ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 68 สุริยันแก่กล้ามาเยือนผู้ใดจะสงบได้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เรื่องในอดีตนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

ตำนานกล่าวไว้ว่าในสวนโจวนั้นมีสระกระบี่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ในสระกระบี่นั้นมีกระบี่เลื่องชื่อยุคก่อนมากมายนับไม่ถ้วน

จริงดั่งตำนาน เฉินฉางเซิงพบสระกระบี่ในสวนโจว หลังจากนั้นจึงนำกระบี่เลื่องชื่อมากมายนั้นกลับมายังโลกใบนี้

เฉกเช่นกระบี่จำศีลที่เป็นกระบี่เลื่องชื่อที่สืบทอดกันมา ถูกเขาส่งกลับให้แก่พรรคต่างๆ โดยใช้ชื่อพระราชวังหลีนานแล้ว แต่ยังเหลือกระบี่อีกมากมาย

ดังนั้นในคืนที่ธรรมดามากๆ คืนหนึ่ง สำนักฝึกหลวงจึงจัดงานขึ้นครั้งหนึ่ง

เสวียนหยวนผ้อได้กระบี่มหาสมุทรขุนเขา เจ๋อซิ่วได้กระบี่ธงชัยผู้คุมกฎเผ่ามาร ลั่วลั่วได้รับของขวัญที่ดีกว่า ต่อมาซูม่ออวี๋ขอได้กระบี่บุปผาที่ชื่อหญิงงามไป หรือแม้แต่ม่ออวี่เองยังได้กระบี่สตรีแดนเย่ว์จากเฉินฉางเซิงเลย

ถังซานสือลิ่วไม่มีกระบี่ เนื่องจากกระบี่เวิ่นสุ่ยของเขานั้นเลื่องชื่อในยุค ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งตระกูลถังอีกด้วย

ไม่มีผู้ใดทราบ ที่จริงแล้วเขาก็ขอกระบี่จากเฉินฉางเซิง แต่เขาไม่ได้พกกระบี่ไว้กับตัว แต่เสียบมันไว้ในโพรงของต้นไหซู่ที่เก่าแก่โบราณในป่าลึกที่เงียบสงบและสวยงาม หลังจากนั้นก็ใช้ใบไม้ร่วงและดินโคลนปกปิดเอาไว้อย่างดี

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่านี่คือการทำอะไร

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่านี่คือการเลี้ยงกระบี่

หลายทศวรรษหรือหลายร้อยปีต่อมานักเรียนจากภูมิหลังที่แร้นแค้นถูกเพื่อนร่วมอุดมการณ์รังแก ในเช้าวันปกติที่แสนน่าเบื่อจากมุมระเบียง ได้ยินเพลงรื่นเริงจากดินแดนตงหนาน อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมาแล้วบุกเข้าไปในป่าเล็ก ทุบตีต้นไม้ไม่หยุด ใช้ความเจ็บปวดทางร่างกายมาปลอบประโลมทางจิตใจ พลันพบว่าในโพรงต้นไม้เก่าแก่นั้นมีกระบี่เลื่องชื่อที่เคยถูกใช้โดยมือกระบี่ยุคก่อน ยังมีเจตนากระบี่ที่ถูกกระตุ้นโดยดินแดนลี้ลับแล้วเผาไหม้จนหมดสิ้น……

ทั้งหมดนั้นคือการบรรยายของถังซานสือลิ่วในตอนนั้น

เค้าเข้าใจว่าเรื่องที่ตนทำเหล่านี้จะต้องกลายเป็นตำนานของสำนักฝึกหลวงในอีกหลายสิบปีหรือกระทั่งหลายร้อยปีเลยทีเดียว

แต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากนั้นเพียงหลายปีเท่านั้น กระบี่เล่มนี้ก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง และยังกลับคืนมาสู่มือของฉินฉางเซิงอีกด้วย

เขาลืมไปถึงการมีอยู่ของกระบี่เล่มนั้นด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ก็คือกระบี่เล่มนี้ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมันก็ช่วยชีวิตของเฉินฉางเซิงเอาไว้

นี่เป็นตัวตัดสินผลการต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่าขั้วอำนาจใหม่ของสำนักฝึกหลวงและราชสำนัก เป็นตัวตัดสินทิศทางหลายปีข้างหน้าของดินแดนนี้

หรือก็คือประวัติศาสตร์ทั้งหมดนั้นจะเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนี้

