“ดูสภาพของเจ้านี้แล้วเจ้าคงเพิ่งกลับมาจากความตายกันใช่หรือไม่? แล้วเจ้าตายกันไปกี่รอบแล้วเล่า? อ่า ขอโทษที มันคงต้องถามว่ากี่ร้อยรอบแล้วสินะ?”
เย่หยวนหันกลับไปตอกหน้าคนทั้งหลายนั้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
คนทั้งหลายนั้นไม่ได้มีพลังเก่งกาจเหนือล้ำใดๆ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีพลังบ่มเพาะเพียงแค่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์สามดาว แต่กลับมาดูถูกเขาที่มีพลังเทียบเคียงจักรพรรดิเทพสวรรค์สองดาวเช่นนี้มันช่างดูน่าหัวร่อ
แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายได้ยินเข้าพวกเขาทั้งหลายก็หน้าแดงก่ำขึ้นมา
จะบอกว่าหลายร้อยมันก็คงเกินไป แต่พวกเขาทั้งหลายนี้ก็ได้ตายมาหลายสิบครั้งแล้วจริง
แต่ในสถานที่เช่นนี้การดูถูกผู้อ่อนแอมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
หนึ่งในกลุ่มคนทั้งหลายนั้นหรี่ตาลงมองอย่างไม่พอใจ “เด็กน้อย เป็นเด็กใหม่ก็ทำตัวให้มันเหมือนเด็กใหม่หน่อย! โอหังมากนักเจ้าจะได้ตายไม่รู้ตัว!”
ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมผู้นี้นามว่าหยางเคอ เป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้และเป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์สามดาวขั้นสุด
กลุ่มของพวกเขาทั้งหลายนั้นเพิ่งถูกลอบโจมตีด้านนอกเมืองทำให้สุดท้ายต้องตายกันยกกลุ่ม
ในเวลานี้พวกเขาทั้งหลายจึงรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก เมื่อได้เห็นเย่หยวนที่เพิ่งมาถึงจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวด่าเพื่อระบายความอัดอั้นออกมา
เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะตอบกลับไป “วินาทีที่ข้าเข้ามาถึงพวกเจ้าก็เอาแต่ด่าว่าดูถูกข้า เวลานี้เจ้ากลับมาบอกว่าข้าโอหัง ทำไมเจ้ามันถึงได้ทำอะไรก็ถูกไปเสียหมดเช่นนั้นเล่า?”
หยางเคอกล่าวตอบกลับไป “ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้คำพูดของผู้แข็งแกร่งมันคือเหตุผลอันถูกต้อง! เด็กน้อย หากเจ้ากล้าพูดกล่าวเช่นนี้นอกเมืองเจ้าคงได้ตายไปแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มรับ “โอ้ เช่นนั้น? ออกไปนอกเมืองกันหน่อยไหมเล่า? พวกเจ้ากล้าออกมากับข้าหรือไม่?”
หยางเคอนั้นผงะไปเล็กน้อย หรือว่าเจ้าหมอนี่มันจะไม่มีสมอง?
พวกเขาทั้งหลายนั้นมีกฎที่ต้องเคารพจึงไม่กล้าจะลงมือใดๆ ในเมือง แต่การออกจากเมืองไปนั้นมันย่อมจะเกิดการฆ่าสังหารขึ้นแน่แล้ว
เรื่องราวเช่นนี้มันเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งนอกเมือง
เพราะด้านนอกเมืองนั้นมันเป็นสถานที่สุดแสนอันตรายที่นอกจากต้องระวังสัตว์ร้ายทั้งหลายแล้วพวกเขายังต้องระวังมนุษย์ผู้คนด้วยกันอีกว่าจะมีใครมาลอบโจมตีหรือไม่
เว้นเสียแต่ว่าเย่หยวนนั้นเป็นแค่เด็กใหม่ผู้มาถึงได้ไม่นาน แต้มเทพสงครามใดๆ ของเขานั้นย่อมเป็นศูนย์ ฆ่าไปก็ไม่ได้ประโยชน์ใด
ตามกฎของมิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นหากฆ่าสังหารศัตรูลงได้แล้วคนทั้งหลายก็จะได้รับแต้มเทพสงครามของอีกฝ่ายไปตั้งแต่สิบเปอร์เซ็นต์จนถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ยิ่งระดับของคู่ต่อสู้สูงกว่าตนมากเท่าใด พวกเขาทั้งหลายก็จะได้รับแต้มมากขึ้นเท่านั้น แต่หากไปล่าคนระดับต่ำกว่าก็จะไม่ได้ประโยชน์ใด
