“อาจารย์ได้โปรดชี้แนะ” อิ๋งเยว่กล่าวอย่างเคารพ
พระปีศาจหนานโปบอกนางว่า “ระบายความทุกข์ ขอร้องให้พวกเขาบริจาคทรัพยากรฝึกตนหรือไม่ก็ทรัพย์สินให้เจ้าสักหน่อย”
“…” อิ๋งเยว่งุนงง
พระปีศาจหนานโปเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง รู้ว่านางไม่เข้าใจ จึงอธิบายว่า “เจ้าตกต่ำจนถึงวันนี้ ในกระเป๋าจะน่าละอายก็เป็นเรื่องนี้สมเหตุสมผล คนที่เห็นแก่ไมตรีเก่าของตระกูลอิ๋งย่อมช่วยเจ้า แต่ถ้ามีคนทรยศเจ้านายฆ่าคนของตระกูลอิ๋งจริงๆ ก็อาจจะอยากขุดรากถอนโคน”
อิ๋งเยว่เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ทำแบบนี้เพราะต้องการหาทางเจอหน้ากับพวกเขา ขอเพียงสามารถหลอกคนมาได้ อาศัยพลังอภินิหารของอาจารย์ก็ย่อมสืบสาวไปถึงต้นเรื่องได้
พระปีศาจหนานโปบอกว่า “เริ่มจากพ่อบ้านตระกูลอิ๋งที่ชื่อจั่วเอ๋อร์นั่นก่อนเถอะ ในมือนางคงจะมีช่องทางมรดกทรัพย์สินของของตระกูลอิ๋งอยู่บ้าง ข้าเคยลองจะไปหานางโดยตรง แต่นางระวังตัวมาก ใช้แค่ระฆังดาราติดต่อกับคนเคยรู้จักเท่านั้น ไม่ยอมพบหน้าเลย ไม่มีทางรู้ได้ว่านางอยู่ที่ไหน”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” อิ๋งเยว่หยิบระฆังดาราออกมา กลั่นกรองคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้เขย่าระฆังดาราติดต่อจั่วเอ๋อร์ไป หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว ก็รายงานว่า “อาจารย์ จั่วเอ๋อร์โน้มน้าวให้ข้ากลับไป ข้าบอกว่าถ้าไม่ได้ล้างแค้นให้ตระกูลก็จะไม่เลิก นางถามข้าว่าอยู่ที่ไหน นางจะนำทรัพย์สินมาส่งให้ อาจารย์ นางจะรายงานไปที่ตำหนักสวรรค์หรือเปล่า?”
พระปีศาจหนานโปตอบว่า “ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่คนในครอบครัวเจ้าหายตัวไปหรือเปล่า ถ้าเกี่ยวข้องกัน ก็มีความเป็นไปได้ ถ้ายืมมือของตำหนักสวรรค์กำจัดเจ้า ก็ไม่ต้องแบกรับข้อหาว่าทรยศเจ้านาย แต่ก็เพราะแบบนี้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ นางไม่มีทางรายงานขึ้นไปซี้ซั้ว อย่างน้อยนางก็ต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ถ้าเจ้าเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1] ตำหนักสวรรค์คว้าน้ำเหลว เจ้าก็จะต้องเดาออกแน่ว่านางแอบรายงานตำหนักสวรรค์ ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าบอกลูกน้องเก่าคนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋ง พอชื่อนี้แพร่ออกไป ก็จะส่งผลกระทบต่อนางเยอะมาก นางน่าจะตัดสินใจแล้วว่ารอลงมือทีหลัง!”
