บทที่ 1240 หุบเขามรณะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,240 หุบเขามรณะ

พื้นที่เขต 3 แดนตะวันตกเฉียงเหนือ

วิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98

สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตก็คือ บรรดาผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกวิหารประจำวันนี้ ต่างก็มาเพื่อรับชมความสนุกสนานแทบทั้งสิ้น

ด้านในวิหารประกอบไปด้วยพวกของหลินเป่ยเฉิน นักบวชสาวเซียงเหยียน รวมไปถึงบรรดาผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้อาณัติของวิหารเทพพงไพร

หัวหน้านักบวชสูงสุดประจำวิหารสาขาที่ 98 ถึงกับต้องปรากฏตัวออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง

หญิงชราผู้นี้มีตำแหน่งสูงส่งมากกว่านักบวชสาวเซียงเหยียน

และเนื่องจากนี่เป็นเพียงการคัดตัวด่านแรกเท่านั้น มันจึงไม่ได้มีพิธีการเปิดใหญ่โตอย่างที่หลินเป่ยเฉินจินตนาการเอาไว้ ไม่มีการปรากฏตัวของบรรดาคนใหญ่คนโต ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตมากที่สุดก็คือหัวหน้านักบวชสูงสุดซึ่งเป็นหญิงชราผมขาวท่าทางสุขภาพอ่อนแอผู้หนึ่ง เพียงพูดกล่าวเปิดงานได้ไม่กี่ประโยค นางก็ทำท่าจะก้าวลงจากเวทีและพิธีการก็กำลังจะต้องเสร็จสิ้นลงไปโดยปริยาย

“พวกท่านทั้งยี่สิบคนคือตัวแทนของวิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98 ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะรอดชีวิตกลับออกมา และต้องอย่าลืมว่ายังคงมีญาติพี่น้องรอคอยการกลับมาของพวกท่าน”

นี่คือประโยคที่ท่านหัวหน้านักบวชสูงสุดเน้นย้ำเป็นพิเศษ

หลินเป่ยเฉินแอบพึมพำกับตัวเองในใจว่า ‘ทำไมยายแกพูดเป็นลางแบบนี้วะ การแข่งขันมันอันตรายขนาดนั้นเลยหรือไง?’

นักบวชสาวเซียงเหยียนมีสีหน้าสงบสุขุม

ผู้เข้าแข่งขันอีกสิบเก้าคน เป็นบุรุษสิบคน และเป็นสตรีเก้าคน ทุกคนต่างก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แตกต่างกันไป อย่างเช่นหลินเป่ยเฉินที่สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า หลายคนก็สวมใส่หน้ากากเช่นกัน บางคนก็เป็นชายชราผมขาวโพลน บางคนก็เป็นเพียงเด็กรุ่นเยาว์อายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนมีความสุข บางคนเงียบขรึม บางคนหวาดกลัว บางคนกระตือรือร้น…

ผสมผสานมากมาย

ทันใดนั้น

ร่างของหญิงชราก็ระเบิดแสงสว่างเป็นประกายเจิดจ้า

เช่นเดียวกับบรรดารูปปั้นที่ตั้งอยู่ด้านนอกวิหารก็ระเบิดแสงสว่างออกมาเช่นกัน

บรรดาสาวกที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกต่างก็ถูกอาบไล้ด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพียงเท่านี้ อาการป่วยไข้ในร่างกายก็สลายหายไป พลเมืองในดินแดนทวยเทพพบเห็นการแสดงปาฏิหาริย์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งแตกต่างจากผู้คนในแผ่นดินตงเต้า ที่หากมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เข้า ก็คงตกตะลึงจนหัวใจแทบวายตายแล้ว…

ด้านในวิหาร ประตูมิติสีดำทมิฬปรากฏขึ้นในอากาศเป็นรูปทรงกลม

“เชิญทุกท่านเข้าไปได้”

เสียงของท่านหัวหน้านักบวชสูงสุดก้องกังวานอยู่ในหูของผู้เข้าแข่งขันทุกคน

นักบวชสาวเซียงเหยียนหันมาชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินและกระซิบว่า “ระมัดระวังตัวด้วย”

พูดจบ หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันก็เริ่มก้าวเดินเข้าสู่ประตูมิติบานนั้น

คนอื่น ๆ เดินตามเข้าไป

หลินเป่ยเฉินตรวจสอบอุปกรณ์ของตนเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในประตูมิติเช่นกัน

ขณะนี้ เขาเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่ากงกงจะสามารถติดตามเข้าไปผ่านการซ่อนตัวอยู่ในเงาของเขาได้หรือไม่?

