เขาฝนดาวตกราบเป็นหน้ากลอง ควันโขมงคลุ้ง
พร้อมๆ กับที่อูหลิงคงองค์ชายเก้าเผ่าอีกาทองถูกสังหาร ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่เข้าสู่แดนมกุฎก็แทบไม่เหลือหลอ ไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีกต่อไป!
“ไป ไปอาณาเขตของสำนักยุทธ์นครนิล”
เสียงเยี่ยเฉินราบเรียบ
“คุณชาย การล้างบางผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองครั้งนี้ก็ทำให้พวกเราเขาจื่อเวยผูกความแค้นกับเผ่าอีกาทองแล้ว หากไปหาเรื่องสำนักยุทธ์นครนิลอีก…”
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งลังเล อดเอ่ยปากออกมาไม่ได้ เพียงแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน
“หากหลินสวินรู้ว่าเกิดเรื่องกับข้า คงทำเช่นนี้เพื่อข้าเหมือนกันอย่างแน่นอน”
พูดเสร็จเยี่ยเฉินก็มุ่งหน้าจากไปก่อน
คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันเลิกลัก แต่ท้ายที่สุดก็พากันตามไปอยู่ดี
……
เขาช้างป่า อาณาเขตของสำนักยุทธ์นครนิล
เพียงแต่ ตอนที่เยี่ยเฉินมาถึงก็อดอึ้งงันไม่ได้
บนภูเขาแห่งนี้ปรากฏร่องรอยการต่อสู้นองเลือดไร้ใดเปรียบอย่างเด่นชัด ตัวภูเขาล้วนพังทลาย มีคราบเลือดชวนตระหนกให้เห็นทุกแห่งหน
“ถึงกับมีคนชิงตัดหน้าล้างบางสำนักยุทธ์นครนิลไปก่อนแล้วหรือ”
เยี่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ทำการตัดสินใจ โบกมือกล่าวว่า “ไปอาณาเขตเผ่าโบราณแสงทมิฬ!”
เมื่อมาถึงเขาหมอกทองคำอาณาเขตเผ่าโบราณแสงทมิฬ ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นแดนนองเลือดไปทั้งแถบ กลางห้วงอากาศยังคงมีไอควันโขมงคละคลุ้งอยู่
“ถูกตัดหน้าก่อนอีกแล้วหรือ”
หัวคิ้วเยี่ยเฉินขมวดมุ่น สูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวว่า “ไปอาณาเขตของเผ่าวิญญาณสมุทร”
ผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มที่ไล่ตามข้างหลังเยี่ยเฉินอดยิ้มเฝื่อนไม่ได้ ต่างพากันมองออกวันนี้หากไม่ให้เยี่ยเฉินระบายอารมณ์จนหมดสิ้น คงไม่ยอมรามือง่ายๆ เป็นแน่
ภูเขาสูงตระหง่าน อาณาเขตของเผ่าวิญญาณสมุทร
ตูม!
เมื่อเยี่ยเฉินมาถึง ก็ได้เห็นแสงดาบยาวพันจั้งสายหนึ่งฟันฉับลงไป ผ่ายอดเขาขาดครึ่ง!
พร้อมกันนั้นเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดาบศึกในมือยังคงยังคงหวีดร้องอย่างเหิมฮึก
คนผู้นี้สวมชุดขาวทั้งตัว ผมสีแดงดุจเพลิง ราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ส่องสว่างเวิ้งฟ้าเพียงลำพัง อานุภาพกร้าวแกร่งเจิดจ้า ท่วงท่าเผด็จการอย่างที่สุด!
ดาบคลั่ง เซี่ยวชางเทียน!