ในตอนแรกๆ นั้นเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งจริงๆ ต่างรอคอยให้คนทั้งหลายออกไปล่าสัตว์ร้ายเพิ่มระดับกันให้สูง ก่อนจะค่อยออกไปล่าเอาคะแนนของคนทั้งหลายมา
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับปีเช่นนี้ความเสถียรมันก็เกิดขึ้น ผู้คนต่างได้อยู่อันดับตามฝีมือที่แท้ของตน
เวลานี้การไปท้าทายคนที่มีระดับสูงกว่ามันก็เหมือนการเดินหิ้วหัวไปให้
“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดท้าทายจักรพรรดิผู้นี้? ก็เคยเห็นหรอกนะพวกที่รนหาที่ตาย แต่ไม่เคยจะเห็นใครรีบร้อนหาที่ตายเช่นเจ้ามาก่อน! แค่เจ้ามาก็คิดอยากลองตายดูเสียแล้ว? วางใจเถอะ มันเจ็บปวดเหมือนจริงเลยล่ะ!” หยางเคอนั้นหัวเราะลั่นออกมา
แม้ว่าเย่หยวนจะไม่ได้มีแต้มเทพสงครามใดๆ ติดตัวแต่ท่าทางเอาเรื่องของเย่หยวนนี้มันก็ทำให้เขาไม่อาจยอมถอยได้
ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขาทั้งหลายเพิ่งจะถูกลอบโจมตีมา ทำให้มีความแค้นอย่างไร้ที่ระบาย
เย่หยวนตอบกลับไป “ข้านั้นย่อมหมายตาแต้มเทพสงครามของพวกเจ้า แม้ว่ามันจะไม่มากมายแต่มันก็ยังมีให้เก็บใช้”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินพวกเขาต่างก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้น
เมื่อหยางเคอได้ยินเสียงหัวเราะของเขาก็ยิ่งดังลั่นขึ้น “เจ้าเด็กใหม่คนนี้มันน่าสนใจจริงๆ! ดี ดีมาก! เช่นนั้นก็ออกไปประลองกันด้านนอกเถอะ ปู่หยางของเจ้านี้มีแต้มอยู่ตรงหน้า เจ้ามีปัญญาก็มาเอาไปเถอะ!”
เย่หยวนเองก็ไม่คิดต่อปากต่อคำให้ยืดยาวเดินมุ่งหน้าออกไปยังด้านนอกเมืองทันที
ภายในเมืองนั้นย่อมจะมีคนที่ได้เห็นได้ยินเรื่องราวและอดไม่ได้ที่จะเดินตามออกไปดูเรื่องราว
“เจ้าเด็กใหม่คนนี้มันน่าสนใจจริงๆ เป็นแค่จักรพรรดิเทพสวรรค์สองดาวแต่กลับกล้าโอหังเช่นนี้!”
นักยุทธอีกคนที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นตาม “หึ คนที่เข้ามาถึงมิติสงครามดึกดำบรรพ์ได้นั้นมีใครบ้างที่มิใช่อัจฉริยะเก่งล้ำฟ้า? แต่หลังจากมาถึงที่แห่งนี้แล้วคนทั้งหลายนั้นก็จะได้รู้ว่าเหนือฟ้ามันมีฟ้าจริง มันจะมีคนที่เก่งกาจกว่าตนเองอยู่เสมอ!”
“เจ้าเด็กคนนั้นมันคงสามารถสู้ข้ามดาวได้ แต่มันคงไม่ได้รู้เลยว่าทุกผู้คนในที่นี้ต่างก็ล้วนต่อสู้ข้ามดาวได้สิ้น! แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ยังไม่เก่งกาจพอ!”
…
ท่าทางของเย่หยวนนั้นเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดานั้นย่อมเย้ยหยันไปตามๆ กัน
ตอนที่พวกเขาทั้งหลายเพิ่งมาถึงนั้นมีใครบ้างที่ไม่อวดอ้างตัวเองเหนือฟ้า?
แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาทั้งหลายก็ได้ถูกทำลายความมั่นใจนั้นลงเรื่อยๆ
จนถึงเวลานี้ที่พวกเขาทั้งหลายได้แต่ต้องก้มหน้าเจียมเนื้อเจียมตัว
หากไปทำให้ยอดฝีมือไม่พอใจเข้าจริงๆ แล้วคนเหล่านั้นคงได้ไล่ล่าสังหารจนไม่อาจจะออกจากเมืองไปไหนได้!
แต่ในเมืองเองก็ไม่ได้ปลอดภัยมากนัก
เพราะว่าในเมืองเองมันก็มีเวลาให้พักได้จำกัด
เมื่อเวลานั้นหมดลงแล้วมิติสงครามดึกดำบรรพ์ก็จะส่งพลังลงมาทำลายคนผู้นั้นทันที!
