“ข้ารู้ถึงเจ้าเด็กที่เจ้าว่านั้นดี มันเป็นคนที่ถูกยกเป็นปฐมาจารย์การโอสถมาช่วงหลังๆ นี้ใช่หรือไม่? หึๆ หลังจากเต๋าโอสถตกต่ำลงไปมันก็ไม่มีใครจะรับหน้าที่ผู้นำได้อีก แค่ผู้คนที่ถือตัวกลับมายกย่องกันเองเสียยิ่งใหญ่ ไม่อาจจะมาช่วยเหลือใดๆ ในเรื่องราวภาพใหญ่ได้เลยแม้แต่น้อย”
“ข้ารู้เรื่องในอาณาจักรทหัยเมฆาแล้ว ได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันมากพรสวรรค์จริง แต่น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่กับเหล่าชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายแล้วมันก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาไป!”
“พูดไปแล้วข้าก็ยังจะสนใจเสี่ยวชิงซง หวงหลิน ผางเจิ้นและว่านเจิ้นทั้งหลายนั้นมากกว่า! ออกมาครั้งนี้พวกเขาทั้งหลายนั้นคงได้เห็นเสาหลักของทัพเราอย่างแน่นอน!”
…
เหล่าคนเฒ่าทั้งหลายนี้ต่างก้มลงมองดูอับดับทองคำเทพสงครามด้วยสีหน้าผิดหวังไปตามๆ กัน
ส่วนตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นยังคงนั่งเงียบที่ด้านข้างไม่คิดเปิดปากพูดใดๆ ออกมา
แต่คนที่จะกล้ามาพูดเช่นนี้ต่อหน้าจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นมันย่อมจะเป็นระดับผู้นำของทั้งเผ่ามนุษย์ เผ่าอสูรและเผ่าปีศาจทั้งหลาย
จากนั้นชายชุดฟ้าน้ำเงินก็ได้หันหน้ามากล่าวบอกจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ “เฉียนจี้ เจ้านั้นมักจะคาดคำนวณทุกสิ่งอย่างเสมอมา แต่ครั้งนี้… ดูท่าเจ้าจะคำนวณผิดพลาดแล้ว! เจ้าเด็กคนนี้มันไม่ได้มีค่าใดขนาดนั้น!”
ชายวัยกลางคนที่พูดออกมานี้มันมีแสงสายฟ้าสว่างจ้าออกมาจากหน้าผาก
เขานั้นไม่ได้มีคลื่นพลังหนักหน่วงรุนแรงใดๆ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับเปล่งแสงออกมาได้ราวกับเป็นทะเลแห่งสายฟ้า
ภายในดวงตานั้นมันเปี่ยมล้นไปด้วยคลื่นพลังสูงส่งที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องขนลุก
นี่มันคือสายตาที่จะทำลายโลกลงได้!
เขานี้คือเต๋าบรรพกาลสายฟ้าผู้ลึกลับ
เพราะฉะนั้นคำพูดของเขามันจึงมีน้ำหนักอย่างมากล้น
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นเลือกคัดยอดคนจากเผ่าต่างๆ มา แน่นอนว่าเหล่าเต๋าบรรพกาลก็ย่อมจะสนใจเรื่องราว
เพราะสำหรับพวกเขาแล้วสงครามสิ้นโลกมันก็เป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ตอบกลับมาอย่างเย็นเยือก “เฒ่าผู้นี้ย่อมจะไม่เคยตัดสินคนผิดไป! เล่ยถิง ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมีเหตุผลเห็นแก่ตัวแต่ด้วยประสบการณ์ของเฒ่าผู้นี้แล้ว ตัวผางเจิ้นจะไม่มีวันรับสืบทอดตำแหน่งเต๋าบรรพกาลสายฟ้าจากเจ้าไปได้”
ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์อันดุเดือดนี้มันย่อมจะมียอดคนผู้สืบทอดของบรรพกาลทั้งหลายมาเข้าร่วมด้วย
เหล่าเจ้าฟ้าดินห้าทลายทั้งหลายรวมไปถึงตัวเล่ยถิงผู้เป็นตัวแทนของเต๋าบรรพกาลนั้นต่างหวังว่าจะให้ลูกหลานคนของตัวเองคว้าชัยมาสิ้น
ผางเจิ้นที่ว่านี้เองก็เป็นทายาทของตัวเต๋าบรรพกาลสายฟ้าเล่ยถิงเองด้วย
ผางเจิ้นนั้นมีร่างเต๋าสายฟ้าภายในมาแต่กำเนิดทั้งยังมีแนวคิดแห่งสายฟ้าที่เหนือล้ำพร้อมด้วยพรสวรรค์ที่มากล้น
ก่อนจะเข้ามาถึงมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้เขาก็ได้บรรลุขึ้นถึงระดับของต้นกำเนิดก่อนแล้ว ทำให้เป็นยอดคนไร้พ่ายอย่างแท้จริง
“เฉียนจี้! เจ้าก็ไม่ต้องพูดตรงขนาดนั้นก็ได้!” เต๋าบรรพกาลสายฟ้ากล่าวออกมา
ทุกผู้คนนั้นต่างสั่นสะท้านไปทั้งกายเพราะจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กลับพูดตอกหน้าตรงๆ ว่าเต๋าบรรพกาลสายฟ้ามีเหตุผลส่วนตัว
กล้าที่จะพูดกับเต๋าบรรพกาลสายฟ้าเช่นนี้ทั้งมหาพิภพถงเทียนมันคงมีแค่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เท่านั้น!
