บทที่ 1356 เคยออกโทรทัศน์มาก่อน + ตอนที่ 1357 เหลือคนวิ่งเต้นแค่คนเดียวแล้วล่ะ

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1356 เคยออกโทรทัศน์มาก่อน + ตอนที่ 1357 เหลือคนวิ่งเต้นแค่คนเดียวแล้วล่ะ โดย Ink Stone_Romance

 ตอนที่ 1356 เคยออกโทรทัศน์มาก่อน

“ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวนะคะ คุณอาอย่าโกรธเลยค่ะ ตัวหนูเองยังต้องมีพี่เลี้ยงดูแลเลย ไหนเลยจะมีความสามารถดูแลสีอันน่าได้!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเป็นคนแรกที่กล่าวปฏิเสธก่อน

พ่อของสีอันน่าหน้าเสีย หัวเราะแห้งอยู่สองสามที “พ่อก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง อันน่าโตขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาดูแลจริง ๆหรอก”

“พ่อคะ…”

สีอันน่าดึงแขนเสื้อพ่อสีอย่างไม่ชอบใจ ทำไมเธอจะไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ตอนนี้แค่คิดถึงว่าจะต้องตักน้ำไปกินข้าวและซักผ้าเอง…เธอก็รู้สึกราวกับหัวจะระเบิดแล้ว อยากจะกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำ

พ่อสีอันน่าถลึงตาใส่ลูกสาวอย่างไม่พอใจแล้วชื้อเชิญอีกครั้ง ถังม่านลี่ตอบรับอย่างรวดเร็วและยังขอบคุณพ่อสีเรียบร้อย เหมยเหมยสังเกตเห็นแล้วว่าขอแค่มีผลประโยชน์ต่อตัวเธอ ถังม่านลี่คนนี้ก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางเปลืองแรงแม้แต่นิดเดียว

พ่อสีดูจริงใจมาก อีกทั้งถังม่านลี่ก็ตอบรับก่อนแล้ว แน่นอนว่าคนอื่น ๆก็คงไม่ลังเลอีกต่อไป แม้แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ยอมตอบตกลงไปด้วย

“ขอบคุณน้ำใจของคุณอาสีนะคะ แต่ที่บ้านฉันมีธุระนิดหน่อย ขอตัวกลับบ้านก่อน สวัสดีค่ะ!”

เหมยเหมยไม่มีทางไปกินข้าวมื้อนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าพ่อสีปากจะพูดว่าลูกสาวไม่ต้องการให้ใครดูแล แต่ในเมื่อเขาเคยให้ของคุณแล้วพอถึงเวลาเขาอยากให้เราช่วยเราก็ต้องทำ ดังนั้นในเมื่อเคยกินข้าวของตระกูลสีไปแล้ว หากวันหลังสีอันน่าขอให้ช่วยทำงานให้ จะเลือกได้ด้วยเหรอว่าจะไปหรือว่าไม่ไป?

แล้วอย่าถามว่าทำไมเธอถึงรู้ว่าสีอันน่าต้องหาใครช่วยงานแน่นอน แค่แวบเดียวเธอก็มองออกแล้วว่าสีอันน่าเป็นโรคคุณหนูขั้นรุนแรง คิดราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าหญิงทั้งวี่วัน หวังว่าทุกคนจะดูแลเธอ ตามใจเธอ ทำให้เธอพอใจในทุก ๆเรื่อง……

เธอคงไม่กระโดดลงหลุมพลางนี้หรอก!

ใครเป็นคนกินก็ไปสั่งคนนั้นสิ!

“ฉันก็ไม่ไปกินเหมือนกันค่ะ”

ฉีฉีเก๋อเอ่ยขึ้น ก่อนมาเรียนพ่อกำชับเธอไว้ว่าอย่ารับของจากคนแปลกหน้ามั่วซั่ว โดยเฉพาะอาหาร เธอต้องเชื่อฟังสิ่งที่พ่อพูด

เหมยเหมยหันไปยิ้มให้พ่อสีอย่างมีมารยาท สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกมา เวลานี้ฉิวฉิวกลับว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างมาก นอนอยู่ในกระเป๋าตลอดไม่ออกมาเพ่นพ่าน

ฉีฉีเก๋อคิด ๆแล้วก็วิ่งตามออกมา เธอเห็นอะไรก็เรียนตามแบบนั้น จะได้ตัดปัญหาปฏิเสธคำเชื้อเชิญยากอีก

“เธออยากไปเที่ยวเล่นที่บ้านฉันไหม?” เหมยเหมยรู้สึกชอบฉีฉีเก๋ออยู่พอสมควร เห็นเธอวิ่งออกมาทำหน้าตาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็พลันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักดี

ฉีฉีเก๋อตาเป็นประกาย พงกหัวไม่หยุด เธอกำลังกังวลว่าจะไม่มีที่ไปอยู่พอดี!

