บทที่ 2002 อามิตตาพุทธ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้หันกลับไปมองเหยียนซิว แสดงแววตาสอบถาม เหยียนซิวพยักหน้าสื่อว่ามีความเป็นไปได้

เหมียวอี้ถามซ้ำอีก ปี้เยว่ก็นึกไม่ออกจริงๆ สิ่งที่พอจำได้ก็ไม่มีค่าอะไร

จากนั้น เหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้ยุ่งยากแล้ว ในใจไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ควรจะรับมืออย่างไรดี?

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพระปีศาจหนานโปควบคุมข้า?” จู่ๆ ปี้เยว่ก้ถาม

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ปี้เยว่ บางเรื่องข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไง ข้าพูดอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปพบกับเทียนหยวน จู่ๆ ข้าก็ได้รับรายงานจากสายลับ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจหนานโปอาจจะไปสมคบกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง ข้าสงสัยทันทีว่าเทียนหยวนนัดเจอเจ้าเพราะมีอุบาย เลยส่งคนไปรับเจ้า ผลปรากฏว่าคนที่ข้าส่งไปถูกพระปีศาจหนานโปพบและโดนพระปีศาจควบคุมไว้ คนที่จวนกลยุทธ์ฟ้าส่งไปก็รบตายไปเกือบสองพันคน เทียนหยวนใส่หน้ากาก ตอนต่อสู้กันแยกไม่ออก…”

แม้จะไม่ได้เอ่ยคำพูดต่อจากนั้น แต่ก็สื่อความหมายชัดเจนแล้ว

ปี้เยว่เบิกตากว้างทันที ถามอย่างกังวลว่า “เจ้าจะบอกว่า…จะบอกว่า…”

“เจาชิง!” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว เหมือนไม่อยากเผชิญหน้า

หยางเจาชิงนำกำไลเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติวางไว้ข้างเตียง บอกว่าให้ระงับความเศร้าโศก แล้วรีบเดินออกไปเช่นกัน

ระงับความเศร้าโศก? ปี้เยว่มือสั่น หยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่นาน นางก็กรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู พบว่าข้างในมีของกองระเกะระกะ พอตรวจให้ละเอียดก็พบว่าล้วนเป็นของที่เทียนหยวนเคยใช้ตอนยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งนางหยิบแหวนเก็บสมบัติขึ้นมาดู ในแหวนเก็บสมบัติไม่มีมีของอย่างอื่น มีเพียงร่างคนขาดครึ่งท่อน เป็นร่างของเทียนหยวนนั่นเอง

ทั้งตัวนางเคลื่อนไหวช้าลงในชั่วพริบตาเดียว ดวงตาแดงก่ำ หยดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วไหลอาบแก้มโดยไร้เสียง

ระหว่างทั้งสองจบลงอย่างนี้แล้วเหรอ? ปี้เยว่ที่น้ำตาไหลค่อนข้างสับสน ความคิดย้อนกลับไปในอดีตที่นานมากแล้ว

เรือสองลำเบียดผ่านกันใต้สะพานโค้ง หญิงสาวคนหนึ่งยืนยืนด้วยท่วงท่างดงามอ่อนช้อยอยู่บนหัวเรือ ชายหนุ่มชุดสีเขียวครามคนหนึ่งยืนสง่าอยู่บนหัวเรืออีกลำ หญิงสาวถูกความเหิมเกริมของชายหนุ่มยั่วจนหงุดหงิด จึงฟาดแส้ออกไปอย่างแรงหนึ่งที แต่กลับถูกชายผู้นั้นคว้าแส้เอาไว้แล้วยิ้มหยอกล้อ

ไม่ทะเลาะกันคงไม่ได้รู้จักกัน ตอนหลังชายหนุ่มกับหญิงสาวอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตอันมีสีสันของโลกมนุษย์ ล่องเรือบนทะเลมรกตด้วยกัน ชมแสงจันทร์ใต้สายลมอ่อนด้วยกัน สาบานรักต่อทะเลและขุนเขา สบตากันข้างกองไฟในคืนหิมะตก ชายหนุ่มสาบานต่อฟ้าว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศนาง เทียนมงคลห้องหอ ชีวิตที่น่าเฝ้าคอย หวังเคียงคู่จนแก่เฒ่า ตอนหลังชายหนุ่มมีปณิธานแรงกล้า แต่กลับจมอยู่ในอำนาจ ดังนั้นทุกอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จิตใจของทั้งสองเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องราวมากมายหลังจากนั้น ไม่น่าเชื่อว่าปี้เยว่จะจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เลือนรางแล้ว