“ที่แท้เป็นเจ้าหมอนี่นี่เอง…”
หนังตาเยี่ยเฉินกระตุก อดกล่าวไม่ได้ “นั่นใคร ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
ไกลออกไปเซี่ยวชางเทียนเหลียวหลังมองมา
รูปโฉมของเขาคมคายดุจใบมีด หน้าผากกว้างบุคลิกแกล้วกล้า นัยน์ตากระจ่างเป็นประกาย เขย่าขวัญผู้คนราวกับดาบคม
เมื่อเห็นเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียนก็อดอึ้งไปไม่ได้ จากนั้นจึงกล่าวอย่างไม่แยแส “แค่พวกกระจอก มีหรือจะทนการโจมตีนี้ได้ เจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ เถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงข้าก็นับว่าช่วยได้แล้ว”
มุมปากเยี่ยเฉินกระตุกขึ้นอย่างแรงหนึ่งครา หากไม่เห็นแก่ว่าเซี่ยวชางเทียนมีจุดประสงค์เดียวกับตนคือแก้แค้นแทนหลินสวิน เมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยเช่นนี้เขาย่อมทนไม่ไหวแน่
เขาและเซี่ยวชางเทียนต่างไม่ชอบขี้หน้ากันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม้จะถูกขนานนามว่า ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ ก็ตามที ทว่ามีเพียงทั้งคู่เท่านั้นที่รู้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่ขนาดไหน
ไม่ทันไรภายใต้การโจมตีของเซี่ยวชางเทียน ผู้แข็งแกร่งบนเขาสูงตระหง่านอาณาเขตของเผ่าวิญญาณสมุทรต่างก็ถูกล้างบาง แม้จะมีคนหนีออกมาได้ก็ถูกเยี่ยเฉินสังหาร
“ความแค้นของหลินสวินข้าช่วยชำระให้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรก”
เซี่ยวชางเทียนปรายตามองเยี่ยเฉินปราดหนึ่ง
“ฮ่าๆ เจ้านับเป็นตัวบ้าอะไร ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาสั่งข้า”
เยี่ยเฉินแค่นหัวเราะ
“มิน่าถึงกล้าจองหองเช่นนี้ ที่แท้ก็เหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านสองแล้วนี่เอง น่าเสียดาย ลำพังแค่ความแข็งแกร่งของเจ้า คิดอยากต่อกรกู่ฝอจื่อเกรงว่ายังไม่พอ”
เซี่ยวชางเทียนเอ่ยวิจารณ์
เยี่ยเฉินอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าก็อยู่อมตะเคราะห์ด่านสองเหมือนกันไม่ใช่หรือ ยังกล้าปากดีเช่นนี้อีก ไม่กลัวลิ้นขาดหรือไร”
ทั้งคู่ต่างปะทะคารมกัน ภายในใจก็ผุดเพลิงโทสะใหญ่ยิ่งขึ้นมา ราวกับศัตรูคู่แค้นพานพบกันบนทางคับแคบ
และในเวลานี้เองมีคนมุ่งหน้ามาส่งข่าว “คุณชาย เพิ่งได้ข่าวเมื่อครู่ มีคนมุ่งหน้าไปสังหารที่อาณาเขตเขาวิญญาณหมื่นอสูรแล้วขอรับ”
“ใคร”
สีหน้าเยี่ยเฉินและเซี่ยวชางเทียนเปลี่ยนไปทันที ความสนใจถูกเบี่ยงเบน เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“คล้ายว่าเป็นเซียวชิงเหอ ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราขอรับ”
สวบ!
เมื่อได้ยินข่าวนี้เยี่ยเฉินและเซี่ยวชางเทียนก็ไม่อาจสนใจการฟาดฟันกันเอง ต่างเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน เร่งรุดมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของเขาวิญญาณหมื่นอสูร
……
ในวันนี้เขาแดนมงคลอันเป็นอาณาเขตของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เผ่าโบราณแสงทมิฬ และเผ่าวิญญาณสมุทรล้วนถูกบุกทำลาย บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน!
วันนั้นแดนอัคคีทักษิณปั่นป่วน ระลอกคลื่นยักษ์ซัดโหม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่า ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ แห่งแดนกาฬทักษิณอย่างดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนและมารกระบี่เยี่ยเฉินร่วมมือกันเป็นครั้งแรก ซัดโถมฝนเลือดลมคาวครั้งนี้ขึ้น ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างหวาดหวั่นสั่นสะท้าน
ทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อปมแค้นที่ยังไม่คลี่คลายตอนที่เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่!