ฟู่!

ได้ยินเสียงการทำงานของประตูมิติดังขึ้นข้างใบหู

แต่นอกจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดอีก

ดูเหมือนประตูมิติจะไม่สามารถตรวจพบว่ากงกงกำลังซ่อนตัวอยู่ในเงาของเขา

ให้ตายเถอะ

คัมภีร์ของหวังจงนี่ร้ายกาจจริง ๆ

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ดวงตาลุกวาว

เขาพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยทะเลทรายสีเหลืองอ่อน

“ผู้เข้าแข่งขันเจี๋ยนเซียวเหยา สำหรับการแข่งขันรอบแรก ท่านถูกเลือกให้มาทำภารกิจในหุบเขามรณะ ซึ่งภารกิจของท่านก็คือมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ครบกำหนดสิบชั่วยาม หากท่านสามารถมีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนั้น ก็จะถือว่าผ่านการคัดตัวรอบแรกได้สำเร็จ”

เสียงพูดดังออกมาจากป้ายประจำตัวในมือของหลินเป่ยเฉิน

หืม?

นี่มันเกมเอาตัวรอดหรือไงเนี่ย?

หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าต้องมีผู้เข้าแข่งขันเสียชีวิตแน่ ๆ

อีกอย่าง ชื่อหุบเขามรณะก็ฟังดูไม่เป็นมงคลสักเท่าไหร่

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว

เขาไม่เห็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ที่เดินทางมาจากประตูมิติของวิหารสาขาที่ 98 เลยสักคน

สิ่งที่เด็กหนุ่มพบเจอ มีเพียงแต่สายลมที่กรีดตัวดังหวีดหวิวกับเนินทรายสีเหลืองอ่อนเท่านั้น

สายลมพัดเม็ดทรายปลิวกระจาย เผยให้เห็นโครงกระดูกสีขาวโพลนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นทราย

ล้วนแต่เป็นกระดูกของสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิด

สองข้างฝั่งของหุบเขายังคงเป็นทะเลทราย ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีเพียงก้อนหินใหญ่ที่ถูกฝังอยู่ในกองทรายและโผล่พ้นขึ้นมาราวกับเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าก้อนหินที่ถูกฝังอยู่ด้านล่างนั้นจะมีขนาดใหญ่โตเพียงใด

สภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

บนท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์

แต่ที่นี่กลับไม่ได้มืดมิด

ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะซ่อนตัวอยู่หลังเนินทรายที่สูงชัน

หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังปราณธาตุในร่างกาย

เขาสามารถใช้พลังได้โดยไม่มีปัญหา

และนับตั้งแต่ที่เขาเป็นลูกศิษย์ของเทพีกระบี่อย่างเป็นทางการ ระดับพลังจิตและพลังศักดิ์สิทธิ์ของหลินเป่ยเฉินก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

หลินเป่ยเฉินย่อตัวลงเล็กน้อย อาศัยพละกำลังของตนเอง กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ฝั่งขวามือของหุบเขา

เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัว

ทะเลทรายแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ในคลองสายตาของหลินเป่ยเฉินมีเพียงก้อนหินรูปร่างแปลกประหลาด เนินทราย และผิวทรายที่เคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น…

เขาสามารถมองเห็นซากปรักหักพังของบ้านเรือนผู้คนอยู่ห่างไกลออกไป

ดูเหมือนว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองบางส่วน แต่โชคร้ายที่มันกลับกลายเป็นดินแดนรกร้างไปเสียแล้ว

“ในเมื่อนี่เป็นเกมเอาตัวรอด งั้นเดี๋ยวก็ต้องมีอันตรายโผล่มาแน่ ๆ”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและสำรวจมองรอบกายอย่างระมัดระวัง

อันตรายจะมาจากที่ใดได้บ้าง?

