บทที่ 1242 รับผู้ติดตาม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,242 รับผู้ติดตาม

“สำหรับผู้เข้าแข่งขันทั่วไปจะไม่สามารถมาด้วยกันได้หรอกขอรับ แต่หากคุณชายมีเส้นสายอยู่ในสภาเทพเจ้า… เช่นนั้นทุกอย่างก็เป็นไปได้แล้ว”

นายน้อยกล่าวตอบออกมาอย่างไม่ลังเล “คุณชายต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นโดยกลุ่มสภาเทพเจ้า พวกเขาเป็นคนออกกฎ และย่อมเป็นพวกเขาเองที่สามารถละเว้นกฎได้เช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินรับฟังและไม่พูดอะไร

เฮ้อ

เทพเจ้าพวกนี้เชื่อใจไม่ได้จริง ๆ

ทำตัวคอรัปชันเหมือนพวกนักการเมืองในโลกมนุษย์ใบเก่าของเขาเลย

ไม่ว่าจะเป็นในโลกไหน ผู้มีอำนาจก็พร้อมที่จะคดโกงได้ทุกเมื่อ

“ตราบใดที่รู้จักคนในสภาเทพเจ้า ก็จะสามารถละเมิดกฎการแข่งขันได้อย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนมาเป็นการสื่อสารผ่านทางกล่องข้อความและถามต่อไป

นายน้อยยิ้มแย้มประจบประแจง “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ แต่ต้องเป็นเทพเจ้าระดับสูงในสภาเทพเจ้าเท่านั้น เพราะเทพเจ้าทั่วไปไม่สามารถทำได้เด็ดขาด”

นี่มันโกงกินกันจากเบื้องบนเลยนี่หว่า

ดินแดนทวยเทพเน่าเฟะมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก

หลินเป่ยเฉินได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกผู้เข้าแข่งขันที่เป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตในดินแดนทวยเทพก็มีความได้เปรียบกว่าผู้อื่นน่ะสิ?

อย่าง ‘นายน้อย’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ก็สามารถมาปรากฏตัวในหุบเขามรณะได้พร้อมกับองครักษ์ถึงสี่คน

ทั้ง ๆ ที่กฎได้กำหนดเอาไว้ว่า ผู้เข้าแข่งขันจะถูกส่งมาแต่ละตำแหน่งเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันการผนึกกำลังช่วยเหลือให้ใครคนใดคนหนึ่งสามารถทำคะแนนได้มากเป็นพิเศษ

หลินเป่ยเฉินก็คือผู้เล่นธรรมดาที่ต้องทำตามกฎ

“เจ้าติดต่อเส้นสายของเจ้าได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินถามผ่านกล่องข้อความที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง

“คือว่าเรื่องนี้… ทางตระกูลของข้าน้อยเป็นคนจัดการให้ ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”

นายน้อยยังคงอธิบายด้วยความคล่องแคล่ว

แต่เมื่อเห็นแววตาอำมหิตของหลินเป่ยเฉิน จิตใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น เขารีบพูดสิ่งที่ตนเองรู้ออกมาทั้งหมด “ตระกูลของข้าน้อยติดต่อหนึ่งในเทพเจ้าระดับสูงของเผ่าเทพอัคคีขอรับ เผ่าเทพอัคคีถือเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพสงคราม แต่ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ ว่าเทพเจ้าผู้นั้นคือใคร…”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินถลึงตาจ้องมอง

ตุบ!

นายน้อยคุกเข่าลงไปกับพื้นดิน

“ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ ขอรับ”

“เรื่องราวครั้งนี้เป็นผู้ใหญ่ในตระกูลของข้าน้อยจัดการให้ทั้งหมด ข้าน้อยจึงไม่รับทราบรายละเอียดปลีกย่อย…”

“ความจริงข้าน้อยไม่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วยซ้ำ มันน่าเบื่อและอันตรายเกินไป ข้าน้อยอยากจะมีชีวิตสุขสบายร่ำสุราเคล้านารีไปจนวันตายเท่านั้น”

“ในชีวิตของข้าน้อย ข้าน้อยเคยแต่รังแกผู้อื่น ไม่เคยถูกผู้อื่นรังแกมาก่อน…”

นายน้อยอธิบายละล่ำละลัก

หลินเป่ยเฉินรับฟังดังนั้นก็ก้มหน้าจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม

ชื่นชมที่ ‘นายน้อย’ ผู้นี้พูดความจริง

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าในดินแดนทวยเทพอันสูงส่ง จะมีเทพเจ้าเศษสวะนิสัยเหลวแหลกเช่นเดียวกับเขาอยู่ด้วย

“ไสหัวไปซะ”

หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่

ด้วยกิริยาท่าทางที่เจียมตัวเจียมตนของ ‘นายน้อย’ หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกฆ่าหมอนี่ไม่ลงอีกแล้ว

“ขอบคุณคุณชายผู้สูงส่งมากขอรับ”

ชายหนุ่มผู้เป็นนายน้อยรีบลุกขึ้นและหมุนตัววิ่งหนีไปพร้อมกับองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงสองคน

ฝีเท้ารวดเร็วยิ่งกว่ากระต่ายป่าเสียอีก

ส่วนหลินเป่ยเฉินก็หันมาเก็บซากแมงป่องทะเลทรายพิษเขียวต่อ…

สัตว์อสูรสายพันธุ์นี้มีร่างกายใหญ่โตมากเกินไป ต่อให้จัดเก็บเข้าในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ อย่างน้อยก็ต้องจัดวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะอัปโหลด หลินเป่ยเฉินสามารถฆ่าแมงป่องทะเลทรายได้ถึงสามร้อยตัว เพียงเท่านี้ เขาก็แทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว

เมื่อจัดเรียงซากแมงป่องทะเลทรายเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ไล่ความปวดเมื่อยตามร่างกาย

วูบ! วูบ! วูบ!

ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาร่างสามสายทิ้งตัวลงมาอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง

เป็นพวกของนายน้อยตระกูลใหญ่พร้อมกับองครักษ์ที่เพิ่งวิ่งหนีไปเมื่อสักครู่นี้นี่เอง

หืม?

เจ้าพวกนี้จะกลับมารนหาที่ตายทำไมอีก?

จิตสังหารของหลินเป่ยเฉินเริ่มกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้น นายน้อยกลับยิ้มร่าและค้อมศีรษะให้เขาด้วยความเคารพ “กราบเรียนคุณชายผู้สูงส่ง อย่าเพิ่งเข้าใจข้าน้อยผิดไป ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าน้อยเพียงชื่นชมในความแข็งแกร่งของท่าน ข้าน้อยและองครักษ์ปรารถนาที่จะเป็นผู้ติดตามของคุณชาย พวกของข้าน้อยยินดีรับใช้แบกหามสิ่งของช่วยงานคุณชายขอรับ…”

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่งด้วยความไม่อยากเชื่อ

บุรุษหนุ่มทั้งสามคนนี้มีปัญหาทางสมองหรืออย่างไร?

หลินเป่ยเฉินสังหารองครักษ์ของนายน้อยผู้นี้ไปถึงสองคน แต่หมอนี่กลับตีหน้าซื่ออยากจะมาติดตามเขาเนี่ยนะ?

“ไสหัวไปซะ”

หลินเป่ยเฉินพูดอย่างไม่มีเยื่อใย

เขาไม่อยากมาเสียเวลากับพวกกลุ่มคนไร้สาระเช่นนี้

นายน้อยเอาแต่ก้มศีรษะน้อมคำนับและขอร้องต่อไป “กราบเรียนคุณชายผู้สูงส่ง ข้าน้อยต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็นผู้ติดตามของท่าน แต่ได้โปรดเชื่อมั่นเถิดว่าต่อให้เป็นมดปลวกสักตัวหนึ่ง มันก็ยังมีประโยชน์อย่างที่ท่านคิดไม่ถึง คุณชายต้องอย่าลืมว่าข้าน้อยมาจากตระกูลใหญ่… ข้าน้อยทราบดีว่าในการแข่งขันครั้งนี้ ตนเองได้รับอภิสิทธิ์ใดบ้าง และข้าน้อยก็ทราบเช่นกันว่าบรรดาลูกท่านหลานเธอจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ ก็ได้สิทธิพิเศษใดบ้างเช่นกัน หากคุณชายให้ข้าน้อยติดตามอยู่ข้างกาย ข้าน้อยก็จะสามารถช่วยไขข้อสงสัยให้แก่คุณชายได้แน่นอน และข้าน้อยก็ไม่ต้องการส่วนแบ่งจากคุณชายเลยขอรับ…”

หลินเป่ยเฉินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาเฉยชา

สายตาที่เขาใช้จ้องมอง ‘นายน้อย’ ผู้นี้ เป็นสายตาที่ใช้จ้องมองตัวโง่งมผู้หนึ่ง หลินเป่ยเฉินสื่อสารผ่านทางกล่องข้อความอีกครั้งว่า ‘สรุปเจ้าพยายามจะบอกอะไรกันแน่?’

“สัญชาตญาณของข้าน้อยบอกว่าหากคุณชายอนุญาตให้ข้าน้อยคอยติดตาม ข้าน้อยก็จะช่วยเหลือให้คุณชายสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็นได้ขอรับ”

บุรุษหนุ่มผู้เป็นนายน้อยรีบตอบออกมาเร็วไว

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเลื่อนกระบังหมวกเหล็กของตนเองลง

เขากวาดสายตามองไปที่กองซากแมงป่องทะเลทรายที่อยู่เบื้องหน้าจำนวนมาก ก่อนจะหันมาจ้องมองกลุ่มของนายน้อยและองครักษ์ทั้งสามคน ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าการมีลูกสมุนคอยช่วยเก็บกวาดสัตว์อสูรเหล่านี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเวลาให้เขาได้อีกมาก

‘เจ้าชื่ออะไร?’

หลินเป่ยเฉินถามผ่านกล่องข้อความ

“ข้าน้อยชื่อเฉียนหลง”

เมื่อนายน้อยเริ่มเห็นท่าทีของหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนไป แววตาก็เป็นประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง เขารีบพูดชื่อของตนเองออกมาโดยไม่อิดออด

หลังจากหยุดไปเล็กน้อย เฉียนหลงก็รีบกล่าวเสริมว่า “ตระกูลเฉียนของข้าน้อยเป็นผู้ติดตามของหนึ่งในเจ็ดเทพสงคราม มีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปี และข้าน้อยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหัวหน้าตระกูลรุ่นปัจจุบัน… ข้าน้อยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเยี่ยเฉิง คุณชายรับข้าน้อยไว้เป็นผู้ติดตาม ข้าน้อยย่อมสามารถจัดการปัญหาจุกจิกกวนใจให้แก่คุณชายได้อย่างแน่นอนขอรับ”

หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลเฉียนบนดินแดนทวยเทพมาก่อน

แต่เขาก็ตัดสินใจรับหมอนี่ไว้เป็นผู้ติดตาม

เพราะถึงอย่างไร เขาก็ขาดกำลังคนอยู่แล้ว

“ประเสริฐ พวกเจ้าเห็นซากแมงป่องทะเลทรายเหล่านี้หรือไม่?”

เมื่อหลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เด็กหนุ่มออกคำสั่งด้วยการพูดว่า “ใช้วัตถุเก็บของวิเศษของพวกเจ้า เก็บซากแมงป่องทะเลทรายเหล่านี้ให้หมด เมื่อเก็บเสร็จเรียบร้อย ข้าจะแบ่งพวกมันให้เป็นของรางวัล”

“คุณชายกำลังดูถูกข้าน้อย”

เฉียนหลงอยู่ดี ๆ ก็ทำสีหน้าไม่พอใจและพูดด้วยความขุ่นเคือง “ข้าน้อยรับใช้คุณชายโดยไม่หวังใดสิ่งตอบแทน คุณชายจะแบ่งพวกมันมาเป็นของรางวัลให้พวกเราได้อย่างไร? หวังจ้าน เสี่ยวป๋อ พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ รีบเก็บซากแมงป่องได้แล้ว”

ทันใดนั้น องครักษ์ทั้งสองของเฉียนหลงก็เริ่มเดินเก็บซากแมงป่องทะเลทรายพิษเขียวด้วยความขยันขันแข็ง

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

นี่ทั้งสามคนเชื่อฟังเขาขนาดนี้เชียวหรือ?

เชื่อฟังคำสั่งดีกว่าหวังจงซะอีก

ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย

ซากไร้ชีวิตของแมงป่องทะเลทรายหลายร้อยตัวเหล่านั้นก็ถูกบรรจุอยู่ในถุงใส่ของวิเศษสีทองคำซึ่งอยู่ในมือของเฉียนหลง

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ

บัดนี้ เขาเข้ามาอยู่ในหุบเขามรณะได้เพียงหนึ่งชั่วยาม

หลินเป่ยเฉินยังคงต้องรอคอยอีกเก้าชั่วยามกว่าจะครบกำหนดทำภารกิจ

หุบเขามรณะมีสัตว์อสูรมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์…

นอกจากมีแมงป่องทะเลทรายพิษเขียวแล้ว ที่นี่ยังมีแมงมุมทะเลทราย กิ้งก่าทะเลทราย จิ้งจอกทะเลทราย และสัตว์อสูรระดับเจ็ดชนิดอื่น ๆ จากหุบผาอเวจี ซึ่งแต่ละตัวมีพลังต่อสู้น่าเกรงขาม สะเทือนขวัญจิตวิญญาณผู้คน ยากต่อการรับมือเป็นอย่างยิ่ง

และจากข้อมูลของเฉียนหลง หลินเป่ยเฉินก็ได้เรียนรู้ว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในหุบเขามรณะแห่งนี้ ต่างก็ถูกจับตัวออกมาจากหุบผาอเวจี เพื่อการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะ

นอกจากหุบเขามรณะ ก็ยังมีอีกเก้าสถานที่ซึ่งใช้จัดการแข่งขันรอบแรก

ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะถูกส่งผ่านประตูมิติไปยังสถานที่แข่งขันเหล่านั้นแบบเดาสุ่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตนเองจะถูกส่งไปที่ใด แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนต้องเอาตัวรอดให้ครบกำหนดระยะเวลาสำหรับการทำภารกิจ

และจากสถิติที่ตระกูลเฉียนบันทึกเอาไว้ เพียงอัตราการเสียชีวิตของผู้เข้าแข่งขันในรอบแรกก็มีสูงถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว กล่าวคือครึ่งหนึ่งของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดจะไม่สามารถกลับออกไปได้อย่างมีชีวิต

โดยเฉพาะบรรดาผู้เข้าแข่งขันตัวคนเดียวที่ไร้อำนาจไร้พวกพ้อง ต่างก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต

โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรม

และเฉียนหลงก็ตกตะลึงในความสามารถของหลินเป่ยเฉิน

ยามใดที่เผชิญหน้ากับสัตว์อสูร ไม่ว่าพวกมันจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม หลินเป่ยเฉินก็สามารถค้นพบจุดอ่อนของพวกมันได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรผู้ร้ายกาจเหล่านั้นได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว

หลินเป่ยเฉินเดินเฉิดฉายราวกับหุบเขามรณะเป็นบ้านของตนเอง

“ช่างเก่งกาจอะไรเยี่ยงนี้”

เฉียนหลงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้จริง ๆ ต่อให้เป็นเทพเจ้าระดับสูงมาอยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีทางที่จะจัดการสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ง่ายดายเช่นเด็กหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเกราะสีดำคนนี้เลย

เฉียนหลงสาบานว่าตนเองจะทำตัวเป็นผู้เรียนรู้ที่ดี

เขาจะต้องเกาะขาทองคำของเด็กหนุ่มผู้นี้โดยไม่ยอมปล่อย

ในที่สุด เมื่อใกล้ครบกำหนดเก้าชั่วยามที่เหลืออยู่ พวกของหลินเป่ยเฉินก็ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหุบเขามรณะ

ทุก ๆ เขตแดนที่จัดการแข่งขัน จะมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดปรากฏตัวออกมาเป็นตัวสุดท้ายเสมอ

พวกมันคือสัตว์อสูรที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

และสัตว์อสูรที่หลินเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้าอยู่นี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์