ชั่วขณะนั้นขุมอำนาจที่มีความแค้นกับหลินสวินมาแต่เดิม ต่างพากันกระวนกระวายอยู่ไม่สุข
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่มีความสุขบนคราวเคราะห์ที่หลินสวินประสบยังล้วนเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว ไม่กล้าพูดพล่อยๆ อีกด้วยเกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว
และในเวลานี้เอง ผู้คนถึงได้รู้ว่าแม้ตัวหลินสวินจะดับสิ้น แต่อิทธิพลของเขา… ยังคงอยู่!
……
เวลาครึ่งปีเพียงพอให้เกิดเรื่องราวมากมาย
โดยเฉพาะแดนเก้าบนที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง นองเลือด และเข่นฆ่า มีเรื่องโกลาหลไร้ใดเปรียบเกิดขึ้นแทบทุกวัน
มีบุคคลโดดเด่นสะดุดตามากมายเข้าสู่เส้นทางการฝึกปราณอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานทะลวงขอบเขตอย่างก้าวกระโดด ผงาดง้ำไม่อาจยับยั้ง
และมีผู้แข็งแกร่งที่เคยเลื่องชื่อลือชาช่วงหนึ่งอีกมากประสบเคราะห์ ดับสิ้นประหนึ่งดาวหาง หายไปจากสายตาของผู้คน
เกิดและตาย เศร้ากับสุข ไม่มีช่วงไหนเลยที่จะไม่ปรากฏ
เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น ในแดนเก้าบนในพื้นที่ที่ต่างกันไป มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตามหาร่องรอยของกู่ฝอจื่อตลอดเวลา
ที่น่าเสียดายคือนับตั้งแต่กู่ฝอจื่อปรากฏตัวที่แม่น้ำนรก ก็ไร้ร่องรอยให้เสาะหาประหนึ่งสลายไปจากโลกก็ไม่ปาน
เวลานี้ห่างจากตอนที่ข่าวการตายของหลินสวินแพร่งพรายออกไปครึ่งปีแล้ว
และห่างจากช่วงที่แดนมกุฎปรากฏยังดินแดนรกร้างโบราณ เป็นเวลาสองปีแล้ว
……
ก้นแม่น้ำนรก
แสงโคมเหลืองนวลส่ายไหว เงาโคมลายพร้อย
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ เงาร่างเดียวดายดุจภิกษุเฒ่าละกิเลส
แต่ในห้วงนิมิตของเขา กลับมีรูปจำลองพลังจิตสามองค์กำลังนั่งสมาธิอยู่
องค์หนึ่งเป็นตัวแทน ‘อดีต’ เหนือศีรษะปรากฏดอกเทพมหามรรคสีใสดอกหนึ่ง ละอองแสงพร่างพรม สำแดงเป็นแสงมรรคบินทะยานสายแล้วสายเล่า แว่วเสียงธรรมแผ่วเบารางๆ
องค์หนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นตัวแทน ‘ปัจจุบัน’ เหนือศีรษะปรากฏดอกเทพมหามรรคสีขุ่น ละอองแสงที่สาดพรมออกมาก็คลุมเครือไม่เด่นชัด เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน
อีกองค์เป็นตัวแทน ‘อนาคต’ เหนือศีรษะปรากฏดอกเทพมหามรรคสีมายา ละอองแสงราวกับภาพฝันลวงตา ไม่สมจริงประหนึ่งฟองสบู่
รูปจำลองพลังจิตสามองค์ ต่างมีสีหน้าครัดเคร่ง ดูแลห้วงนิมิต ให้ความรู้สึกชั่วกัปกัลป์ที่พรั่งพรูจากอดีตถึงอนาคตอยู่เนืองๆ
นี่ ก็คือเคล็ดมหาเวทบริกรรม!
