงก็สะเทือนจนผู้ฝึกปราณบางส่วนสั่นไปทั้งตัว จิตวิญญาณรวดร้าว กระอักเลือดคำโต จากนั้นก็ถูกกองทัพใหญ่ที่พุ่งเข้ามาสังหารจนตายอย่างไร้เยื่อใย!

ตูม!

มังกรกระดูกพ่นไฟเขียวมรกตแถบหนึ่งออกมาจากปาก หลั่งรินลงมาราวน้ำตก หลอมละลายห้วงอากาศสิ้น ครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวาง

ตรงนั้นมีผู้แข็งแกร่งหลายคนไม่อาจหลบหนี ร่างถูกหลอมละลายราวเทียนไข แม้แต่พลังจิตก็ถูกผลาญสิ้น!

‘จำไว้! ไปรวมตัวกันที่ตำหนักนรกเทพ!’

หลินสวินสื่อจิตรวดเร็ว สีหน้าจริงจังหาใดเปรียบ

พวกเขาก็ถูกโจมตีเช่นกัน ไม่ใช่ว่าหนีช้า หากแต่ยามหลบหนีทุกคนถึงได้พบว่าทั่วสารทิศนั้นล้วนเป็นกองทัพแดนนรกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร

ตูม!

เสียงหลินสวินเพิ่งแผ่วลงก็ถูกโครงกระดูกที่ขี่ม้ากระดูกสิบกว่าคนตีโอบ จากนั้นถูกกลืนเข้าไปในกองทัพใหญ่นั่น

หากมองจากเวิ้งฟ้าลงมา ทั่วทั้งฟ้าดินล้วนเป็นกองทัพใหญ่ดุจกระแสน้ำหลาก ผู้ฝึกปราณที่อยู่ในนั้นก็เหมือนฟองคลื่นเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา

หลินสวินก็ไม่อาจสรุปว่าพวกเจ้าคางคกจะได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ แต่ไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ด้วยเพราะตัวเขาเองก็ประสบกับภัยคุกคาม!

กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวล เสียงเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนใต้หล้า ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงคำรามโหยหวน

ต่อให้เป็นมกุฎราชัน หลังจากถูกกองทัพใหญ่ไร้สิ้นสุดนี้ม้วนกลืนก็เห็นได้ว่าหน้าซีดเผือดและไร้เรี่ยวแรงนัก

ปลายทางของโลกมืดมีโบราณสถานเก่าแก่ทรุดโทรมราวซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง

มีเพียงตำหนักสีดำหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ราวกับแปลงมาจากความมืดมิด พาให้คนใจสั่นระรัว

เวลานี้ประตูตำหนักปิดสนิท

และจุดที่ห่างจากตำหนักไม่ไกลก็มีเงาร่างหลายสิบคนยืนตระหง่าน เกาะกลุ่มเล็กๆ กระจายอยู่ในต่างบริเวณ

ตรงกลางคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดนักพรตสีดำคนหนึ่ง

เขาหันหลังให้กับตำหนักมืด มองกองทัพใหญ่หนาแน่นไร้สิ้นสุดที่อยู่ห่างออกไป ในดวงตาเอ่อท้นประกายชวนประหวั่น

เมื่อดูอย่างละเอียด ในดวงตาเขายังปรากฏสัญลักษณ์เร้นลับคู่หนึ่ง หนึ่งดำหนึ่งขาวราวมัจฉาหยินหยาง วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ

คนผู้นี้ แน่นอนว่าคือหวังเสวียนอวี๋

“ทุกท่าน กองทัพแดนนรกได้กวาดล้างดินแดนแล้ว เกรงว่านอกจากพวกเราคงไม่มีใครสามารถมาถึงที่นี่อีก”

เขายิ้มเอ่ยเสียงฉะฉาน

สีหน้าผู้แข็งแกร่งที่กระจายตัวอยู่บริเวณอื่นๆ กลับประหลาดอยู่บ้าง สายตาที่มองไปยังหวังเสวียนอวี๋ล้วนเจือความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ

ก่อนหน้านี้ตำหนักนรกเทพปรากฏ ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดิน

ที่มาพร้อมกันยังมีกองทัพยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต!

ตอนนั้นพวกเขาล้วนเห็นชัดเจนว่าหวังเสวียนอวี๋ใช้เขากระดูกสัตว์ดำสนิทชิ้นหนึ่ง เป่าเสียงสัตว์ลุ่มลึกออกมา

ภายใต้เสียงเขาสัตว์ที่แพร่กระจายนี้ กองทัพแดนนรกที่เกรียงไกรนั่นก็ราวถูกควบคุม บุกจู่โจมออกไปทั่วสารทิศ!