เพื่อนที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้เธอรู้สึกดีด้วยมาก และได้พูดคุยกันอยู่หลายประโยคคงไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าแล้วมั้ง!

อาเหลาขอให้พวกเหมยเหมยรออยู่ใต้หอพัก เขาจะไปขับรถมา พ่อสีนำกลุ่มคนเดินออกมา บังเอิญเห็นเหมยเหมยขึ้นรถที่อาเหลาขับ เขาเป็นคนสายตาดีแค่แวบเดียวก็มองออกว่าคือรถมาเซราติ ทุกวันนี้คนที่จะขับรถนี้ได้มีไม่เยอะ คนที่จะมีครอบครองได้ต่างหากยิ่งมีน้อย

อีกทั้งเพื่อนที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้ ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะกำไลข้อมือหยก น้ำดีชิ้นนั้น ไม่มีเงินแสนคงซื้อไม่ได้แน่นอน

แล้วเป็นคนเมืองหลวงอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือระดับกว่าคนเมืองหลวงตัวปลอมอย่างเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอยู่หลายขั้น

เพียงเวลาอันน้อยนิดพ่อสีก็สามารถวิเคราะห์วงศ์ตระกูลของเหมยเหมยได้ คิดไว้ว่าอีกเดี๋ยวจะกำชับลูกสาวให้ทำความรู้จักสนิทสนมกับเหมยเหมยไว้ อย่าผิดใจกันเด็ดขาด

“เฮ้ย ฉันนึกออกแล้ว ฉันก็ว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าจ้าวเหมยนัก เหมือนเธอจะเคยออกรายการโทรทัศน์มาก่อน” จู่ ๆเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ตบขาตัวเอง

ถังม่านลี่หูกระดิก รีบถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดขึ้นว่า “เป็นรายการวาไรตี้ชื่อว่าเด็กอัจฉริยะจัดทำโดยสถานีโทรทัศน์เมืองจิน ฉันดูทุกอาทิตย์ จ้าวเหมยก็อยู่ในนั้นด้วย ดูเหมือนเธอจะเขียนหนังสือที่โด่งดังมากชื่อว่าอะไรนะ?”

………………………………………………..

ตอนที่ 1357 เหลือคนวิ่งเต้นแค่คนเดียวแล้วล่ะ

เจิ้งเสวี่ยซานและสีอันน่าหน้าถอดสีอย่างพร้อมเพรียงกัน อันที่จริงสองคนนี้จำเหมยเหมยได้นานแล้ว แค่ไม่อยากพูดออกมาก่อนก็เท่านั้น แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ดันเป็นคนปากสว่างกลับตะโกนออกมา ช่างเป็นคนโง่เสียจริง

ตอนนี้เป็นเพียงช่วงต้นยุคเก้าศูนย์ อัตราการเข้าถึงโทรทัศน์ของคนในเมืองสูงกว่าหน่อย แต่ในพื้นที่ชนบทไม่ใช่ทุกครัวเรือนที่จะมีโทรทัศน์ บ่อยครั้งที่ทั้งหมู่บ้านมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียวหรือสองเครื่องเท่านั้น

แล้วครอบครัวที่มีโทรทัศน์ พอถึงตอนกลางคืนก็จะคึกคักเพราะคนในหมู่บ้านจะนำม้านั่งมาเอง ลากคนในครอบครัววิ่งไปดูโทรทัศน์ เจ้าของบ้านก็จะเอาโทรทัศน์วางไว้ที่สนาม เช่นเดียวกับการเล่นหนังกลางแปลง สนุกสนานครื้นเครง

แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไปดูโทรทัศน์ที่บ้านคนอื่นทุกวัน เด็กในชนบทจำนวนมากจึงไม่เคยดูโทรทัศน์ แล้วก็มีบางที่ที่รับสัญญาณสถานีโทรทัศน์เทียนจินไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นสวีจื่อเซวียน

เพราะว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ มากที่สุดก็รับสัญญาณได้แค่ช่องสถานีส่วนกลางและช่องสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ไม่สามารถรับสัญญาณสถานีอื่นได้ ซึ่งจะไม่รู้จักว่ารายการวาไรตี้เด็กอัจฉริยะที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดถึงคืออะไร เช่นเดียวกับถังม่านลี่ที่มีสีหน้างงงวย

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองไปที่ถังมานลี่อย่างดูถูก หน้าตาดีมีประโยชน์อะไร คนบ้านนอกคนหนึ่งที่เกรงว่าขนาดที่บ้านคงไม่มีโทรทัศน์เสียด้วยซ้ำ!