ต้องขอบคุณเขาในปีนั้นที่ซ่อนกระบี่ไว้ที่นี่

เขายังจำได้หรือไม่ได้นั้นไม่สำคัญ กระบี่นี้ยังคงเป็นเขาที่ซ่อนมันไว้ที่นี่ด้วย

อะไรควรกินก็กิน ทั้งหมดนั้นมีจำนวนแน่นอนหรือ

อะไรคือเรื่องร้ายแรง แล้วทิ้งร่องรอยเป็นหลักฐาน ให้ตามพบได้เป็นพันลี้

ลั่วจื่อมีความหมายลึกล้ำ จะมีหมากไร้ประโยชน์ได้อย่างไร

ถังซานสือลิ่วยิ่งคิดยิ่งได้ใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งร่าเริง เสียงหัวเราะของเขาจึงดังขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็ยิ่งลำพองใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินฉางเซิงเข้าใจถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้ว นอกจากจะตกใจก็อดทอดถอนใจออกมามิได้

ความรู้สึกราวกับชะตาชีวิตเป็นผู้กำหนดนี้ ราวกับได้รับช่วงเวลาที่หล่นหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง

แต่หวังจือเช่อและคนอื่นๆ ไม่รู้ด้วยถึงช่วงเวลานั้น รวมถึงเรื่องราวนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดถังซานสือลิ่วถึงได้หัวเราะขึ้นมา

สำหรับซางสิงโจวแล้ว รอยยิ้มของเฉินฉางเซิงน่ากลัวกว่าดาบเล่มนั้นมากนัก

“อาศัยเพียงกระบี่ขึ้นสนิมเล่มเดียว จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างรึ”

เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเฉยชา

สีหน้าดวงตาของเขาจืดจางมาก ดั่งน้ำแข็งที่เพิ่งเกาะตัวกันเมื่อครู่

ในส่วนลึกที่สุดของแววตาของเขามีดวงไฟดวงหนึ่งลุกโชติช่วง

เขาสูดหายใจลึก ในป่านั้นเกิดลมแรงขึ้น

ไฟอาศัยแรงลม โหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็เผยออกมาจากส่วนลึกของแววตา

ทันใดนั้นดวงตาสีจางของเขาก็กลายเป็นสีเดียวกับลาวา ดูน่าสะพรึงกลัว และร้อนระอุ

ลมพัดขึ้นมา ทำให้กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าเหนือสำนักฝึกหลวงกระจายหายไป ราวกับจุดดำที่ค่อยๆ เร้นหายไป

กลุ่มเมฆหายไป ดวงอาทิตย์สาดแสง

ลมปราณลงมาจากท้องฟ้า หรือให้ถูกก็คือมันตกลงบนร่างของซางสิงโจวตามแนวดวงอาทิตย์

ลมปราณนี้ ไม่บริสุทธิ์ทั้งยังมีความซับซ้อน แต่ไม่มีผลต่อความแข็งแกร่ง มันเพียงเสริมความน่ากลัวขึ้นหลายส่วนเท่านั้นเอง

หลังจากการมาถึงของลมปราณนี้ หิมะที่ทับถมบนพื้นดินเหล่านั้นก็ค่อยๆ ละลาย

อุณหภูมิในสำนักฝึกหลวงสูงมากขึ้น

ซางสิงโจวยังยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนท้องฟ้า

เงาของเขาแผ่ขยายออกไป ให้ความรู้สึกราวกับได้เต็มเต็มท้องฟ้า

ในสายตาของสวีโหย่วหรงและคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป กลายเป็นดั่งเทือกเขาใหญ่สุดแสนอันตรายลูกหนึ่ง

ในสายตาของเฉินฉางเซิงที่อยู่ใกล้ๆ ยิ่งเหมือนกับเสือขาวที่บดบังท้องฟ้ากว่าครึ่งในเมืองจักรพรรดิไป๋ตี้ที่ตนเคยเห็นมาก่อน

ในตอนนั้นที่เขาเห็นคือจิตวิญญาณของจักรพรรดิไป๋ตี้ ในเวลานี้สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นตัวซางสิงโจวเอง

น้ำนิ่งเหือดแห้ง หมอกชัดเจนในบัดดล ใบไม้เหลืองที่ร่วงหล่นเริ่มขดตัว

ลมปราณรุนแรงและร้อนผ่าวมาจากดวงอาทิตย์ และร่างกายของซางสิงโจว

เกิดเสียงดังปัง อาภรณ์นักพรตของซางสิงโจวเริ่มรุกลามเผาไหม้ แขนเสื้อทั้งสองข้างกลายเป็นผีเสื้อบินหนีไป ปรากฏเป็นแขนสองข้างที่เปลือยเปล่า