ตัดแบ่งพลังจิต เปลี่ยนหนึ่งเป็นสาม สอดคล้องกับขั้น ‘อดีต’ ‘ปัจจุบัน’ ‘อนาคต’ ของระดับดอกเทพรวมยอด ลึกลับเหนือคำบรรยาย
ลำพังแค่เคี่ยวกรำวิชานี้ก็กินเวลาไปครึ่งปี ในที่สุดหลินสวินก็เชี่ยวชาญและบรรลุขั้นสูงสุดของวิชานี้ได้สำเร็จ!
เวลานี้จู่ๆ ในใจหลินสวินก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ราวกับเพียงความคิดขยับไหวก็บังเกิดความนึกคิดพันหมื่น ทะยานไกลถึงอนาคต ใจเชื่อมโยงกาลนิรันดร์!
จิตวิญญาณดั่งโคม เชื่อมประสานไปถึงนัยเร้นลับแก่นสำคัญของมรรคาอมตะ
และยามนี้พลังจิตของหลินสวินแปรเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสามด้วยเคล็ดมหาเวทบริกรรม เปลี่ยนเป็นแตกต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนอื่นๆ บนโลกอย่างสิ้นเชิง!
วู้ม
พร้อมๆ กับความคิดที่ไหวเคลื่อนของหลินสวิน รูปจำลองพลังจิตสามองค์ล้วนเกิดการตอบสนอง บ้างก็ศึกษานัยน์เร้นลับวิถียุทธ์ บ้างก็ควบคุมการขับเคลื่อนหล่อหลอมพลังปราณรอบกาย บ้างก็หยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรค
ชั่วพริบตานั้น สัมผัสและการหยั่งรู้ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงล้นทะลักทั่วกาย ทำให้หลินสวินคล้ายจะแยกร่างเป็นสามคนในความเลือนราง กำลังแบ่งแยกทำสิ่งที่แตกต่างกัน ทว่าการรับรู้ทั้งหมดที่ได้รับกลับฉายชัดในหัวอย่างไม่ขาดตก
ผ่านไปครู่หนึ่งในใจหลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ เคล็ดมหาเวทบริกรรม เป็นมรดกวิชาที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกอย่างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
พลังจิตแยกหนึ่งเป็นสาม ช่วยให้ตนประหยัดเวลาฝึกปราณได้มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสามารถฝึกปราณ หยั่งรู้มรรคและวิถียุทธ์ได้พร้อมกัน น่าทึ่งไร้ใดเปรียบ
‘ดาบหักก็เปลี่ยนแปลงด้วย…’
หลินสวินลืมตา ห้วงอากาศเบื้องหน้าปรากฏเตาหลอมที่วิวัฒน์มาจากเพลิงมรรคอัศจรรย์ ดาบหักลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในนั้น ตัวเรือนสว่างไสว ละอองแสงขาวกระจ่างงดงาม สะอาดพิสุทธิ์ผุดผ่อง
บนพื้น เจตวัตถุหลากหลายชนิดที่กองพะเนินเหมือนภูเขาถูกใช้ไปกว่าครึ่งแล้ว
ชิ้ง!
เมื่อความคิดของหลินสวินไหลเคลื่อน ดาบหักก็โฉบพุ่งออกจากกลางเตาหลอม มันราวกับเปล่งแสงมายาออกมา ฉับไวเบาหวิวราวกับขนนกก็ไม่ปาน
มันลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ประกายคมกริบที่มันปล่อยออกมาทำเอาห้วงอากาศรอบบริเวณถูกตัดขาดฉีกทึ้งทุกอณู ส่งเสียงครวญออกมา
ระหว่างที่ละอองแสงพร่างพรม บนตัวมันปรากฎลายมรรคลึกลับที่คลุมเครือเป็นสายๆ เปล่งแสงทอประกายที่พาให้ผู้คนใจสะท้านออกมา
‘อานุภาพของมันเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนสองส่วน!’