ถึงแม้ว่าเธอจะเหยียดหยามถังม่านลี่มาก แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย จนถึงตอนนี้เธอได้ประเมินสถานการณ์ของเพื่อนร่วมห้องโดยคร่าว ๆได้แล้ว

ฐานะทางสังคมของจ้าวเหมยไม่ธรรมดา ได้ยินมาว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้าวในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าครอบครัวตระกูลจ้าวจะตกอับแล้ว แต่ไม่ใช่ตระกูลที่นักธุรกิจอย่างครอบครัวของเธอจะไปหาเรื่องได้ ดังนั้นคนอย่างจ้าวเหมยเธอไม่กล้าที่จะล่วงเกินเธอแน่นอน

ก่อนหน้านั้นเคยหยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนเพื่อซื้อที่นอนชั้นบน ตอนนี้เธอเสียใจจนลำไส้บิดไปหมดแล้ว เธอวางแผนว่าวันหลังสักวันหนึ่งจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเหมยเสียแล้ว!

เจ้าหญิงทวีปแอฟริกาสีอันน่าคนนั้นที่พูดจาราวกับเสียงแมวร้องหาคู่ ฐานะทางบ้านคงจะไม่น้อยไปกว่าเธอ เธอควรจะอยู่ให้ห่างเสียหน่อย

สวีจื่อเซวียนทาซานสาว ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะยากจน แต่เป็นคนที่ไม่เห็นแก่เงิน กลัวว่าเงินตกอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่เก็บเลยมั้ง

เหอะ ขึ้นอยู่กับว่านิสัยเห็นแก่เงินเหมือนสิ่งของไร้ค่าของผู้หญิงคนนี้จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานแค่ไหน

ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกสวีจื่อเซวียน แต่เมื่อมาถึงเมืองหลวงสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยม แถมยังเป็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยอีก คนที่สามารถยืนหยัดอดทนต่อความตั้งใจเดิมได้มีไม่กี่คนจริง ๆ!

ฉีฉีเก๋อถือว่าไม่เลว นิสัยมุ่งมั่น ตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นสั่ง เธอเองก็ไม่กล้าใช้งานหญิงสาวที่เติบโตบนหลังม้าหรอกนะ ได้ยินมาว่าผู้หญิงที่นั้นใช้มีดเป็นตั้งแต่เด็ก เธอยังไม่อยากชีวิตสั้นนะ!

ส่วนเจิ้งเสวี่ยซาน ผู้หญิงคนนี้คือตัวอย่างของเสวี่ยเปาไช่ในเรื่องความฝันในหอแดง คำพูดนั้นน่าฟังก็จริงแต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญ คนที่แทงข้างหลังก็คือเธอคนนี้นี่แหละ ไม่ใช่แค่ห้ามผูกมิตรสนิทสนมแต่วันหลังควรอยู่ห่าง ๆเลยดีกว่า

มองไปมองมาก็เหลือแค่เพียงถังม่านลี่แล้ว แค่แวบเดียวเธอก็มองออกว่าฐานะทางครอบครัวของถังม่านลี่นั้นยากจนมาก เลวร้ายยิ่งกว่าครอบครัวของสวีจื่อเซวียนอีก วัสดุเกรดผ้าที่สวมใส่แย่กว่าที่สุนัขของเธอใส่เสียอีก

อีกทั้งผู้หญิงคนนี้หน้าหนา เห็นแก่ได้ แค่หนึ่งร้อยหยวนก็สามารถเป็นวัวเป็นม้าได้แล้ว คนแบบนี้เอาไว้ใช้งานได้ สิ่งที่เธอต้องการในฐานะคุณหนูใหญ่ก็คือคนแบบนี้ ไม่อย่างนั้นวันหลังใครจะทำงานวิ่งเต้นไปตักน้ำและไปซื้ออาหารให้ล่ะ?

แม้ว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะดูแคลนถังม่านลี่ แต่เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีคนรับใช้คงต้องอธิบายอย่างอดทนแล้วล่ะ เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในปากจำชื่อหนังสือนั้นไม่ได้สักที หงุดหงิดชะมัด

“เรียกว่าอะไรนะ? ทั้ง ๆที่เมื่อวานยังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่เลยทำไมถึงจำไม่ได้นะ ใช่แล้ว เจ้าหญิงอะไรสักอย่างเนี่ยแหละเป็นหนังสือการ์ตูน ตีพิมพ์ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นเพื่อไล่ตามซื้อหนังสือชุดนี้ฉันถึงขนาดไปถามที่ร้านหนังสือทุกวันเลยนะ!”

……………………………………………