อิ๋งเยว่พยักหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในใจก็รู้สึกมั่นใจขึ้นแล้วไม่น้อย คำชี้แนะที่ชัดเจนเป็นระเบียบของพระปีศาจหนานโปทำให้นางไม่รู้สึกสับสนอีก
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในป่าไผ่รอบๆ
หลังจากผู้ที่มาสำรวจรอบๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง ก็ปรากตัวอยู่นอกประตูไม้ จากนั้นผลักประตูเข้ามาโดยตรง
ชาวประมงเฒ่าที่กำลังปลูกผักอยู่ในสวนลุกขึ้นยืนมองเขา แล้วถามว่า “ท่านมาหาใคร?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาใส่หน้ากาก พูดออกมาเพียงสองคำง่ายๆ ว่า “พ่อบ้าน คุณหนู”
ชาวประมงเฒ่าวางเสียมลง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตามข้ามาเถอะ”
จากนั้นก็นำผู้ที่มาไปที่นอกกระท่อมด้านหลัง พอมาถึงก็ยืนตะโกนตรงประตูที่ปิดสนิท “คุณหนู แขกที่ท่านรอมาถึงแล้ว”
“เข้ามาเถอะ” ในห้องมีเสียงอิ๋งเยว่ดังมา
ชาวประมงเฒ่าผลักประตู ผู้ที่มามองสำรวจรอบๆ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบโดยรอบจนแน่ใจแล้ว ถึงได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ
อิ๋งเยว่ยืนอยู่ในห้อง มองผู้ที่มาอย่างสงสัย “เจ้าคือ?”
ผู้ที่มาจ้องประเมินนางครู่เดียว แม้อิ๋งเยว่จะแสร้งแต้มกระบนใบหน้า ให้เหมือนญิงสาวชาวนา แต่เค้าโครงหน้าตาก็ยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นขี้เหร่ลงเท่านั้น เมื่อแน่ใจว่าเป็นอิ๋งเยว่ ผู้ที่มาก็ถอดหน้ากากออก แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “ผู้น้อยหู่หลินคารวะคุณหนู คุณหนูอาจจะนำผู้น้อยไม่ได้ ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากพ่อบ้านให้นำของมาให้คุณหนู” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้
“ข้าเคยเห็นเจ้า” อิ๋งเยว่ตอบขณะมองประเมินเขา ไม่ใช่คำพูดตามมารยาท แต่นางจำได้จริงๆ เพียงแต่ตอนแรกบ่าวไพร่ของตระกูลอิ๋งเยอะเกินไป จึงจำชื่อไม่ได้ นางกำไลเก็บสมบัติมาไว้ในมือแล้ว
“คุณหนู พ่อบ้านยังหวัง…” หู่หลินยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าท่าทางก็เหม่อลอยไป
ในห้องมีเสียงดังแกร๊ก หน้าต่างปิดพร้อมกัน ชาวประมงเฒ่าที่เข้ามานั่งลงข้างๆ มีแสงทองเปล่งจากร่างกาย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกจากกายหยาบอีกครั้ง หลอมรวมเข้าไปในร่างกายของหู่หลิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อิ๋งเยว่ที่ได้เห็นฉากนี้มักรู้สึกขนหัวลุก รู้สึกกลัวนิดหน่อย บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ชิน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ลักษณะการพูดจาของหู่หลินก็เปลี่ยนไปแล้ว ดูไม่ช้าไม่เร็ว เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจหนานโปอาศัยร่างเขาพูดแทน “นางหนูเยว่ พ่อแม่เจ้าตายด้วยน้ำมือพวกจั่วเอ๋อร์ที่ติดตามไปด้วยในปีนั้นจริงๆ โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าไปโดยไม่บอกลา ไม่อย่างนั้นคงไม่รอด”
ในที่สุดก็ยืนยันข่าวร้ายได้แล้ว อิ๋งเยว่น้ำตาแตกทันที เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ร้องเรียกอย่างเศร้าโศก “ท่านพ่อ ท่านแม่…”
“คนในแดนฝึกตนหวังชีวิตยืนยาว หยินหยางวุ่นวาย คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี เดิมทีก็ฝ่าฝืนเจตจำนงสวรรค์ ดำเนินชีวิตขัดกับธรรมชาติอยู่แล้ว การจากลาชั่วนิรันดร์คือเรื่องปกติมา เหตุใดจึงไม่ปล่อยวาง? นางหนู ระงับความเศร้าโศกเถอะ!” หู่หลินกล่าวเสียงเบา
อิ๋งเยว่พลันปาดน้ำตา เอาศีรษะโขกพื้นไม่หยุด พลางกล่าวปนเสียงสะอื้น “อาจารย์ อาจารย์ได้โปรดช่วยศิษย์ล้างแค้นด้วย!”
