บทที่ 1236 เอาไปฝึกซะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,236 เอาไปฝึกซะ

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร?

นี่มันคัมภีร์เดียวกับที่อาจารย์ติงเคยให้เขาไว้ไม่ใช่หรือ?

แต่คัมภีร์ที่อาจารย์ติงเคยให้เขาไว้นั้นเป็นคัมภีร์ฉบับไม่สมบูรณ์

เพราะมันมีเพียงเจ็ดกระบวนท่าเท่านั้น

นี่คือคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์?

ย่อมใช่แน่นอน

แค่คัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรฉบับยังไม่สมบูรณ์ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว

เด็กหนุ่มสามารถเอาชนะศัตรูได้มากมายก็เพราะเคล็ดวิชาเล่มนี้

หากเขาได้ครอบครองคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์…

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็เริ่มหายใจติดขัดและตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น

คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะมอบของดีเช่นนี้ให้กับเขา

หลินเป่ยเฉินรับคัมภีร์มาเปิดดูด้วยความกระตือรือร้น

แต่เขากลับพบว่ามันมีเพียงสิบสี่หน้าเท่านั้น

เจ็ดหน้าแรกเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่หนึ่งถึงกระบวนท่ากระบี่ที่เจ็ด

เจ็ดหน้าหลังเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่แปดถึงกระบวนท่ากระบี่ที่สิบสี่

“แล้วอีกสามกระบวนท่าล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความไม่พอใจ “นี่มันคัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงมีเพียงสิบสี่กระบวนท่าล่ะ? เนื้อหาหลังจากนั้นอยู่ที่ใด?”

“ไม่มีเนื้อหาหลังจากนี้อีกแล้ว”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเริ่มเชิดหน้าขึ้นสูงอีกครั้ง ลำคอระหงขาวผ่องของนางแข็งเกร็งด้วยความเคร่งเครียด

นี่คือท่วงท่าที่บอกว่านางไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความมึนงงสับสน

ไม่มีเนื้อหาหลังจากนี้อีกแล้วหรือ?

เชี่ย…!

นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หรือว่าคัมภีร์เล่มนี้ถูกตัดจบ?

หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินมามากมายเกี่ยวกับนักเขียนนิยายออนไลน์ที่ถูกสั่งตัดจบผลงานของตนเอง แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้เขียนคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ถูกสั่งตัดจบเคล็ดวิชาของตนเองมาก่อน

“เจ้าอย่าได้ดูถูกคัมภีร์เล่มนี้เชียว”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา นางสะอึกเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “คัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรคือสุดยอดวิชากระบี่ สำหรับคนธรรมดา ขอเพียงครอบครองคัมภีร์แค่ครึ่งเล่ม ก็จะกลายเป็นสุดยอดมือกระบี่แห่งใต้หล้าแล้ว ในคัมภีร์เล่มนี้มีอยู่ถึงสิบสี่กระบวนท่า เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”

“พูดง่าย ๆ ก็คือท่านมีคัมภีร์อยู่แค่นี้และท่านก็ไม่รู้ว่าคัมภีร์ส่วนที่เหลืออยู่ที่ใด?”

หลินเป่ยเฉินจับใจความคำพูดของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงได้อย่างง่ายดาย

“คัมภีร์เล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหากันได้ง่าย ๆ สักหน่อย”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแลบลิ้นเลียมุมปากพลางจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความขุ่นเคืองใจ “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้าเอาเวลาไปตั้งใจฝึกวิชานี้เถอะ เมื่อเจ้าสามารถฝึกฝนได้ครบทั้งสิบสี่กระบวนท่าแล้ว เจ้าจะต้องชนะการแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่ได้แน่นอน และในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ใดจะสามารถต่อกรกับเจ้าได้อีก”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

เขารู้ว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังพูดเกินจริง

เด็กหนุ่มเปิดคัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรออกอ่าน ก่อนที่หัวคิ้วของเขาจะขมวดมุ่น “ไม่ถูกต้อง”

“ว่าอย่างไรนะ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสอบถามด้วยความสงสัย “มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”

หลินเป่ยเฉินรีบปิดคัมภีร์และตอบว่า “ในเมื่อคัมภีร์เล่มนี้มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เหตุไฉนท่านไม่เก็บเอาไว้ฝึกเองล่ะ?”

เมื่อฝึกฝนได้สำเร็จ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็จะกลายเป็นสุดยอดเทพเจ้าไม่ใช่หรือ?

ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้ฝึกฝนวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นสุดยอดมือกระบี่ไปทันที

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีคัมภีร์เล่มนี้อยู่ในการครอบครอง แต่นางกลับไม่คิดที่จะฝึกฝนเองเนี่ยนะ?

“คัมภีร์เศษสวะเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเชิดหน้าขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “สำหรับข้า จะต้องฝึกวิชาที่สูงส่งมากกว่านี้”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

นางรู้ไหมว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา?