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กล่าว “เฒ่าผู้นี้ก็แค่พูดเรื่องไปตามจริง เต๋าบรรพกาลพวกเจ้าทั้งหลายคิดอยากสานต่อความยิ่งใหญ่ แต่ก่อนอื่นเลยคือเราต้องพามนุษย์ชนะให้ได้ก่อน! เรื่องนี้เฒ่าผู้นี้หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจดี เพราะฉะนั้นศึกยอดอัจฉริยะครั้งนี้มันจึงวัดกันที่ความสามารถเท่านั้น!”
เล่ยถิงที่ได้ยินจึงตอบกลับมา “น่าขัน! ด้วยกำลังของผางเจิ้นนั้นเจ้าคิดจริงหรือว่ามันจะแพ้ให้เด็กน้อยจักรพรรดิเทพสวรรค์สองดาวผู้หนึ่งได้?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จึงยิ้มตอบกลับไป “เรื่องนั้นเราจะได้รู้กันแน่”
…
ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้เวลาหลายร้อยปีมันได้ไหลผ่านไป พริบตาเดียวมันก็ผ่านไปกว่าแปดร้อยปีแล้ว!
และเมื่อผ่านเวลาแปดร้อยปีนี้มาการแข่งขันของอันดับทองคำเทพสงครามมันก็ยิ่งทวีความรุนแรง
เมืองทั้งร้อยเมืองนั้นมันมีเพียงแค่เหล่ายอดคนที่ติดหนึ่งในสิบของอันดับทองคำเทพสงครามในแต่ละเมืองเท่านั้นที่จะเข้าไปยังวิหารพระเจ้าเพื่อรับสมบัติสืบทอดได้
นี่มันคือโอกาสครั้งสำคัญ!
เพราะฉะนั้นในแต่ละเมืองมันจึงมีการแข่งขันเพื่อสิบอันดับอย่างดุเดือดล้น
แต่ละครั้งที่อันดับทองคำเทพสงครามถูกประกาศออกมา มันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงสิบอันดับอยู่เสมอๆ
แต่แน่นอนว่ามันย่อมมียอดคนที่แตกต่างเหนือล้ำพวก ยืนมั่นอยู่ในตำแหน่งสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครกล้าจะเขย่าบัลลังก์
อย่างเช่นตัวว่านเจิ้นหรือผางเจิ้นและยอดคนทั้งหลาย
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดานั้นใช้ช่วงเวลาเกือบพันปีนี้ในการพัฒนาไปอย่างที่แทบไม่อาจคาดเดาได้
เวลานี้กำลังของพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างพุ่งทะยานสูงล้ำ
เว้นเสียแต่ว่าเย่หยวนนั้นเหมือนจะหายไปจากโลกหล้า
แม้แต่เหล่าคนที่เย้ยหยันดูถูกเขามาก่อนหน้าก็แทบจะลืมตัวตนของเขาไปแล้ว
“สิบปีสุดท้ายแล้ว! ดูท่าเย่หยวนมันจะพลาดแล้วจริงๆ!” ว่านเจิ้นกล่าวขึ้นมาอย่างผิดหวัง
เพราะแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันยาก ยากจนแม้แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจ
การบ่มเพาะในมิติสงครามดึกดำบรรพ์มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลาย
แต่เย่หยวนกลับใช้เวลาทั้งหมดนี้ไปกับการไล่ตามความฝัน มันเหมือนดั่งว่าเอาเวลาที่มีค่าโอกาสสำคัญนี้ไปทิ้ง
ว่านเจิ้นนั้นรู้สึกเสียดายอย่างสุดใจ
“หึ มันเป็นสิ่งที่เจ้าเด็กคนนั้นเลือกเอง จะโทษใครได้เล่า? เรานั้นก็ห้ามไว้แล้วแต่มันไม่คิดฟังเอง! ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้จะมีสักกี่คนที่มากพรสวรรค์ไปกว่าเจ้า? ที่สำคัญไปกว่านั้นคือต่อให้จะมีคนเช่นนั้นแต่พวกเขาจะบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติได้?” จางเหลียนกล่าว
“ช่างเถอะ ไม่ต้องไปพูดถึงมันแล้ว! สิบปีสุดท้ายนี้มันจะมีการประกาศอันดับทองคำเทพสงครามในทุกๆ ปี! ข้าว่าจะไปฝึกที่ทุ่งศึกสัตว์ร้ายล้น เจ้าจะไปด้วยกันไหม?” ว่านเจิ้นถาม
ในเมืองเมฆหนุนนี้คนที่พอจะเทียบเคียงเขาได้มันมีแค่จางเหลียนเท่านั้น
แน่นอนว่ากับคนเช่นนี้ตัวว่านเจิ้นย่อมจะให้ค่าเขามาก
จางเหลียนนั้นยิ้มกว้างตอบรับในทันที “แน่นอนสิ! นี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะได้ก้าวข้ามเจ้า มีหรือที่จะปล่อยผ่านไปได้?”
