ตอนที่ 2,587 : ไม่ใช่สตรีธรรมดา!
หลังถามคำถามทั้งหมดที่อยากรู้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยให้เซี่ยวเอ้อจากไป..
หลังจากที่เสี่ยวเอ้อจากไป ห้องก็เงียบลงถนัดตา
กระทั่งต่อให้มีเข็มร่วงตกลงสักเล่ม ก็ยังได้ยินชัดแจ้งราวกับมันดังอยู่ข้างหู
‘ฟังจากที่เสี่ยวเอ้อว่า…ในละแวกเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้สถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดก็มีเพียงจวนเจ้าเมืองกับค่ายของกองทัพมังกรเงินกับกองทัพมังกรดำ…’
ต้วนหลิงเทียนที่ดูเหมือนนั่งสงบที่โต๊ะ หากแต่ในใจนั้นหาได้สงบไม่
‘กล่าวได้ว่า…ในละแวกเมือง หากข้าคิดใช้สถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดก็ได้แต่ต้องไป 3 แห่งนั่นเท่านั้น’
‘แต่ข้าพึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้ไม่ทันไรก็ฆ่าไป่ฟูฉางของทัพมังกรเงินไปแล้ว…เช่นนั้นกองทัพมังกรเงินไม่มีทางต้อนรับข้าแน่นอน ไม่เพียงแต่พวกมันบางคนอยากให้ข้าตาย แต่พวกมันไม่พ้นต้องการเวทย์พลังกับเคล็ดบำเพ็ญจิต เต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ที่คล้ายๆกับวรยุทธ์เซียนอมตะของข้าแน่นอน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนั่งคิดในห้องส่วนตัวของเหลาอาหาร ในกระโจมแม่ทัพหลังหนึ่งของค่ายทัพมังกรเงินก็หาความสงบไม่เจอ
“จงกัง…ถูกผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์และกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดงได้ไม่ทันไรฆ่าตายจริงๆหรือ?”
1 ใน 10 แม่ทัพของกองทัพมังกรเงิน ‘หยางกงผิง’ พอได้ฟังเรื่องราวจาก ‘ไช่หมิง’ ไป่ฟูฉางที่รับหน้าที่พาตัวเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาลงทะเบียนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่ตกตะลึงพรึงเพริด!
ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนจากระนาบโลกียะ และกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดงได้ไม่ทันไร…กลับลงมือเข่นฆ่าตัวตนอย่างไป่ฟูฉางแห่งทัพมังกรเงินของมันได้ไม่ยากด้วยพลังอำนาจอันครอบงำ?
“ใช่”
เมื่อเห็นว่าหยางกงผิงแลดูไม่ค่อยเชื่อถือเล็กน้อย ไช่หมิงก็เร่งกล่าวเสริมไปว่า “ท่านแม่ทัพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าไช่หมิงกล่าวออก ล้วนเป็นความสัตย์จริงทั้งสิ้น…หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อข้า เพียงท่านเรียกสือฟูฉางทั้ง 8 ในเหตุการณ์มาถามยืนยันก็จักทราบได้…”
ไช่หมิงเป็น 1 ใน 2 ไป่ฟูฉางที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอที่สระกำเนิดเซียนอมตะ และมันก็คือไป่ฟูฉางในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนเจ้าของดาบเซียนอมตะที่เขาฉกมานั่นเอง
และผู้ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าไช่หมิงยามนี้ก็คือชายวัยกลางคนแลดูเข้มแข็มคนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาของไช่หมิงและไป่ฟูฉางหนุ่มที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าโดยตรง…
แม่ทัพแห่งกองทัพมังกรเงิน หยางกงผิง!
ในกองทัพมังกรเงินนั้น มีชนชั้นแม่ทัพหรือเชียนฟูฉ่างอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 คนเท่านั้น และทั้งหมดล้วนมีพลังฝึกปรือขอบเขตจินเซียน ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เซียนอมตะสวรรค์จะเทียบได้
“เจ้าไช่หมิงอยู่ใต้บังคับบัญชาข้ามาหลายปีแล้ว มีหรือที่ข้าจะสงสัยในคำพูดของเจ้า ที่ข้าอึ้งไปเมื่อครู่เป็นเพราะข้าตกใจจนรู้สึกยากจะรับเรื่องราว จึงต้องให้เจ้ากล่าวตอบย้ำเพียงเท่านั้น…”
สองตาหยางกงผิงทอประกายเรืองวาบ กล่าวว่า “เช่นนั้น…ผู้ที่พึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนนั่น สมควรได้รับสืบทอดมรดกจากยอดคนในระนาบเทวโลกเป็นแน่ พลังฝีมือถึงได้สูงล้ำทะยานฟ้ากว่าผู้คนในระดับเดียวกันเช่นนี้”
“มันไม่เพียงแต่จะมียอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณ…แต่ยังเชี่ยวชาญวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับสูงอีกด้วย!”
