ตอนที่ 2573

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,573 : สระกำเนิดเซียนอมตะ

 

 

สวรรค์หรือระนาบเทวโลกนั้น กล่าวไปก็เป็นเพียงคำเรียกหาเท่านั้น…

 

ในมหาสหัสโลกธาตุ มีระนาบเทวโลกหรือแดนสวรรค์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 81 แดน

 

ในขณะเดียวกันภายในมหาสหัสโลกธาตุนั้น เหล่าระนาบโลกียะจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ได้ห้อมล้อมระนาบเทวโลกเอาไว้ประหนึ่งดาวล้อมเดือน ทำให้ระนาบเทวโลกทั้ง 81 ระนาบเปรียบได้ดั่งจักรพรรดิที่มีข้าราชบริพารรายล้อม…

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถท่องทะยานขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้นั้น ไม่ว่าจะครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ดี หรือเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ก็ดี เมื่อสามารถท่องทะยานขึ้นมาได้ล้วนจะขึ้นมาสู่ระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้ที่สุด!

 

ตัวอย่างเช่นระนาบเหยียนหวง ด้วยความที่มันอยู่ใกล้กับระนาบอวี้หวงเทียนที่สุด เช่นนั้นครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ในระนาบเหยียนหวง พอถึงกาลขึ้นสู่ระนาบเทวโลกก็จะมาปรากฏในระนาบอวี้หวงเทียน!

 

อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรแน่นอน

 

เมื่อบังเกิดความปั่นป่วนขึ้นในมหาสหัสโลกธาตุ ช่องว่างมิติระหว่างระนาบเทวโลกและระนาบโลกียะที่อยู่ใกล้ๆกันก็จะเกิดความแปรปรวนผันผวนไปด้วย…

 

ในช่วงเวลาดังกล่าวใครก็ตามในระนาบโลกียะที่ทะยานขึ้นสู่ระนาบเทวโลก ก็ไม่แน่ว่าจะได้ไปปรากฏตัวในระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้เคียงอีกต่อไป

 

เป็นธรรมดาว่าความปั่นป่วนที่ว่า ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในมหาสหัสโลกธาตุ

 

ทุกๆรอบหมื่นปีจะบังเกิดความปั่นป่วนเกิดขึ้น และความปั่นป่วนดังกล่าวจะดำรงอยู่ราวๆพันปี

(เคยลงไว้ว่าล้านปี แต่ดูเหมือนผมจะดูผิด มันว่านเหนียนเฉยๆ ไม่ใช่ไปว่านเหนียน,ร้อยหมื่นปี)

 

กล่าวได้ว่า…

 

โอกาสที่จะพบกับความผันผวนของมหาสหัสโลกธาตุได้นั้น มีเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น

 

 

ต้องกล่าวได้ว่าต้วนหลิงเทียนโชคดีอยู่บ้าง

 

ความผันผวนของห้วงมิติในรอบหมื่นปีที่จะคงอยู่ต่อไปพันปีของมหาสหัสโลกธาตุนั้น พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ทันถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ!

 

ดังนั้นการขึ้นสู่ระนาบเทวโลกของต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้โผล่ขึ้นไปยังอวี้หวงเทียน…

 

และในระหว่างที่ถูกพลังเซียนอมตะชักนำขึ้นสวรรค์ฉุดดึงออกจากระนาบโลกียะเพื่อไปยังระนาบเทวโลกนั้น สติของต้วนหลิงเทียนก็ดับไปตลอดทาง ไม่ทราบเลยว่าระหว่างทางได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

พอเขากลับมามีสติอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองได้อยู่ในสระน้ำแห่งหนึ่งที่มีไอหมอกขาวตลบอบอวลเสียแล้ว

 

‘ที่นี่คือ…’

 

หลังได้สติต้วนหลิงเทียนก็รีบหันมองไปรอบๆทันที และพบว่าสระน้ำที่เขาอยู่นั้น มีขนาดใหญ่โตพอๆกับสนามฟุตบอลในโลกเก่าของเขา

 

ยิ่งไปกว่านั้น ห่างไปจากเขาไม่ไกลก็มีร่างที่ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นทีละคนๆ

 

หลังจากที่ร่างทั้งหลายปรากฏตัว ทั้งหมดก็อยู่ในสภาพหลับตาราวกับสลบไสลอยู่…

 

นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังพบว่ามีบางคนที่ยืนหลับตาอยู่ ค่อยๆลืมตาขึ้นและหันไปมองรอบๆเหมือนเขา และบางคนก็คล้ายจะลืมตาขึ้นมาแต่แรกแล้ว

 

“ที่นี่คือ…ระนาบเทวโลกงั้นรึ!?”