นางเรียกคัมภีร์ที่จะทำให้เขากลายเป็นสุดยอดเทพเจ้าว่าคัมภีร์เศษสวะอย่างนั้นหรือ?

ในสายตาของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง นางมองดินแดนทวยเทพเป็นอะไร?

ลานทิ้งขยะ?

แต่จากการตรวจสอบเนื้อหาเบื้องต้นของกระบวนท่ากระบี่ที่หนึ่งถึงเจ็ด อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็ได้พบว่านี่ไม่ใช่ของปลอม

ส่วนกระบวนท่ากระบี่ที่แปดถึงกระบวนท่ากระบี่ที่สิบสี่นั้น มีเนื้อหาซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ

หากอาศัยสติปัญญาของหลินเป่ยเฉินเพียงลำพัง ต่อให้อ่านมันไปชั่วชีวิต เขาก็ไม่มีทางเข้าใจได้เด็ดขาด

สรุปได้ว่าคัมภีร์เล่มนี้ไม่น่าจะเป็นของปลอม

“คัมภีร์เล่มนี้คงเป็นเทพีกระบี่มอบให้ข้าเป็นของขวัญสินะ?”

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบและเขาก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มด้วยความสะใจ “ดังนั้น ท่านถึงไม่กล้าเก็บมันเอาไว้ฝึกเอง ท่านมีแต่ต้องมอบมันให้กับข้าใช่หรือไม่? อย่าได้คิดปฏิเสธอีกเลย มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตบมือลงไปบนไหสุราที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ หลังจากนั้นก็แสยะยิ้มด้วยความเมามาย “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะดูออกด้วย”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ฮ่า ๆ ท่านจะโกหกใครก็ได้ แต่ท่านไม่สามารถโกหกข้าได้เด็ดขาด”

“ข้าละอายแก่ใจยิ่งนัก โปรดรับการดื่มสุราจอกนี้ของข้าด้วย”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวออกมาอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินเก็บคัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรเข้าใส่อกเสื้ออย่างผู้ชนะ “เอาเถอะ ข้าจะเห็นแก่หน้าท่านก็แล้วกัน… วันนี้เชิญท่านดื่มให้เต็มที่ ข้าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงท่านเอง”

“เถ้าแก่”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกะพริบตาปริบๆ และคำรามเสียงดัง “ขอสุราเพิ่มอีกสิบไห”

“จริงด้วยสิ ทำไมพักนี้ข้าถึงไม่เห็นหน้าเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่เลย?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

“อ้อ นางมีธุระสำคัญต้องไปจัดการน่ะ ช่วงนี้จึงไม่ค่อยมีเวลา” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

พวกเขาร่ำสุรากันได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกสุรากรอกปากแทบตลอดเวลา

หยดน้ำสีใสราวน้ำเชื่อมไหลย้อยลงมาที่มุมปาก ก่อนกลิ้งหยดลงไปที่คอเสื้อ และซึมซับเข้าสู่ชุดชั้นใน ทำให้เสื้อผ้าที่นางสวมใส่แนบชิดติดกับหน้าอก…

ยิ่งตัวเปียกก็ยิ่งดูเย้ายวน?

หลินเป่ยเฉินอดจ้องมองไม่ได้

สุดท้ายเขาก็ตบโต๊ะดังปังและกล่าวว่า “เสียของหมด ท่านดื่มให้มันดี ๆ หน่อยได้หรือไม่?”

ตอนที่อยู่ในชาติภพที่แล้ว คนที่พูดประโยคเดียวกันนี้คือแม่ของเขาที่ดุด่าตอนหลินเป่ยเฉินดื่มนมจากแก้วแล้วมีบางส่วนไหลออกมุมปาก แต่ในโลกแห่งวรยุทธ์และเทพเจ้า ดูเหมือนว่าหากไม่ดื่มสุราให้มูมมามเปรอะเปื้อน ก็จะไม่นับว่าเป็นการดื่มสุราอีกแล้ว…

ไม่ทราบว่าคนพวกนี้สมองเสื่อมกันหมดแล้วหรือไม่?

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก… เอื๊อก”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีอาการสะอึกเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “ต้องดื่มเช่นนี้เท่านั้น จึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งสุรา”

หลินเป่ยเฉินแทบรอไม่ไหวอีกต่อไป “ข้าอยากไปยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเข้าแข่งขันเสียที หากท่านยังนั่งเมามายอยู่เช่นนี้ ข้าจะเข้าไปล่าสัตว์อสูรหาเงินในหุบผาอเวจีแล้วนะ”

“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน นางยกไหสุรากรอกปากจนหยดสุดท้าย ก่อนตะโกนเสียงดังว่า “เถ้าแก่ ข้าขอซื้อสุรากลับบ้านหนึ่งร้อยไห”

หัวคิ้วของหลินเป่ยเฉินขมวดมุ่นทันที

“มากเกินไป”

ให้ตายเถอะ นี่นางอยากจะทำให้เขาล้มละลายหรืออย่างไร?