สุดท้ายปี้เยว่ก็ล้มลงบนเตียง ไหล่งามสั่นเทิ้ม ก้มหน้าร้องสะอื้น นางไม่เข้าใจ ทั้งสองเคยรักกันมากขนาดนั้น เหตุใดสุดท้ายจึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ทุกอย่างในอดีตเคยงดงามขนาดนั้น ทำไมสุดท้ายทุกคนจึงเปลี่ยนไปแล้ว แหวนเก็บสมบัติกำแน่นอยู่ในฝ่ามือ ปวดร้าวจนหายใจไม่ออก…

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบจากอารมณ์ของปี้เยว่หรือเปล่า ท้องฟ้าถูกเมฆครึ้มปกคลุม ฝนเริ่มตกแล้ว

หยางเจาชิงที่เดินตามออกมาทีหลังเข้ามานั่งในศาลา ขณะมองเหมียวอี้ที่เงียบงัน ในใจก็เกิดความสงสัยมาก ทำไมนายท่านรู้ว่าหลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วจะมาหาเขา

ฝนเริ่มตกแรงขึ้น ขณะมองน้ำฝนที่ตกหนักจนเกิดละอองหมอกด้านนอก เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังเริ่มหรี่ตา ดูจากตอนนี้แล้วคงทำได้แค่รอ ถ้าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับเรื่องแดนอเวจีจากปี้เยว่แล้ว จะต้องนำเรื่องนี้มาขู่เขาแน่นอน เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดี? มอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้แต่โดยดีเหรอ? ตอนนี้สมุนไพรจิตวิญญาณยังไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา ที่จริงให้ไปก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องราวเรียบง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ถูกทารุณตรงสถานที่ผนึกหลายปีขนาดนั้น พระปีศาจหนานโปจะไม่ไปชำระแค้นกับเขาและศีลแปดเหรอ? ถ้าพระปีศาจใช้จุดอ่อนที่มีอยู่มาบีบเขาต่อไปจะทำอย่างไร?

“ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักหน่อย!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

เหยียนซิวโค้งตัวเล็กน้อยแล้วถลันตัวหายไป ส่วนหยางเจาชิงก็กุมหมัดคาระวแล้วออกไปเช่นกัน

ในขณะนี้เอง มีคนส่งข่าวมา เหมียวอี้รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง หยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นศีลแปดที่ส่งข่าวมา

หลังจากเชื่อมสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า : มีอะไร?

ศีลแปด : อยู่คนเดียวเบื่อมาก พี่ใหญ่ ท่านกับพี่สะใภ้สบายดีมั้ย?

เหมียวอี้ : ข้าสบายดีมาก เจ้าฝึกตนคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?

ศีลแปด : กำลังพยายาม กำลังพยายาม พี่ใหญ่ทำงานของตัวเองไปเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว!

แล้วก็ตัดขาดการติดต่อไปแบบนี้ ขณะมองระฆังดาราในมือ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พอถามเรื่องวรยุทธ์ เจ้ารองก็หลบเลี่ยง เจ้ารองบ้านเขาก็ฉลาดอยู่หรอก เพียงแต่ฉลาดไม่ถูกที่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะโตเป็นผู้ใหญ่สักที

ในศาลาใต้ม่านฝนพรำ หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับหยางชิ่ง ดูว่าหยางชิ่งจะมีวิธีการรับมือหรือเปล่า

หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว ก้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ทีแรกหยางชิ่งก็ตกใจ จากนั้นก็ถามถึงประเด็นสำคัญทันที : นายท่าน ทำไมพระปีศาจหนานโปพุ่งเป้ามาหานายท่านทันทีที่หลุดออกมา?

เหมียวอี้ : ในนั้นมีเบื้องลึกอีกอย่าง ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอก

เขากลัวการกระทำของหยางชิ่ง จึงตัดสินใจจะปิดบังความสัมพันธ์กับศีลแปดเอาไว้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นก็อาจโดนหยางชิ่งใช้ประโยชน์เข้าสักวันก็ได้

ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ หยางชิ่งก็ไม่ถามแล้ว ครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วตอบกลับว่า : ถ้าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับนี้ ก็มีภัยคุกคามต่อนายท่านจริงๆ เพียงแต่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้

เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที ถามว่า : ยินดีรับฟังความคิดอันเหนือชั้น

หยางชิ่ง : รอก่อนก็ได้ พระปีศาจหนานโปไม่เอาเรื่องนี้มาบีบก็ปล่อยไป นายท่านควรชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ…