ว่านเจิ้นพยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
ทุ่งศึกสัตว์ร้ายล้นนั้นมันเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในเขตแดนของเมืองเมฆหนุน
สัตว์ร้ายในที่แห่งนั้นมันมิใช่แค่มากล้นแต่ยังแข็งแกร่งเหนือล้ำ
แม้จะเป็นตัวว่านเจิ้นนั้นเองเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย
และมิใช่แค่พวกเขาทั้งสองนี้เท่านั้นแต่เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาที่ติดห้าสิบอันดับแรกก็คงเลือกที่จะไปยังทุ่งศึกสัตว์ร้ายล้นเพื่อเป็นสถานที่ตัดสินเช่นกัน
เพราะว่านี่มันคือโอกาสสุดท้ายแล้ว!
ไม่นานหลังจากที่ยอดคนทั้งหลายจากไปมันก็ปรากฏเงาร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวเดินเข้าเมืองเมฆหนุนมา
“อ่าว นี่มันบุตรแห่งเวลานี้? เสียเวลาไปตั้งแปดร้อยกว่าปีเพิ่งจะกลับมาจากบรรลุได้หรือ? พระเจ้าช่วย เก่งกาจนัก!”
“สิบปีสุดท้ายนี้บุตรแห่งเวลาของเราจะต่อต้านสวรรค์แล้ว? ชิๆ น่าเสียดายแค่ว่าช่องว่างมันอาจจะห่างเกินไป!”
“มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้! เขานั้นบรรลุแนวคิดแห่งกาลเวลามา กำลังของเขานั้นย่อมจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเมฆหนุนนี้แน่! สิบปีน่ะมันพอที่จะให้เขาเปลี่ยนขึ้นไปอันดับหนึ่งแน่นอน! ฮ่าๆๆ!”
…
เมื่อเข้ามาถึงในตัวเมืองเย่หยวนก็ได้รับคำต้อนรับด้วยความเย้ยหยันเต็มที่
และแน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นพวกเจียงเจ๋อทั้งหลาย
ด้วยความเป็นยอดฝีมือพลังต้นกำเนิดนั้นการพัฒนาของพวกเจียงเจ๋อมันย่อมากล้ำในหลายร้อยปีมานี้
เวลานี้เขานั้นติดถึงระดับสองพันไปได้ กลายเป็นหนึ่งในคนบนอันดับทองคำเทพสงคราม!
แม้ว่าเวลานี้มันจะเป็นการยากที่จะเอาแต้มเทพสงครามมาแต่เวลาเก็บเกี่ยวกว่าเก้าร้อยปีนั้นมันย่อมทำให้แต้มเทพสงครามของคนที่ติดอยู่บนอันดับทองคำเทพสงครามนั้นมากล้นเหลือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกว่านเจิ้นที่มีแต้มเทพสงครามสูงล้ำจนไม่มีใครล้มได้!
การขึ้นไปให้ถึงสิบอันดับแรกด้วยเวลาแค่สิบปีนั้นมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
ทางเย่หยวนเองก็ย่อมจะไม่คิดสนใจคำเย้ยของเจียงเจ๋อและเดินตรงไปยังโถงสมบัติวิญญาณ
ผู้ดูแลนั้นยังคงเป็นฮงเย่คนเดิม เพียงแค่ว่าสถานการณ์นั้นมันได้เปลี่ยนไปตามเวลา
“ท่านเย่ไม่ได้มาเสียนาน ต้องการมาซื้ออะไรหรือ?” ฮงเย่ยิ้มรับ
“ดาบหยกแท้พันเล่ม!” เย่หยวนตอบกลับไป
…………………………