กลุ่มหยางเคอนั้นเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกหกคน สองจักรพรรดิเทพสวรรค์สามดาวและสี่จักรพรรดิเทพสวรรค์สองดาว
แต่แม้คนทั้งสี่จะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์สองดาว พวกเขาก็เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับจักรพรรดิเทพสวรรค์สามดาวอย่างมาก
เมื่อออกมาถึงด้านนอกเมืองพวกเขาทั้งหลายก็ใช้สายตาที่เหมือนหมาป่ากำลังจ้องมองอาหารอย่างขี้เล่น
เจ้าเด็กคนนี้มันกล้าเดินออกมานอกเมืองจริงๆ
“เผิงหยาง เจ้าไปสั่งสอนน้องชายผู้นี้เสียหน่อยเถอะว่าเมืองเมฆหนุนนั้นอยู่กันอย่างไร!” หยางเคอสั่งออกมา
คนผู้มีนามว่าเผิงหยางนั้นยิ้มรับออกมาอย่างสะใจ “ได้ สั่งสอนเด็กใหม่เรื่องเช่นนั้นข้าย่อมพร้อมยินดีทำ! เด็กน้อย เจ้าคงคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากถึงได้มาท้าทายคู่ต่อสู้ข้ามดาวเช่นนี้! แต่พวกเราทั้งหลายนั้นตอนอยู่ด้านนอกต่างก็เคยต่อสู้ข้ามดาวกันมาสิ้น! เพราะฉะนั้นตัวเจ้าก็จงตายแล้วทำตัว…”
ปัง!
เผิงหยางยังกล่าวไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องตายลง
เย่หยวนนั้นต่อยออกมาด้วยหมัดหนักหน่วง ความเร็วเหนือล้ำจะมองทัน
ทุกผู้คนนั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ เผิงหยางก็แตกสลายกลับไปยังจุดเกิดอีกครั้งแล้ว
เย่หยวนนั้นแสดงสีหน้าเรียบนิ่งราวกับว่าเขาแค่ทำเรื่องสุดแสนปกติธรรมดา
จากนั้นมันก็เกิดอักษรหนึ่งขึ้นตรงหน้าของเขา
นี่มันคือแต้มเทพสงคราม
สังหารเผิงหยางนี้ไปเย่หยวนได้รับแต้มมาถึงสามสิบสองแต้ม
“มีแต้มแค่นี้เองหรือ พวกเจ้าจะอ่อนแอเกินไปแล้ว!” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยความดูถูก
เผิงหยางนั้นมีระดับไม่สูงมากมาย แต่เทียบกับเย่หยวนแล้วมันย่อมจะยังสูงล้ำ
เขานั้นจะต้องได้แต้มเทพสงครามสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เผิงหยางมี หรือก็คือแต้มเทพสงครามที่เผิงหยางมีติดตัวมันคงมีแค่ประมาณหนึ่งร้อย
เย่หยวนนั้นแค่พูดกล่าวความจริงออกมาแต่มันกลับเป็นการเย้ยหยันพวกหยางเคออย่างมาก
เพราะการที่มีแต้มเทพสงครามต่ำมันย่อมหมายความว่าพวกเขานั้นอ่อนแอ!
แต่แท้จริงแล้วแต้มเทพสงครามของพวกเขามันก็ไม่ได้น้อย โดยเฉพาะตัวหยางเคอที่มีระดับใกล้หนึ่งหมื่น
แต่พวกเขานั้นเพิ่งจะถูกลอบทำร้ายจนเสียแต้มเทพสงครามไปมากมายในคราเดียว มันจึงได้กลายมาเป็นสภาพเช่นนี้
หยางเคอนั้นหรี่ตาลงอย่างดุดันพร้อมจิตสังหารหนักแน่น “เด็กน้อย เจ้ากลับไม่คิดทำตามกฎโลกหล้าและลอบโจมตีเผิงหยาง!”
เย่หยวนที่ได้ยินก็ต้องหัวเราะขึ้นมา “สู้ก็คือสู้ จะพูดมากทำเพื่อ? ที่สำคัญที่นี่มันคือมิติสงครามดึกดำบรรพ์แดนแห่งการสังหาร หรือว่าก่อนจะฆ่าสังหารกันในนี้ยังต้องมาก้มหัวคารวะจอกเหล้ากันก่อนอีก?”
“ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาจากรอบด้าน
แน่นอนว่าคำพูดของเย่หยวนนั้นมันย่อมจะฟังดูสมเหตุสมผลกว่า
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นเห็นว่าเย่หยวนมีพลังบ่มเพาะต่ำจึงได้คิดประมาท
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่จะยังมาพูดจาใดๆ กันให้มากความ? ออกมาถึงนอกเมืองพวกเขาทั้งหกก็คงเข้าโจมตีเย่หยวนพร้อมๆ กันไปแล้ว
หยางเคอนั้นหรี่ตาลงอย่างเย็นเยือกก่อนจะร้องสั่ง “โจมตีมันพร้อมกัน ฆ่ามันให้ได้!”
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
หยางเคอนั้นหมดความอดทนลงสิ้น
เขานั้นคิดอยากทรมานเย่หยวนให้ตาย ให้ได้รู้ถึงความเจ็บปวดที่ล้นกาย ให้เขาต้องหวังที่จะได้ตายลงเร็วๆ!
เพราะในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้สิ่งที่น่ากลัวมันมิใช่ความตาย แต่เป็นช่วงก่อนจะตาย
เพราะมันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับร่างกายของพวกเขาจริงๆ กำลังตายลง!
เว้นเสียแต่ว่าความเป็นจริงมันไม่เป็นไปดั่งที่หวัง
เพราะเมื่อได้ปะทะกันเข้าพวกเขาก็ได้เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเย่หยวน!
………………