“ถ้าอยากจะฆ่าพวกเขาก็ไม่ยากหรอก ที่จริงจั่วเอ๋อร์นั่นก็มาด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการฆ่านาง?” หู่หลินถาม
อิ๋งเยว่พยักหน้าพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ข้าดูแลนางอย่างดี ฝากฝังทุกคนของตระกูลอิ๋งไว้กับนาง นึกไม่ถึงว่านางจะลืมบุญคุณแล้วทรยศ ถ้าไม่ฆ่านาง ศิษย์ก็เสียแรงที่เกิดมาเป็นลูกสาว!”
หู่หลินกล่าวว่า “นางหนู เจ้าไม่ใช่คนฉลาดเลยจริงๆ ฆ่านางแล้วจะล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้เหรอ? ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เจ้าต้องการการสนับสนุนจากนาง รอให้ล้างแค้นได้ก่อนแล้วค่อยเก็บกวาดขยะในบ้าน แบบนี้เป็นยังไง?”
อิ๋งเยว่เอาแต่ร้องไห้ หู่หลินก็รออย่างอดทน
หลังจากผ่านไปนาน อิ๋งเยว่อารมณ์เริ่มสงบลงแล้ว สุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว”
หู่หลินพยักหน้า “จั่วเอ๋อร์ตามหู่หลินมาด้วยกัน จั่วเอ๋อร์กังวลว่าจะมีอุบาย จึงส่งหู่หลินมาพบเจ้าก่อน ส่วนนางก็คอยตรวจสอบอยู่รอบๆ รอบข้างกระจายกำลังคนไว้เฝ้าระวังไม่น้อย ประเมินจากหู่หลินคนนี้แล้ว ที่จั่วเอ๋อร์มาครั้งนี้ก็ไม่มีมีเจตนาจะสังหารเจ้า อยากจะพาเจ้าไปด้วยจริงๆ”
อิ๋งเยว่มีคราบน้ำตาเต็มใบหน้า กล่าวอย่างไม่เชื่อว่า “แม้แต่พ่อแม่ข้านางก็ยังฆ่าได้ แล้วจะปล่อยข้าไปเหรอ?”
หู่หลินตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ชัดว่าเพราะอะไร สถานการณ์ที่หู่หลินคนนี้รู้ค่อนข้างน่าสับสน จั่วเอ๋อร์ฆ่าคนของตระกูลอิ๋งจริงๆ แต่ก็เหมือนอยากล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งด้วยเหมือนกัน ทำเอาข้าเลอะเลือนแล้ว เรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ เกรงว่ามีแต่ต้องกับจั่วเอ๋อร์ถึงจะเข้าใจ แต่ที่จั่วเอ๋อร์อยากจะล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งนั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องจัดระเบียบกำลังที่เหลือของตระกูลอิ๋งใหม่ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้อำนาจของตระกูลอิ๋งแบ่งออกเป็นสามส่วน จั่วเอ๋อร์ส่วนหนึ่ง เฉาหยิน ผู้ตรวจการซ้ายตระกูลอิ๋งส่วนหนึ่ง สงฉีผู้ตรวจการขวาตระกูลอิ๋งส่วนหนึ่ง ในมือจั่วเอ๋อร์มีทรัพย์สินที่ตระกูลอิ๋งเหลือไว้ ทั้งยังมีช่องทางดำเนินธุรกิจลับๆ นางใช้มรดกทรัพยากรของตระกูลอิ๋งที่มีอยู่ในมือรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งของตระกูลอิ๋งเอาไว้ แต่กำลังทหารที่มีศักยภาพแท้จริงของตระกูลอิ๋งกลับอยู่ในมือเฉาหยินกับสงฉี จั่วเอ๋อร์อยากจะปรับปรุงสองกลุ่มนี้ แต่เฉาหยินกับสงฉีก็สงสัยเช่นกันว่าภายในตระกูลอิ๋งมีคนทรยศเจ้านายและฆ่าคนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋งไปแล้ว ทั้งสามฝ่ายล้วนไม่ยอมรับว่าตัวเองฆ่าคนของตระกูลอิ๋ง แล้วก็ไม่เชื่อใจกันและกันด้วย สาเหตุที่จั่วเอ๋อร์อยากพาเจ้าไป ก็เพราะตอนนี้ทั้งตระกูลอิ๋งมีแค่เจ้าที่อาจจะสามารถรวบรวมกำลังแต่ละฝ่ายขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแต่จั่วเอ๋อร์ไม่มีคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะช่วยล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้ นางแค่อยากจะควบคุมเจ้า ใช้เจ้าเป็นธงเพื่อรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋ง จะได้ล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้สะดวก”