 

“ฮ่าๆๆๆ…ข้าขึ้นมาแล้ว! ในที่สุดข้าก็ขึ้นมาถึงระนาบเทวโลกแล้ว!!”

 

“นี่น่ะหรือขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์ ช่างแตกต่างจากก่อนหน้าลิบลับ…พลังเซียนต้นกำเนิดที่ผสมปนเปกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าก่อนหน้า ตอนนี้ได้กลับกลายเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ ทั้งยังบริสุทธิ์และทรงพลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม!”

 

“ใช่แล้วสหาย ข้าเองก็ได้ยินผู้อาวุโสบอกมาว่า หลังพวกเราขึ้นมาถึงระนาบเทวโลกแล้วพวกเราจะไม่ได้สติ รอจนเมื่อพลังในร่างได้กลับกลายเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์เมื่อใด พวกเราจึงจะได้สติขึ้นมา…จริงสิ! ในเมื่อข้าตื่นขึ้นมาคุยกับท่านได้แบบนี้ ก็หมายความว่าข้ากลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์โดยสมบูรณ์แล้วสิ!!”

 

“เซียนอมตะสวรรค์…นี่น่ะเหรอเซียนอมตะสวรรค์!”

 

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มได้ยินเสียงกล่าวกันด้วยความดีใจคึกคักจากโดยรอบ เป็นเหล่าผู้ที่ฟื้นสติแล้วเริ่มคุยกันอย่างสนุกสนานยินดี

 

“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิด…”

 

ได้ยินบทสนทนาโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็ทำการส่องภายในโดยไม่รู้ตัว และเขาก็พบว่าตอนนี้ในร่างเขาคงเหลือแต่เพียงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์เท่านั้นที่ไหลเวียนอยู่…ไม่เหลือพลังเซียนต้นกำเนิดอีกต่อไป

 

อีกทั้งด่านพลังฝึกปรือของเขาก็ได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์อย่างไม่รู้ตัว

 

‘เฮ่ย…แล้วเสื้อผ้าข้าหายไปไหนหมดแล้วล่ะ!?’

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตอนนี้ตัวเขากำลังเปลือยเปล่าล่อนจ้อนไม่ได้สวมใส่สิ่งใดอยู่เลย ยังโชคดีนักที่ไอหมอกสีขาวที่ฟุ้งตลบไปทั่วสระกำเนิดเซียนอมตะแห่งนี้ได้ปกคลุมร่างกายเขาเอาไว้ ทำให้ยากจะมีใครมองเห็นได้ว่าเขากำลังยืนเปลือยเปล่าเผยหลิงเทียนน้อยที่กำลังห้อยโทงเทงให้โลกเชยชม

 

‘แล้วทำไม…คนอื่นๆกลับมีเสื้อใส่กันหมดเลยล่ะ?’

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่า คนอื่นๆรอบกาย ล้วนแล้วแต่มีเสื้อผ้าสวมใส่กันหมด ไม่มีใครแก้ผ้าให้ห้อยโทงเทงรับลมเย็นแบบเขาเลย…

 

อย่างไรก็ตามเพียงสังเกตให้ดีต้วนหลิงเทียนก็พบว่า…

 

เสื้อผ้าของทุกคนโดยรอบนั้น หาใช่เสื้อผ้าที่ถูกสร้างจากผ้าที่แท้จริงไม่!

 

‘เสื้อผ้าที่คนอื่นใส่กัน…ล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อผ้าที่ควบแน่นขึ้นจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเจือปนกับพลังเซียนต้นกำเนิดทั้งนั้น…’

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่า

 

กระทั่งผู้คนโดยรอบที่หลับตาและยังไม่ได้สติอะไร ก็มีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่ก่อนแล้ว

 

‘ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่ทุกคนควบแน่นจากพลังเซียนต้นกำเนิดกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา…พลังเซียนต้นกำเนิดนั่นถูกพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดดูดซับอยู่ตลอดเวลา’

 

‘เกรงว่าในเวลาสั้นๆ เสื้อผ้าที่พวกมันสร้างขึ้นจากพลังผสาน ก็คงกลายเป็นเสื้อผ้าจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอย่างเดียว…’

 

‘สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าทุกคนได้เตรียมตัวก่อนจะขึ้นสวรรค์…ทั้งหมดเริ่มควบแน่นพลังสร้างเสื้อผ้าเอาไว้แต่แรก…’

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมตระหนักเรื่องพวกนี้ได้ในพริบตา

 

‘พี่จื่อ…กลับไม่เตือนข้าเลย’