เมื่อฟังแผนของหยางชิ่งจบ เหมียวอี้ก็กระจ่างทันที ยกมือตบหน้าผาก แอบพูดในใจว่าช่างเป็นวิธีการที่ดี ทำไมตัวเองนึกไม่ถึง

และในตอนนี้ ศีลแปดที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจแรง

บนเตียงฟูกหนาข้างหลังเขา เป็นใบหน้าของสาวน้อยที่งามปราณีตจนไม่เป็นสองรองใคร ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกาย บริสุทธิ์ราวกับเป็กกระจกส่องใจคนได้ หูแหลมตั้งตรง ผมสีทองปลิวสยายประบ่า นางเปลือยกายเช่นเดียวกับศีลแปด ร่างเปลือยที่นอนอยู่ข้างหลังศีลแปดราวกับภาพวาด ผิวขาวหมดจดดุจหิมะ หน้าอกกลมกลึงอิ่มเอิบ เรือนร่างอรชรมีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมาะสมขาเรียวยาว ยั่วยวนแต่กลับทำให้คนไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ ผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์จากภายในสู่ภายนอก

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือมู่น่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจแห่งดาวแมกไม้ แต่ถูกศีลแปดพาไปหลับนอนด้วยจนชำนาญเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ได้รับปกป้องจากทั้งเผ่าปีศาจ ทั้งเผ่าปีศาจล้วนแสดงด้านงดงามจริงใจให้นางเห็น ไม่ให้นางถูกแปดเปื้อนด้วยคำพูดไม่ดี นางไม่ประสีประสา จะทันคำโกหกของศีลแปดได้อย่างไร ศีลแปดไม่สนหรอกว่านางจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์อะไร รู้เพียงว่าตัวเองชอบผู้หญิงคนนี้ก็ต้องได้ครอบครอง ครั้งแรกที่หนีจากคลังสมบัติหนานอู๋ก็มาที่นี่ทันที พุ่งเป้ามาที่นี่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้นอนกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจแล้ว ชดเชยความเสียดายที่ถูกไต้ซือศีลเจ็ดระงับจุดหยางในปีนั้น

แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้คนอย่างศีลแปดลืมไม่ลงได้ จะเห็นได้ว่าศีลแปดรักชอบมู่น่าขนาดไหน เรื่องบางเรื่องก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก ถ้าจะบอกว่าแสวงหาความใคร่ระหว่างชายหญิง เช่นนั้นมู่น่าก็เทียบอวี้หลัวช่าไม่ติดแน่นอน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะศีลแปดก็แค่ชอบมู่น่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมู่น่า เขาก็ถูกความใส่ซื่อบริสุทธิ์ที่ออกมาจากจิตวิญญาณมู่น่าดึงดูดแล้ว ราวกับสามารถชำระล้างความชั่วร้ายบนตัวเขาได้ ดังนั้นจึงอยากอยู่กับนาง อยากจะนอนเคียงข้างกับนาง

จุดที่ทั้งสองอยู่ก็คือในโพรงไม้ต้นหนึ่งบนอาณาเขตของเผ่าปีศาจ ความสูงห่างจากพื้นดินสิบกว่าจั้ง ศีลแปดหลอกเผ่าปีศาจให้สร้างเขตหวงหามไว้ให้เขาโดยเฉพาะ ยามปกตินอกจากเขาแล้ว ก็มีแค่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจที่จะมาสนทนาธรรมกับเขาได้ คนอื่นของเผ่าปีศาจไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ มองเขาเป็นพระศักดิ์สิทธิ์

ถ้าจะพูดให้ชัด ที่นี่ก็คือรังหรรษาของเขากับมู่น่า ที่ต้องยุ่งยากแบ่งเขตหวงห้ามนี้ ก็เพราะศีลแปดรู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นสะอาดบริสุทธิ์ห้ามล่วงเกิน การนอนกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าให้เผ่าปีศาจรู้ จะต้องสู้ตายกับเขาแน่นอน

ทว่าเจ้าเวรนี่ก็กล้าทำเรื่องที่ทำร้ายอีกฝ่ายแต่กลับให้อีกฝ่ายมาปกป้อง ถ้าให้เผ่าปีศาจรู้ก็คงโกรธจนกระอักเลือดตายแน่นอน

สรุปก็คือ ตอนนี้ศีลแปดใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายมาก อยู่ที่นี่ผ่อนคลายมากด้วย โลกภายนอกอันตรายเกินไปแต่ที่นี่เป็นมงคลและสงบสุข เขาชอบบรรยากาศของเผ่าปีศาจมาก นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เขาอยู่ที่นี่นาน