หลินสวินคุ้นเคยกับดาบหักเป็นอย่างดี ยามนี้ดาบหักที่ผ่านการหล่อหลอมมาครึ่งปี หลอมเจตวัตถุไปมากมายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดขึ้น นี่ย่อมหนีไม่พ้นจากสายตาเฉียบคมของหลินสวินเป็นธรรมดา
อานุภาพสองเท่า นี่ก็น่าทึ่งมากแล้ว!
สำหรับผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกัน ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยยามประจันหน้าอาจชี้ขาดความเป็นความตายได้เลยทีเดียว!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ แม้ว่าอานุภาพจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ดาบหักกลับไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์เลย ยังคงมีสภาพหักบิ่นไม่สมบูรณ์ตามเดิม
เห็นได้ชัดว่าหากอยากทำให้ดาบหักกลับสู่สภาพสมบูรณ์ เกรงว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลให้ต้องก้าวเดิน
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินยิ่งมั่นใจ ว่าต้นกำเนิดของดาบหักต้องไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดแน่นอน!
‘ต่อไปก็เริ่มเตรียมทะลวงขั้นได้แล้ว…’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองทิ้งไป โยนดาบหักเข้าเพลิงมรรคอัศจรรย์ทำการหลอมต่ออีก ส่วนตัวเขาก็เริ่มหลับตาบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเมื่อก่อนคือ รูปจำลองพลังจิตสามองค์ของเขาเริ่มทำการเคี่ยวกรำฝึกฝนสามแบบ อย่างการฝึกปราณ หยั่งรู้มรรค และเคี่ยวกรำวิชายุทธ์ในเวลาเดียวกัน
……
แดนอัคคีทักษิณ บริเวณที่ตั้งศิลาศึกอัคคีทักษิณ
การแข่งขันกระดานทองคำผู้กล้าดำเนินมาต่อเนื่อง ทุกช่วงสั้นๆ อันดับของผู้แข็งแกร่งร้อยคนแรกในกระดานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ
ควรรู้ว่าการช่วงชิงอันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าไม่ได้มีเพียงในแดนอัคคีทักษิณเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่นๆ ในแดนเก้าบนก็เข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกัน
แค่คิดก็รู้ว่าการแข่งขันระดับนี้จะดุเดือดถึงเพียงใด!
ในวันนี้อวิ๋นชิ่งไปมาถึงแล้ว เขาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่เบื้องหน้าศิลาศึกอัคคีทักษิณ สายตาลุ่มลึกและราบเรียบ
“ศิษย์พี่อวิ๋น สืบข่าวได้ความแน่ชัดแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนั่นสิ้นชีพใต้แม่น้ำนรกเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ได้รับการยืนยันจากข่าวต่างๆ แล้ว คงไม่ใช่เรื่องเท็จแน่นอน”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เอ่ยปากเสียงเบาอย่างเคารพยำเกรง
“ตายแล้วหรือ”
อวิ๋นชิ่งไป๋อึ้งไป
ก่อนจะมาแดนเก้าบน เขาเคยพูดไว้ประโยคในใจว่า ‘ยามได้เป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน หากเจ้าไม่มา ข้าก็จะไปหาเจ้าเอง’
นี่คือจิตสังหารที่หนักแน่นไร้ใดเปรียบอย่างหนึ่ง ฟ้าไม่อาจมีตะวันสองดวง เขาไม่อาจยอมทนให้หลินสวินรอดชีวิตออกจากแดนมกุฎ
แต่ใครเลยจะคิด ขณะที่เขามาหาหลินสวิน เจ้าหนุ่มที่เคยถูกเขามองเป็นเป้าหมายที่ต้องฆ่าตายให้ได้คนนี้ กลับตายไปตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว…
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มุมปากอวิ๋นชิ่งไป๋ก็อดเผยองศาเย้นหยันขึ้นมาไม่ได้ นี่… ช่างเป็นเรื่องเหนือคาดที่พาให้ผู้คนหัวเราะเยาะเสียจริง
…………….