จังหวะที่เด็กหนุ่มใช้ความคิดถึงตรงนี้ สายลมก็พัดพามาเป่าพื้นทรายที่อยู่ใต้เท้าของเขา และในจังหวะที่เม็ดทรายฟุ้งกระจายออกไป ลำแสงสีแดงดำสายหนึ่งก็ถูกยิงเข้าใส่จากทางด้านหลังศีรษะของเขา

หลินเป่ยเฉินระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงหมุนตัวกลับไปและใช้มือคว้าจับลำแสงนั้นได้ทันเวลา

ปรากฏว่าเป็นหางของแมงป่องยักษ์!

สิ่งที่อยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินขณะนี้คือหางแมงป่องที่แทงทะลุขึ้นมาจากใต้พื้นทรายอย่างไม่มีสัญญาณเตือน

ก่อนที่ก้ามของแมงป่องจะพุ่งทะลวงขึ้นมาโจมตีเข้าใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด พร้อมกับร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ของมันที่ปรากฏขึ้นมาจากใต้พื้นดิน

เสียงคำรามของแมงป่องยักษ์ก็เพียงพอที่จะสั่นสะท้านขวัญกำลังใจผู้คน

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามและขยับแขนขวา

แมงป่องยักษ์ถูกหมุนเป็นใบพัดกังหันลม ไม่สามารถโจมตีเขาได้อีก

พรวด!

ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกพ่นออกมาในอากาศ

กลิ่นเหม็นคาวฟุ้งกระจาย

ปรากฏว่าหางแมงป่องขาดแล้ว มันลอยกระเด็นไปไกลหลายสิบวา จากนั้นก็กระแทกเข้ากับเนินทรายขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง หางแมงป่องยักษ์พ่นของเหลวออกมาเป็นละอองเหม็นคาว และละอองเหล่านั้นก็บรรจุพิษอยู่ไม่น้อย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที

โดยไม่ลังเล เขาหยิบยาถอนพิษตรายินเคียวโกยตั๊กเพี่ยงออกมาอมไว้ใต้ลิ้น

รสชาติขมฝาดของเม็ดยาส่งคลื่นพลังผ่านลิ้นของเขาจนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วอาการเวียนหัวคลื่นไส้ของเด็กหนุ่มก็หายไปทันที

แต่เจ้าแมงป่องยักษ์ก็อาศัยจังหวะที่สลัดหางทิ้งเอาตัวรอดมุดหายลงไปใต้พื้นทราย ไม่ต่างจากมัจฉาดำดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทร

“ดูเหมือนแมงป่องตัวนี้จะชำนาญด้านการมุดดินสินะ?”

หากใช้พลังปราณธาตุดิน หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถดำดินได้เช่นกัน และรูปแบบการดำดินของแมงป่องยักษ์ตัวนี้ ก็คล้ายคลึงกับเขาตอนที่ใช้พลังปราณธาตุดินเป็นอย่างยิ่ง

เด็กหนุ่มจ้องมองหางแมงป่องยักษ์ที่ขาดครึ่งอยู่ในมือของตนเองก็อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้

อันตรายที่เขากำลังหวาดกลัวมาจากแมงป่องยักษ์ที่ซ่อนอยู่ใต้ดินเช่นนี้เองหรือ?

ไม่น่าใช่

น่าจะต้องมีอะไรมากกว่านี้ซ่อนอยู่แน่ ๆ

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ตัวว่าเขาประมาทมากเกินไป

เพราะว่าในทะเลทรายที่ห่างไกลออกไปนั้น เขาจึงมองเห็นแล้วว่าท่ามกลางเนินทรายที่ถูกสายลมพัดพากลายเป็นระลอกคลื่น ปรากฏแมงป่องยักษ์สีแดงดำจำนวนหลายร้อยตัวกำลังออกหาอาหาร

นี่คือฝูงแมงป่องขนาดใหญ่

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

เท่าที่เขาจำได้ แมงป่องไม่ใช่สัตว์สังคม

แต่แมงป่องยักษ์ที่มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันแตกต่างจากทฤษฎีที่เขาเคยได้ยินมา เรียกว่ารวมตัวกันเป็นกองทัพก็คงไม่ผิด

เสียงขู่คำรามของฝูงแมงป่องยักษ์ลอยตามสายลมมาเข้าหูของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มรีบเปิดแอปความรู้คู่ปัญญาเพื่อหาข้อมูลทันที

หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้นสุดขีด