เถ้าแก่หอสุราได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากล่าวว่า “ร้านของข้าน้อยเหลือสุราอยู่อีกเพียงสิบห้าไหเท่านั้นขอรับ…”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโบกมือเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “เอามาให้หมด”

หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด

แต่ที่นี่คือหอสุราในพื้นที่เขต 3 จะอย่างไรราคาของมันก็ไม่แพงเกินไปนัก

เมื่อจ่ายค่าสุราเป็นคะแนนศรัทธาหนึ่งหมื่นแต้ม ทั้งสองคนก็ก้าวเดินออกมา

สถานที่ยืนยันตัวตนสำหรับการลงทะเบียนเข้าแข่งขันตั้งอยู่ที่วิหารเจ็ดเทพสงคราม

ขั้นตอนการยืนยันตัวตนไม่มีสิ่งใดซับซ้อน

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างเป็นทางการ

หลังจากนี้ เขาก็ทำได้เพียงรอคอยให้การแข่งขันรอบแรกมาถึงเท่านั้น

“ข้ามีคำถามที่อยากจะถามท่านมาตลอด”

ระหว่างทางกลับ หลินเป่ยเฉินก็อดถามออกมาไม่ได้ “ในเมื่อท่านมีฐานะยากจน ทำไมถึงไม่เข้าไปล่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจี ที่นั่นท่านจะสามารถทำเงินได้มากมาย ไม่ต้องมาเที่ยวหลอกลวงผู้อื่นอยู่เช่นนี้”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะเหอะ ๆ ตอบกลับมาว่า “ข้าเป็นถึงเทพเจ้าผู้สูงส่ง จะไปทำเรื่องต่ำทรามหยาบช้าเช่นนั้นได้อย่างไร… อีกอย่าง ที่นั่นมีแต่อันตรายและก็น่าเบื่อมากด้วย”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

นี่สินะที่มาของความยากจนของนาง?

เหตุผลที่แท้จริงของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็คือนางขี้เกียจมากเกินไปนั่นเอง

เมื่อนัดแนะเวลาพบกันครั้งต่อไปเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็แยกทางกัน

หลินเป่ยเฉินรีบตรงดิ่งไปที่สถานีขนส่งของหุบผาอเวจีแดน 6 และตั้งหน้าตั้งตาหาเงินอีกครั้ง

เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือเขาต้องการลับฝีมือของตนเอง

แต่เหตุผลหลักนั้น ยังคงเป็นการที่หลินเป่ยเฉินต้องการเก็บสะสมคะแนนศรัทธาให้ครบหนึ่งพันล้านแต้ม เพื่อที่เขาจะได้ซื้อโอสถหัวใจพฤกษากลับไปรักษาโฉมหน้าที่เสียหายของเยว่หงเซียงตามคำสัญญา

เพราะมันคือเรื่องสำคัญสำหรับเขาอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกันนี้

พื้นที่ตอนกลางของเมืองเยี่ยเฉิง

“หายตัวไปอย่างนั้นหรือ?”

ในวิหารประจำตัวผู้ติดตามของใต้เท้าเหลียน หัวหน้านักเวทเซวียนหมิงเงยหน้าขึ้นมากล่าวถามว่า “หมายความว่าอย่างไร หายตัวไป? หลินเฟิงอี้กับผู้ติดตามทั้งสี่คนของเขา นอกจากทำภารกิจไม่สำเร็จยังหายตัวไปอีกด้วย มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”

ที่ด้านตรงข้าม

นักเวทผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำขลิบทองคุกเข่าอยู่บนพื้นหิน ส่งเสียงรายงานด้วยความเคารพว่า “พวกเราค้นหาทุกสถานที่ที่หลินเฟิงอี้น่าจะไปหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่พบเจอเบาะแสแม้แต่น้อยขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว”

ดวงตาสีดำแดงของเซวียนหมิงเป็นประกายวาวโรจน์ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “มีเทพเจ้าระดับสูงบางคนกำจัดพวกเขาทิ้งไปแล้ว”

“นายท่านฉลาดยิ่งนัก”

นักเวทที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกล่าวชื่นชม

เซวียนหมิงพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าหลินเฟิงอี้จะตายแล้วหรือไม่ ที่สำคัญก็คือเราต้องนำตัวเด็กน้อยผู้นั้นมาให้ได้… พวกเจ้าพบเบาะแสบ้างหรือไม่?”

นักเวทที่คุกเข่าอยู่บนพื้นหินกล่าวตอบว่า “หลินเฟิงอี้มีความละโมบโลภมากเกินไป เขาตั้งใจจะเก็บของรางวัลไว้เพียงตัวคนเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเปิดเผยข้อมูลของเด็กน้อยให้ผู้ใดรับทราบเลยขอรับ บัดนี้จึงไม่มีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนาง เราจำเป็นต้องใช้เวลาสืบสวนเรื่องราวนี้ทั้งหมด อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน เพราะมีหลายสถานที่ที่เด็กน้อยผู้นั้นอาจจะไปอยู่ขอรับ”