แขนเสื้อเผาไหม้กลายเป็นจุล รอยที่เฉินฉางเซิงใช้กระบี่ทำรอยไว้เลือนหายไปแล้ว

ซางสิงโจวใช้สองมือจับกระบี่ กล้ามเนื้อแขนปูดโปนขึ้นมา เหมือนใบเรือที่ถูกลมพัดให้ตึง ราวโลหะที่ถูกหล่อหลอม ดูเหมือนไม่จริง แต่ก็เสมือนจริง มีพลังชีวิตที่สวยสดงดงาม

ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ราวกับเขาอายุน้อยลงไปหลายร้อยปี

เขาเดินไปหาเฉินฉางเซิง ที่ไม่เหมือนคนสูงวัย

……

……

เมื่อเมฆกระจายไป แสงแดดสาดส่องเข้ามา สำนักฝึกหลวงสว่างขึ้นสามส่วน สวีโหย่วหรงก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา

สีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้เข้าไป เนื่องจากเฉินฉางเซิงมีกระบี่อยู่ในมือ และยังมีหวังจือเช่ออยู่

เห็นได้ชัดว่าหวังจือเช่อรู้ความลับนั้นตั้งนานแล้ว จึงมิได้หวั่นไหวใด

บางทีสำหรับเหล่าผู้อาวุโสในปีนั้นแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่ความลับอะไร

อวี๋เหรินใช้ไม่เท้าประคองตนมายังข้างโต๊ะ สายตามองผ่านศีรษะเหล่านั้น มองผ่านกำแพงปรักหักพังไปหยุดลงในป่าลึก โดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ถังซานสือลิ่วหยุดหัวเราะนานแล้ว เขาตกใจเสียจนเอ่ยคำใดไม่ออก ไม่เข้าว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

……

……

“วิชาสุริยันแผดเผาหรือ”

“วิชาสุริยันแผดเผาน่ะหรือ”

“ผู้ใดใช้วิชาสุริยันแผดเผากัน เหตุใดจึงได้รุนแรงเช่นนี้ เป็นผู้ใดกัน”

ลมปราณในสำนักฝึกหลวงมีการเปลี่ยนแปลง และมันได้ถูกส่งทอดต่อไปยังด้านในของตรอกไป่ฮวาแล้ว เกิดเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความสะพรึงกลัวขึ้นมาติดต่อกันยาวนาน

เหล่าท่านอ๋องตระกูลเฉินยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่า จวบจนพวกเรานึกขึ้นได้ว่า เฉินฉางเซิงก็มีแซ่เฉิน จึงได้เงียบลงไป

แต่ไหนแต่ไรแล้วพวกเขาก็ไม่เคยมองเฉินฉางเซิงเป็นญาติสนิท แต่เฉินฉางเซิงก็ยังคงสืบเชื้อสายโลหิตของราชนิกุล สำหรับพวกเขาแล้วที่เฉินฉางเซิงสามารถเรียนรู้วิชาสุริยันแผดเผาได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินจินตนาการ เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบว่ายามที่เฉินฉางเซิงยังอยู่ในครรภ์มารดานั้น วงชะตาชีวิตของเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว

เมื่อจงซานอ๋องทราบความลับนี้ สีหน้าของเขาก็สงบลง โดยไม่ทราบสาเหตุ

เซี่ยงอ๋องลืมตาขึ้น ดวงไฟในแววตานั้นเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็หายไป ไม่ได้แผดเผา ดับสูญไปอย่างรวดเร็ว

เขาทราบว่าไม่ใช่เฉินฉางเซิง ก็คงเป็นซางสิงโจว

คำถามคือ ซางสิงโจวไม่มีเชื้อสายกษัตริย์ จะฝึกปรือวิชาสุริยันแผดเผาได้อย่างไร

ซางสิงโจวมีความสัมพันธ์อย่างไรกับองค์จักรพรรดิไท่จงกันแน่

ทันใดนั้น สายตาของเซี่ยงอ๋องก็เดือดดาล เขาตลาดลั่น “เจ้าคิดจะทำอะไร”

เสียงเศษโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นที่หน้าสำนักฝึกหลวง เป็นเสียงของธนูแสงศักดิ์สิทธิ์

สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด

เนื่องจากขณะที่เมฆสลายตัว ดวงอาทิตย์ตก หวังผ้อก็ลงมือ

…เลิกคิ้ว