นี่ช่างน่าเหลือเชื่อนัก

หวังเสวียนอวี๋อาศัยเพียงเขาสัตว์เดียวก็บงการกองทัพใหญ่ชวนประหวั่นได้ทั้งทัพ ใครจะกล้าเชื่อ

และด้วยประการฉะนี้ทุกคนจึงหวาดกลัวอยู่ในใจ

“สหายยุทธ์หวัง เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเหี้ยมโหดเกินไปหรือไม่”

มีคนมุ่นคิ้วแค่นเสียงเย็นชา

กองทัพใหญ่แผ่กระจายเป็นวงกว้าง ราวสายน้ำเชี่ยวกรากฝูงสัตว์ห้อตะบึง จะต้องทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นที่กระจายอยู่ในฟ้าดินแถบนี้ถูกโจมตีอย่างหนักแน่

และทุกอย่างนี้ก็เกิดจากหวังเสวียนอวี๋

“ทุกท่าน มีคู่แข่งน้อยลงหน่อยไม่ดีรึ ว่าไปแล้วพวกเจ้าควรขอบคุณข้าถึงจะถูก ถึงอย่างไรก็เป็นข้าที่ช่วยพวกเจ้ากำจัดคู่แข่งไปไม่น้อย”

หวังเสวียนอวี๋หัวเราะเบาๆ กวาดสายตามองทุกคนในที่นั้น สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลม

เหล่าผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้นแทบทั้งหมดล้วนมาจากสำนักโบราณต่างๆ เหมือนเขา พลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ

เมื่อประตูตำหนักนรกเทพเปิดออก ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคู่แข่งของเขา

แต่หวังเสวียนอวี๋หาได้หวาดกลัว!

‘ตำหนักนรกเทพ… ก็ไม่รู้ว่า ‘เลือดแท้นรกเทพ’ ในตำนานนั่นมีอยู่จริงหรือไม่…’

หวังเสวียนอวี๋ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก เหลือบสายตาไปยังตำหนักมืดที่อยู่กลางซากปรักหักพังนั่นพลางใคร่ครวญในใจ

ผู้แข็งแกร่งอื่นก็มีความคิดต่างกันไป

กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กองทัพใหญ่ราวกระแสน้ำซัดก็ถอยร่น หายไปในความมืดไร้ขอบเขต

บรรยากาศเงียบสงัดลงอีกครั้ง แต่กลิ่นคาวเลือดชวนสยองที่อบอวลในอากาศยังบ่งบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่าหวาดกลัวระดับใด

ในมหาเคราะห์ครานี้ไม่รู้ว่ามีคนตายไปเท่าไหร่!

หลินสวินยืนเพียงลำพังอยู่ในหลุมมหึมาที่ก่ายกองไปด้วยซากศพ กวาดสายตามองโดยรอบ

แม้จะรอดชีวิตจากเคราะห์ใหญ่ครั้งนี้ได้ แต่ก็ทำเอาเขาเลือดอาบไปทั้งตัว ดูน่าอเนจอนาถอยู่บ้าง ร่างกายได้รับบาดเจ็บหลายจุด

‘ที่นี่อันตรายจริงๆ…’

หลินสวินทอดถอนใจ อาการบาดเจ็บทั่วร่างเขาฟื้นสภาพแล้ว พลังกายก็กำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของโอสถราชัน

เวลานี้เขาพลัดหลงกับเจ้าคางคก จี้ซิงเหยาและโม่เทียนเหอแล้ว

จากที่เขาคาดเดา อาศัยพลังต่อสู้ของพวกเจ้าคางคกน่าจะไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต

ฮู่ว…

ผ่านไปนานกระทั่งฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดมากอีก

ตลอดทางเจอแต่เหล่าผู้ฝึกปราณกระจัดกระจาย ล้วนแต่บาดเจ็บสาหัส น่าอนาถหาใดเปรียบ

แต่กลับไม่มีร่องรอยของพวกเจ้าคางคก

“หวังเสวียนอวี๋ เจ้าต้องไม่ตายดี!”

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องอาฆาตหนึ่งดังขึ้น

หลินสวินหันกลับไปทันที ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ในแอ่งโลหิต นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกผ่าอกแหวกท้อง ศีรษะแตกหายใจรวยริน น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่นานแล้ว

สีหน้านางเจือความไม่ยินยอมและโกรธแค้นเหลือคณา เมื่อสังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน นางขยับปากอย่างยากลำบาก กล่าวกระท่อนกระแท่น “มหาเคราะห์คราวนี้เป็น… เป็นหวังเสวียนอวี๋… ที่ชักนำมา…”

พูดไม่ทันจบนางก็สิ้นลมโดยพลัน

ต่อให้ตายไปแล้วบนสีหน้าก็ยังแฝงความเกลียดชัง

นัยน์ตาดำหลินสวินหดรัด หวังเสวียนอวี๋มีความสามารถอะไรถึงทำให้เกิดเคราะห์ใหญ่ที่เกรียงไกรเช่นนี้ได้

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง สูดหายใจลึกแล้วมุ่งหน้าต่อ ในความมืดที่อยู่ห่างออกไปสามารถมองเห็นโบราณสถานราวซากปรักหักพังแห่งหนึ่งได้รางๆ…

……………