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่แย้มยิ้มอย่างขื่นขม และเร่งควบแน่นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสร้างเสื้อผ้าทันที พริบตาบนร่างก็สวมไว้ด้วยชุดคลุมสีม่วงตัวเก่ง

 

เขาเชื่อ

 

ว่าคนอย่างเซียนหยวนจื่อที่เป็นถึงบรรพบุรุษในวังเซียนหยวนนั้น ต้องรู้แน่ว่าไม่มีใครนำเสื้อผ้าจากระนาบโลกียะขึ้นมาได้…

 

จำต้องควบแน่นพลังสร้างเสื้อผ้าไว้แต่แรกเท่านั้น เพื่อไม่ให้ขึ้นมายังสระกำเนิดอมตะแล้วต้องเปลือยเปล่าแบบเขา…

 

แต่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลย

 

ไม่ใช่ว่าเซียนหยวนจื่อไม่เตือนเขา แต่จิตใต้สำนึกของเซียนหยวนจื่อคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานอย่างถึงที่สุด และผู้ที่จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกสมควรรู้กันดี ไม่ใช่อะไรที่จะเป็นจะต้องกล่าวเตือน

 

‘คนพวกนี้…สมควรเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกเหมือนข้า…’

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก

 

ในอดีตเขาก็เคยได้ยินจากผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาแล้ว ว่าผู้คนจากระนาบโลกียะจะมาปรากฏตัวในสระกำเนิดเซียนอมตะหลังจากที่ขึ้นมายังระนาบเทวโลก

 

หน้าที่ของสระกำเนิดเซียนอมตะ ก็คือช่วยให้ผู้ที่พึ่งขึ้นมาสู่ระนาบเทวโลกนั้น กลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์

 

นอกจากนี้เมื่อออกจากสระกำเนิดเซียนอมตะแล้ว จะไม่มีวันก้าวลงมาในสระได้อีกเป็นครั้งที่สอง…

 

นั่นเพราะในสระกำเนิดเซียนอมตะแห่งนี้จำกัดไว้ให้ผู้ที่เข้ามาได้ มีแต่ผู้ที่พลังในร่างยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ อย่างพวกครึ่งก้าวเซียนอมตะเท่านั้น

 

‘ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมารอบๆ ไม่มีผู้หญิงเลย…’

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่มองไปรอบๆก็พบว่า

 

ในบรรดาผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์นั้นมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น จะต่างกันก็ที่รูปลักษณ์ แต่ไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลย

 

บางคนอ้วน บางคนผอม บางคนหล่อเหลา บางคนหน้าตามารดาไม่รัก…

 

บ้างก็แลดูแข็งแกร่ง บ้างก็คล้ายพวกอมโรค…

 

ยังมีทั้งผู้ที่แลดูเยาว์วัยเหมือนเขา เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน บ้างก็ชายชรา จวบจนถึงชายชราที่แลดูแก่หง่อมปานแพะเฒ่า…

 

‘ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นระนาบโลกียะไหนๆ…ก็มีผู้ฝึกตนหญิงไม่มากที่สามารถขึ้นมายังระนาบเทวโลกได้…’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

เขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ธรรมชาติของสตรีไหนเลยจะชอบรบราฆ่าฟันเหมือนบุรุษ ผู้ที่มุ่งมั่นแสวงหาความแข็งแกร่งในด้านการต่อสู้ก็มีน้อยกว่าบุรุษเป็นทุน

 

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เหมารวมแต่อย่างใด เพียงแค่เป็นสตรีส่วนใหญ่เท่านั้น

 

ยังมีสตรีจำนวนไม่น้อยที่ชมชอบการเข่นฆ่า บ้างก็ดุดันห้าวหาญเยี่ยงวีรสตรีจนบุรุษเห็นยังอาย ที่ร้ายกาจจนบุรุษทั้งแท่งยังต้องแหงนมองด้วยความนับถือก็ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

 

หลังจากชมดูรอบๆจนไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาสนใจตัวเอง และเริ่มตรวจสอบพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง

 

“เสียงดังโวยวายอะไรเยอะแยะ เห็นเป็นตลาดหรือไร!? ทั้งหมดหุบปากให้บิดาเสีย!!”

 

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงตวาดดังลั่นอย่างดุร้ายดังขึ้นมาจากขอบสระก่อเซียนอมตะ!

 

เสียงนี้คล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยเวทมนตร์ก็ไม่ปาน มันดังก้องเสียดแทงแก้วหูผู้คนในสระกำเนิดเซียนอมตะอย่างทั่วถึง!