เมื่อเก็บระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกลับเหมียวอี้แล้ว ศีลแปดก็ครุ่นคิดบางอย่างด้วยแววตาเป็นประกาย

เผ่าปีศาจปิดรับข่าวสาร ได้รับการปกป้องจากปราสาทแมกไม้ จึงอยู่อย่างสงบสุขมากมาตลอด เรื่องราวครึกโครมด้านนอกไม่เกี่ยวกับเผ่าปีศาจ ศีลแปดเพิ่งได้ข่าวจากอวี้หลัวช่า ถึงได้รู้ว่าพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้ว เขาตกใจมาก รีบติดต่อไปหาเหมียวอี้ อยากจะรู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ปลอดภัยหรือเปล่า หลังจากแน่ใจแล้วเขาก็วางใจ

เหมียวอี้ไม่อยากรบกวนสมาธิในการฝึกตนของเขา ถึงไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มู่น่าคลานเข้ามาพร้อมร่างกายเปลือยเปล่า มาซบที่แผ่นหลังศีลแปด ใช้สองมือคล้องคอเขา ใบหน้าแนบติดตัวเขา ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ?”

ศีลแปดตอบอย่างไม่แน่ใจ “มู่น่า ข้าอาจจะต้องจากที่นี่ไปสักระยะหนึ่ง”

“ออกไปโปรดสรรพสิ่งอีกแล้วเหรอ?” มู่น่าแปลกใจ

ศีลแปดขานรับ “อืม” เสียงต่ำ ที่จริงเขากังวลว่าจู่ๆ ตัวเองติดต่อพี่ใหญ่ไป จะทำให้พี่ใหญ่สงสัยหรือเปล่า? เขาตัดสินใจว่าจะกลับไปอยู่ที่จุดซ่อนสมบัติแต่โดยดีสักระยะ ถ้าพี่ใหญ่ไปตรวจสอบกระทันหัน แล้วตัวเองไม่อยู่ แบบนั้นก็แย่แน่

“จะกลับมาเร็วๆ นี้ใช่ไหม?” มู่น่าค่อนข้างอาลัยอาวรณ์

“ทำเรื่องที่ควรทำเสร็จแล้วก็ย่อมกลับมา” ศีลแปดตอบด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วออกจากโพรงไม้

ในโพรงไม้ของต้นไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในป่า ศีลแปดกล่าวอำลาผู้อาวุโสมู่เซิน

เมื่อทราบว่าศีลแปดต้องจากไปอีกแล้ว มู่เซินก็ค่อนข้างเสียดาย ถามว่า “พระศักดิ์สิทธิ์ออกทัศนาจรครั้งนี้ จะกลับมาเมื่อไร?”

ศีลแปดที่สวมจีวรขาวสง่าทั้งตัวประนมมือตอบ “อาตมามีวาสนากับที่นี่ วาสนายังไม่สิ้น ก็ย่อมกลับมา”

ตอนนี้มู่เซินถึงได้วางใจ แล้วก็เอยขออีกว่า “ไม่ทราบว่าก่อนไปครั้งนี้ พระศักดิ์สิทธิ์แสดงธรรมให้พวกเราอีกสักเรื่องได้หรือไม่?”

“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดยิ้มเรียบๆ

ตอนที่ทุกคนของเผ่าปีศาจมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่โบราณต้นนี้อีกครั้ง แสงจันทร์ก็สาดส่องลงมา ศีลแปดนั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยใบหน้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แสดงพุทธธรรมด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนของเผ่าปีศาจฟังอย่างจริงจังและจริงใจ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็เติบก็เหมือนจะอดใจรอฟังไม่ไหว เติบโตเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ ดอกไม้เปล่งแสงอ่อนๆ อยู่ภายใต้ม่านราตรี ถ้ามองลงมาจากบนฟ้า ป่าไม้ที่มีศีลแปดเป็นจุดศูนย์กลางก็กำลังเปล่งแสงไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศราวกับปูพรม

บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยในป่ามารวมตัวกันอย่างเงียบๆ สัตว์ดุร้ายก็เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังว่าง่ายเช่นกัน นกที่เดิมทีควรจะนอนพักผ่อนก็บินมาหมดแล้ว มาเกาะฟังเงียบๆ อยู่บนกิ่งไม้ แมลงที่เปล่งแสงพวกนั้นก็บินมารวมตัวอยู่ข้างหลังศีลแปดราวกับเป็นม่านแสง ยิ่งทำให้ศีลแปดถูกย้อมไปด้วยกลิ่นอายเทพศักดิ์สิทธิ์

……………