อิ๋งเยว่ฟังแล้วค่อนข้างงง บอกว่า “ข้าไม่อยากเชื่อหรอกว่าจั่วเอ๋อร์จะอยากล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋ง”
“แปลกนิดหน่อย บางทีจั่วเอ๋อร์อาจจะหลอกหู่หลินคนนี้กระมัง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเดาเรื่องนี้ จั่วเอ๋อร์กำลังรอข่าวจากหู่หลิน ถ้าชักช้าอาจจะทำให้จั่วเอ๋อร์สงสัย ถ้านางหนีไปแล้ว ต่อไปจะตามหานางอีกก็ยากแล้ว เจ้าต้องควบคุมอารมณ์ไว้” หู่หลินกล่าว
“อืม!” อิ๋งเยว่พยักหน้า
หู่หลินหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจั่วเอ๋อร์ แล้วจากไปเพียงลำพัง ไปรออยู่ในป่าไผ่นอกกระท่อม พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ถูกควบคุม ยังปลอดภัยดี
ผ่านไปไม่นาน หญิงชราคนหนึ่งก็ถือไม้เท้าเดินโซเซเข้ามา หลังค่อมเหมือนหญิงชาวนาแก่ๆ เป็นจั่วเอ๋อร์ที่ปลอมตัวแล้วนั่นเอง
หญิงชราเดินมาข้างกายหู่หลิน แล้วถามว่า “แน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติ?”
หู่หลินพยักหน้า ยื่นมือเชิญ จั่วเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างหลังเขา
เดินมาตลอดทางจนถึงในกระท่อม อิ๋งเยว่ที่ควบคุมอารมณ์ได้แล้วกำลังนั่งอย่างสง่าอยู่ข้างใน มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
จั่วเอ๋อร์พยายามแยกแยะ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นอิ๋งเยว่ ก็โยนไม้เท้าลงพื้น ยืดตัวตรงขึ้นมา แล้วถอดหน้ากากบนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง เรียกได้ว่าน้ำชาไหลอาบใบหน้าชราทันที นางคุกเข่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ฟ้าเห็นแล้วคงเวทนา ในที่สุดบ่าวก็ได้พบคุณหนูแล้ว บ่าวกราบคุณหนู!” หมอบส่ายหน้าไม่หยุด
นางควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบากจริงๆ นึกย้อนไปถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ในปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ มีหรือที่จะเอ่ยปากขอร้อง นึกถึงความมีหน้ามีตาของตระกูลอิ๋งในปีนั้น ในใจนางก็เป็นทุกข์มากเช่นกัน
ทว่าอิ๋งเยว่กลับรู้จักสะอิดสะเอียน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว ตั้งแต่เด็กคนโตเคยเคารพนางมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ลูกหลานตระกูลอิ๋งมีใครบ้างที่ไม่กลัวนาง? นางย่อมจำเหตุการณ์ในปีนั้นที่ตระกูลอิ๋งพานางไปฟ้าระกาติงเพื่อให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้ ตอนนั้นชัดเจนมากว่าคำพูดและการกระทำของจั่วเอ๋อร์กำลังขู่นาง ตอนนี้เพื่อที่จะใช้ประโยชน์นาง ไม่ว่าอะไรก็ทำได้หมดจริงๆ
ในสายตานาง นางตัดสินแล้วว่าจั่วเอ๋อร์กำลังเสแสร้งแกล้งทำ นางยิ่งรู้สึกแค้นหนักกว่าเดิม
“คุณหนูไม่ควรดื้อรั้นขนาดนี้…” จั่วเอ๋อร์ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นอิ๋งเยว่เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ หู่หลินก็ประนมมือสองข้าง
จั่วเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าพลันหยุดเคลื่อนไหว แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเลื่อนลอย เก็บมือยืนอยู่อย่างนั้น
หู่หลินกล่าวว่า “อิ๋งจิ่วกวงฝากฝังตระกูลอิ๋งให้เจ้า ทำไมเจ้าทรยศเจ้านาย ทำไมต้องฆ่าคนของตระกูลอิ๋ง?” เห็นได้ชัดว่าทำแบบนี้เพื่อให้อิ๋งเยว่ได้ยินด้วยหูตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาสามารถอ่านความคิดจั่วเอ๋อร์ได้โดยตรงเลย เขารับปากแล้วว่าจะช่วยอิ๋งเยว่สืบเรื่องนี้
จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านอ๋อง ได้เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวยมาทั้งชีวิต ไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์มานานแล้ว ท่านอ๋องฝากฝังหน้าที่สำคัญ ไม่กล้าทำให้ผิดหวัง แต่ตระกูลอิ๋งจบแล้วจริงๆ จบแล้ว ไม่มีหวังจะให้ลูกหลานตระกูลอิ๋งล้างแค้นเพื่อตระกูลอิ๋งอีกแล้ว…”
เล่าเรื่องราวอย่างละเอียก ความหมายคร่าวๆ ก็คือลูกหลานตระกูลอิ๋งทำให้คนสิ้นหวังแล้ว ทำให้คนท้อใจเกินไป กระดูกท่านอ๋องยังไม่ทันเย็น ทั้งครอบครัวกำลังหลบหนี ยังไม่ทันหาที่ปักหลักได้ ใจคนยังไม่สงบ พี่น้องตระกูลอิ๋งก็เถียงกันแย่งสมบัติต่อหน้าทุกคนแล้ว นางเกลี้ยกล่อมหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะสร้างตัวอีกครั้ง ก็ต้องรวบรวมกำลังคนและกำลังทรัพย์ ถ้ากลายเป็นทรายที่กระจัดกระจายแล้ว ก็จะหมดหวังโดนสิ้นเชิง ถ้าแบ่งสมบัติของตระกูลอิ๋งแล้ว ใจคนก็จะกระจัดกระจายเช่นกัน อาศัยลูกหลานอกตัญญูที่ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองจนเคยชิน มีใครบ้างที่บริหารกิจการลับของตระกูลอิ๋งได้ ช้าเร็วก็ต้องเผยพิรุธให้ตำหนักสวรรค์จับได้ ถึงตอนนั้นก็จะนำพาหายนะมาสู่ทุกคนแน่นอน จั่วเอ๋อร์เองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงลงมือสังหารเพื่อรักษาความหวังสุดท้ายเอาไว้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าผลที่ตามมาก็คือเฉาหยินกับสงฉีไม่ยอมรับการควบคุม นางเองก็ตำหนิตัวเองต่อหน้าวิญญาณท่านอ๋องอยู่ทุกวัน
อิ๋งเยว่ฟังจนพรั่งพรูความเจ็บช้ำออกมาจากใจ ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นางรู้ว่าจั่วเอ๋อร์พูดความจริง ตอนแรกนาง ตอนแรกที่นางหนีมาก่อนคนแรก ก็เพราะพฤติกรรมของคนตระกูลอิ๋งทำให้แม้แต่นางก็ทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่คิดเรื่องล้างแค้น กลับเอาแต่แย่งมรดกกัน นางเสียงเบาพูดแล้วไม่มีใครเชื่อฟัง ทำได้เพียงหนีออกมาคนเดียวด้วยความโมโห
………………