 

ผู้คนในสระทั้งหมดไม่เว้นต้วนหลิงเทียนต่างพากันหันไปมองทางต้นเสียงทันที

 

จึงได้เห็นว่า

 

ที่ขอบสระก่อเซียนอมตะไกลๆปรากฏร่างในชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ด้วยท่าทางทะนงตัว

 

ร่างดังกล่าวเป็นชายหนุ่มแลดูอ้วนท้วม แม้แผ่นหลังของมันจะตั้งตรงแต่บุคลิกก็ไม่ได้แลดูมีสง่าราศีอะไร มันกวาดตามองข่มมายังเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นสวรรค์ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนด้วยสองตากลมโตปานฆ้อง…ใบหน้าของมัน น่ากลัวว่าเด็กน้อยยังหยุดร่ำไห้…

 

ผู้คนในสระรวมถึงต้วนหลิงเทียนเงียบเสียงลงไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะปรากฏเสียงหัวเราะดังขึ้นในสระ

 

“เจ้านับเป็นตัวอะไร หาญกล้าแทนตัวว่าบิดาต่อข้านายน้อย…พวกเราจะคุยกันแล้วอย่างไร ธุระเจ้าไม่ใช่อย่าได้สอดปาก!”

 

เป็นชายหนุ่มในชุดหรูหราผู้หนึ่งที่กล่าวออกมา และหลังมันกล่าวก็มีเหล่าผู้ที่เห็นด้วยพยักหน้ารับไม่น้อย

 

ขณะเดียวกันกลุ่มคนเหล่านี้ก็หันไปมองชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินที่ขอบสระก่อเซียนอมตะด้วยสายตาดูแคลน

 

ในบรรดากลุ่มคนที่พึ่งขึ้นมาสู่ระนาบเทวโลกเหล่านี้ มีใครบ้างที่ไม่ได้มีพลังฝีมือเด่นล้ำในที่ๆตัวเองจากมา? ยังมีใครไม่ใช่ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ยากบรรลุถึงในระนาบโลกียะของตัวเอง?

 

ความสามารถในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ จนประสบความสำเร็จในการขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกมันแข็งแกร่งเพียงใด

 

ด้วยเหตุนี้พวกมันย่อมมีความถือดีในตัว แล้วจะยอมให้ใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาตะโกนข่มกันต่อหน้าได้อย่างไร?

 

“ฮ่าๆๆ!!”

 

เสียงของชายหนุ่มในชุดหรูหราดังจบคำได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏเสียงหัวเราะด้วยความขบขันหนึ่งดังขึ้นจากขอบสระกำเนิดเซียนอมตะ

 

เป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินอีกคน ที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมาสู่สายตาผู้คนดั่งภูตผี!

 

ต่างจากชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินร่างท้วมคนแรกที่หน้าตาดูมารดาไม่รัก ชายหนุ่มคนนี้แลดูหล่อเหลารูปร่างสมส่วนให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่บ้าง

 

และหลังจากที่มันปรากฏตัวออกมา มันก็มองชายหนุ่มร่างท้วมในชุดเกราะสีเงินคนแรกด้วยสายตาขบขันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียนอย่างสนุกสนานว่า “หวังเวย…ดูเหมือนเจ้ายิ่งมายิ่งอนาถลงทุกที เดี๋ยวนี้กระทั่งเซียนอมตะขนอุยยังกล้าตะโกนใส่หน้าเจ้าอย่างไม่ยำเกรงแล้ว”

 

“เฝิงชิง!”

 

ชายหนุ่มร่างท้วมนามหวังเวย พอได้ยินวาจากล่าวล้อของชายหนุ่มหล่อเหลา สีหน้าของมันก็มืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก

 

มันถลึงตามองงชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดเกราสีเงินนามว่า เฝิงชิง เล็กน้อย ค่อยหันกลับไปมองชายหนุ่มชุดหรูหราในสระกำเนิดเซียนอมตะพลางกล่าวถากถางว่า “สารเลวน้อย ขอให้เจ้าอยู่ในสระกำเนิดเซียนอมตะให้ได้ตลอดเถอะ! กล้าขึ้นมาเมื่อไหร่บิดาจะ..”

 

“ข้าขึ้นมามาแล้วตัวบัดซบเจ้าจะทำไม!?”

 

ชายหนุ่มในชุดหรูหราไม่รอให้ชายหนุ่มร่างท้วมกล่าววาจาจบคำ ร่างมันก็กระโจนออกมาจากสระกำเนิดเซียนอมตะทันที ยังยืนอยู่เบื้องหน้าหวังเวยอีกด้วย

 

ท่าทางดั่งลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ!

 

‘เจ้านั่น…หาเรื่องโดนดีแท้ๆ’

 

ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะมองไปยังชายหนุ่มในชุดหรูหรา กลับกันยามมองไปยังหวังเวยสายตาของเขาก็แลดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย..