สุสานโจวทอดข้ามระหว่างฟ้าดิน ทั้งยังเชื่อมระหว่างคนทั้งสอง
ด้วยระยะห่างกว่าร้อยจั้ง เป็นเพียงจุดดำเท่านั้นที่มองเห็นกันและกัน
แต่พวกเขากลับมองเห็นสีหน้าและอารมณ์ในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
แทบจะไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ พวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่
แม้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาจะแสดงออกต่อกันอย่างไร้เยื่อใยเพียงใด แต่ก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในวัดด้วยกันกว่าสิบปี
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด ซางสิงโจวเอ่ยว่า “เขาตายไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าจุดจบของเรื่องราวในตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ข้ารู้ว่าในสุสานแห่งนี้ไม่มีร่างของเขา”
ซางสิงโจวเอ่ยว่า “ด้วยนิสัยบ้าบิ่นของเขา หากตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ จะต้านทานความเหงาไม่ออกมาก่อเรื่องได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ใช่ เขาควรจะสิ้นไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิไท่จงก็มิอาจสบายใจได้”
“นี่เป็นกลวิธีสุดท้ายของเจ้าหรือ ใช้เขาเพื่อหยุดยั้งและทำให้ข้าหวั่นเกรง”
ซางสิงโจวมองเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยอย่างดูถูก “ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว ข้าก็เพียงอยากทำให้ท่านเสียขวัญ”
ซางสิงโจวถาม “สนุกมากหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ดูท่าทางของท่านเมื่อครู่สิ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หัวเราะออกมา แลดูดีใจยิ่งนัก
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นการเปิดเผยความรู้สึกซึ่งหาได้ยากนัก
ดังนั้นจึงตัดสินได้ว่า สิ่งที่เขากำลังพูดคือความจริง
ความจริงนั้นสามารถทำร้ายคนได้มากที่สุด
หลังเดินทางจากเมืองซีหนิงมายังเมืองหลวง ไม่ว่าจะท่านยายที่อยู่ในจวนขุนพลเทพตงอวี้ สาวใช้ ฮูหยินหรือนักเรียนในสำนักไม้เลื้อย รวมถึงถังซานสือลิ่ว ล้วนเคยถูกทำร้ายจากความจริงของเฉินฉางเซิงทั้งสิ้น แม้ว่าซางสิงโจวจะเป็นอาจารย์ของเขาก็ยังรับไม่ได้
แววตาของซางสิงโจวพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขามองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ท้ายหลุมฝังศพ ก่อนก้าวไปข้างหน้า
ในสวนโจว เขาไม่สามารถแสดงพลังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจเพิกเฉยได้
เขาไม่สามารถมาอยู่เบื้องหน้าของเฉินฉางเซิงได้โดยตรง
ในความจริงแล้ว ก้าวนี้ของเขานั้นไม่ใกล้ไม่ไกลเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
เกิดลมขึ้นจากใต้ฝ่าเท้า
อาภรณ์นักพรตสีเขียวสั่นเป็นแนวตรง
แสงไฟหลายร้อยดวงพุ่งตามถนนแนวสุสานไปยังประตูหลักของโจหลิง
ลมพัดโหมกระหน่ำ ทุ่งรกร้างรอบด้านเกิดขี้เถ้าลอยมหาศาล ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ ฟ้าดินพลันมืดสลัว
ในโลกที่มืดมิดเกิดเสียงฉีกขาดที่หนาแน่นนับไม่ถ้วนแต่กลับชัดเจนอย่างหาใดเทียบได้
ปรากฏรอยเส้นตรงและร่องลึกนับไม่ถ้วนบนหลุมฝังศพรวมถึงพื้นผิวของศิลายักษ์ทั้งสองข้างทาง
พื้นผิวของศิลายักษ์บางส่วนกลายเป็นสีไหม้เกรียมด้วยความรวดเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็ร่วนกร่อน และถูกลมพัดกลายเป็นกรวดทรายที่ละเอียดในที่สุด
แสงเหล่านั้นดูเหมือนจะธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันสอดคล้องกับหลักการการหมุนเปลี่ยนของสรรพสิ่ง นั่นคือการปรากฏออกมาอย่างเป็นรูปธรรมของวิถีพรต พลังที่ยากจะจินตนาการได้
ซางสิงโจวไม่ออมแรงด้วยวิชาเต๋านับหมื่นนับพัน เฉินฉางเซิงจะต้านทานได้อย่างไรกัน
อีกด้านหนึ่งบนทุ่งรกร้าง อสูรกระทิงและยักษ์ล้มภูเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมา กลายเป็นเนินเขาสีดำสองลูก
ที่น่าแปลกก็คือ สัตว์ปีศาจสองตัวที่น่ากลัวนี้ไม่ได้มาช่วยเฉินฉางเซิงแต่อย่างใด พวกมันหนีไปในพายุฝุ่นที่ปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้า
เพราะสุสานโจวบดบังอยู่ ซางสิงโจวจึงไม่สามารถมองเห็นภาพนี้ได้ ทั้งยังไม่สามารถมองเห็นพื้นดินหลังจากที่อสูรกระทิงและยักษ์ล้มภูเขาจากไป
สัตว์ปีศาจยักษ์ทั้งสองตัวนั้นยังคงนอนอย่างสงบอยู่ทางเหนือของสุสานโจว เพียงเพื่อต้องการปิดบังพื้นดินเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้มีลักษณะเหมือนแท่นบูชาสี่แท่น มันทรุดโทรมไปมากนัก แต่ยังสามารถมองออกว่าน่าจะเป็นแท่นศิลา
ทันใดนั้น ทุ่งรกร้างรวมถึงพายุลม ณ ทุ่งราบที่อยู่ห่างไกลก็หายไป พายุฝุ่นทรายก็หายไปเช่นกัน
ดวงสุริยาที่อบอุ่นปรากฏบนขอบทุ่งหญ้าอีกครั้ง
ความเงียบเข้าครอบงำสุสานโจว
วิถีพรตนับหมื่นนับพันเหล่านั้นที่แสดงถึงกฎเกณฑ์และหลักการของฟ้าดินหายไปในทันใด
เชือกเส้นบางเส้นหนึ่งขาดลงเงียบ ๆ ไข่มุกศิลาสี่เม็ดตกลงจากข้อมือของเฉินฉางเซิง และกลิ้งไปตามความลาดชันระหว่างทางเดินของสุสานและภูเขาหลิงซาน
ไข่มุกศิลาเหล่านั้นมองดูธรรมดายิ่งนัก เหมือนมิได้มีความพิเศษใด ๆ ระหว่างที่ตกลงมานก็มองไม่ออกว่ามีความมหัศจรรย์อย่างไร พวกมันกลิ้งตกบนถนนสุสานเกิดเสียงกึกกึกกึก เมื่อกระทบกับศิลายักษ์ก็เกิดเสียงดังเกรียวกราว ราวกับจะตกลงไปในร่องระหว่างศิลายักษ์และกลิ้งออกมาไม่ได้อีกต่อไป หรืออาจแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความน่าเชื่อถือหรือกฎเกณฑ์ ก็ล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก
แต่ภาพเหล่านี้ล้วนไม่ได้เกิดขึ้น
ไข่มุกศิลาทั้งสี่เม็ด กลิ้งผ่านถนนสุสาน กลิ้งผ่านศิลายักษ์ มองดูคล้ายกลิ้งตามอำเภอใจ ไม่มีเป้าหมายใด แต่พวกมันกลับกลิ้งตรงไปยังแท่นบูชาทางตอนเหนือของสุสานโจวอย่างแม่นยำยิ่งนัก ราวกับระหว่างที่กลิ้งนั้นไข่มุกศิลาทั้งสี่ได้มอบคุณสมบัติต่าง ๆ เช่นความหมายและวัตถุประสงค์
ตามกาลเวลาที่ผันผ่าน ความไร้ระเบียบกลับกลายเป็นความมีระเบียบ ความบังเอิญกลายเป็นเรื่องแน่นอน นี่ช่างไม่สอดคล้องกับหลักการกฎเกณฑ์ระหว่างฟ้าดินโดยสิ้นเชิง
หรืออาจเป็นเพราะไข่มุกศิลาทั้งสี่นี้ก็อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์
……
……
ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่กลับให้ความรู้สึกราวสมเหตุสมผลยิ่งนัก
ไข่มุกศิลาสี่เม็ดต่างแยกย้ายตกลงไปในสิ่งที่ดูเหมือนแท่นบูชาทั้งสี่
ลมพัดโหมขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยความรู้สึกที่กว้างใหญ่และไกลลึก ป้ายศิลาทั้งสี่ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าและดิน
โลกสั่นสะเทือนและไม่สงบ ในทุ่งหญ้าเกิดเสียงร้องโหยหวนของเหล่าสัตว์ปีศาจขึ้นอย่างมิอาจอธิบายได้
พื้นผิวของหินดำเหล่านั้นเรียบเนียนมาก มันสลักด้วยลายเส้นที่ยากซับซ้อน ราวกับว่ามันมีพลังมารที่ว่างเปล่า
คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่โจวตู๋ฟูนำออกมาจากสุสานเทียนซู
แสงจากท้องฟ้าและลมจากทุ่งรกร้างมุ่งหน้าไปที่พื้นผิวของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ จากนั้นก็หายไปที่ไหนสักแห่ง
เศษหญ้าและดินร่วนกรวดทรายนับไม่ถ้วนก็ตามมาด้วย แต่มิได้หายไป
ราวเวลาย้อนกลับไป กรวดทรายค่อย ๆ ปกคลุมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เอาไว้ กลายเป็นเสาหินต้นหนึ่ง พื้นผิวนั้นสึกกร่อนด้วยลมและฝน
ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิง ก่อนเอ่ยว่า “แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ตกอยู่ในมือของเจ้าจริง ๆ สินะ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ใช่”
เขาเลือกที่จะท้าทายซางสิงโจวในสวนโจว นอกจากเหตุผลสองข้อข้างต้นแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งอยู่ที่นี่
หากอิงตามขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้แล้ว แทบจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความลึกลับขั้นสูงสุดของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถใช้มันได้
เมื่อได้พบกับราชามารบนเทือกเขาหิมะและเผชิญหน้ากับทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่เมืองจักรพรรดิ เขาทำได้เพียงมองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ซึ่งเป็นอาวุธที่มีน้ำหนักไม่จำกัดและทำลายล้างไม่ได้
มีเพียงในสวนโจวเท่านั้น ที่เขาสามารถใช้พลังที่แท้จริงของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้
เพราะที่นี่เป็นแท่นบูชาและค่ายกลที่โจวตู๋ฟูก่อตั้งขึ้นในอดีต
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่กลายเป็นเสาศิลานั้นไม่แข็งแรงมั่นคง พื้นผิวของมันปริแตกออกมาอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นก็กลับคืนสภาพเดิมอีกครั้ง
ลมปราณที่อยู่ห่างไกลและผันผวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมาจากรอยแตกร้าวเหล่านั้น กลายเป็นแสงสว่างที่น่าสะพรึงกลัว
แสงสว่างทั้งสี่สายตกลงมาจากท้องฟ้ามุ่งสู่ตำแหน่งที่ซางสิงโจวอยู่พอดี
“เจ้าคิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะสามารถโจมตีให้ข้าพ่ายแพ้ได้หรือ”
ซางสิงโจวพลิกฝ่ามือและฟาดขึ้นไป
เขายืนอยู่บนพื้น เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็ราวกับสามารถสัมผัสท้องฟ้าที่ครอบพื้นปฐพีได้แล้ว
เกิดเสียง ปัง ขึ้นเบา ๆ
แสงสว่างเวียนวนระหว่างท้องฟ้า
สีหน้าของซางสิงโจวเริ่มซีดขาว แต่การแสดงออกยังคงนิ่งเฉย
“ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าต้องเลือกแล้ว”
แสงสว่างเวียนวน ท้องฟ้าที่ครอบพื้นปฐพีราวกับมีรอยแตกร้าวที่ละเอียดเล็กปรากฏขึ้นหลายแห่ง
ทางด้านส่วนลึกของทุ่งหญ้าเกิดเสียงกรีดร้องอย่างสะพรึงกลัวของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นเมื่อหลายปีก่อนที่สวนโจวใกล้จะล่มสลายหรือไม่
หากว่าเฉินฉางเซิงยังคงเลือกที่จะใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในการโจมตีซางสิงโจวต่อไป อาจจะมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้รับชัยชนะ
แต่ก็เป็นไปได้ว่า สวนโจวอาจถูกทำลายให้ย่อยยับก่อนหน้านั้นได้เช่นกัน
นี่คือสิ่งที่เฉินฉางเซิงจะต้องเลือก
ในเวลานี้เขาคิดถึงกระบี่เหล่านั้นจริง ๆ
……
……