ประโยคต่อมายามกล่าว หยางกงผิงแลดูกระเหี้ยนกระหือรือและบังเกิดความปรารถนาอยากได้อยากมีไม่น้อย
ถึงแม้มันจะเป็นตัวตนขอบเขตพลังจินเซียน และได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังสายต่างๆครบถ้วน อนิจจาทุกสิ่งที่มันได้ฝึกปรือก็เป็นอะไรที่ดีกว่าระดับทั่วๆไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…
ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังของผู้ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนที่ไช่หมิงกล่าวถึงได้เลย!
“แล้ว…เรื่องที่เจ้าบอกว่า ชายหนุ่มผู้นั้นมันสามารถฉกชิงดาบเซียนอมตะของเจ้าไปได้เล่า…ในระหว่างนั้นตัวเจ้าทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดูอย่างเดียวหรือ?”
หยางกงผิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ใช่”
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไช่หมิงยังหวาดกลัวไม่หาย
“เจ้าหนุ่มที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาคนนี้…หาได้ง่ายดายไม่!”
สองตาหยางกงผิงทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับไช่หมิงเสียงหนัก “ไช่หมิง เจ้าไปกำชับสือฟูฉางทั้ง 8 นั่นให้ดี ว่าอย่าให้พวกมันเผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเด็ดขาด…ข้าจะไปเข้าพบท่านผู้บัญชาการเดี๋ยวนี้ และหารือเรื่องนี้กับท่านเป็นการส่วนตัว!!”
หลังกล่าวทิ้งท้ายจบ หยางกงผิงก็จากไปโดยไม่รอให้ไช่หมิงตอบคำอะไร
…
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นในค่ายมังกรเงินบ้าง
ตอนนี้เขาพึ่งจะเดินออกมาจากเหลาอาหาร และกำลังเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยในเมืองเฉวี่ยโยว
เสียงเอะอะมะเทิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวาของผู้คนที่เดินสวนผ่านไปมา ไม่ได้เข้าหูต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เขาเหม่อคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย เดินลอยชายไปอย่างไร้จุดหมาย
มองไปคล้ายผู้คนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่บ้าง…
‘จวนเจ้าเมือง…ค่ายมังกรดำ’
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนเดินเหม่อทำราวกับคนวิญญาณหลุดออกจากร่างนั้น เพราะเขากำลังขบคิดว่าจะเข้าไปในจวนเจ้าเมืองกับค่ายมังกรดำอย่างไรดี
และไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงถนนสายหลักของเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว
ถนนสายหลักแห่งนี้กว้างขวางนัก การจราจรยังคับคั่งทอดยาวไปไร้สิ้นสุด
แน่นอนว่าเสียงย่อมอึกทึกคึกโครมกว่าถนนคนเดินก่อนหน้า
ต้วนหลิงเทียนที่เดินไปบนถนนสายหลักของเมืองเฉวี่ยโยวด้วยอาการเหม่อลอยราวคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจอะไรมากมาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเขาด้วยยความสนใจ
และที่มองเขาด้วยความสนใจก็เป็นเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลาย มีกระทั่งดรุณีน้อยวัยแรกแย้มที่มองเขาแล้วก็อายม้วนก้มหน้างุดๆไปเองครู่หนึ่งค่อยชะเง้อมองมาอีกรอบ ก่อนที่จะกุลีกุจอหันหน้าหนีไม่กล้ามองเขาสืบต่อเพราะขวยเขินอะไรก็ไม่ทราบ…
ทว่าทันใดนั้นเอง
‘หืม?’
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินเหม่อไปบนถนนสายหลักของเมืองเฉวี่ยโยวราวกับคนวิญญาณหลุดลอย อยู่ๆก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน
สาเหตุที่ไฉนเขาหยุดกึกลงแบบนี้ นั่นก็เพราะ อยู่ดีๆเสียงอึกทึกครึกโครมโดยรอบกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา!
ทำราวกับผู้คนโดยรอบพากันหยุดหายใจอย่างพร้อมเพรียง! หรือไม่ทุกคนก็อันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่า!!
แต่ในสายตาเขายังเห็นชัดว่าบนถนนรอบๆตัวเขา ยังมีผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งดังเดิม
ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับพร้อมใจกันเงียบปากไม่พูดไม่จา ทำราวกับจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการหายใจต้องทำอย่างไร!
‘ทุกคน…เหมือนจะหันไปมองอะไรบางอย่างด้านหลังข้า’
และพอหยุดสังเกตผู้คนโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันทีว่า…
สายตาของทุกคนคล้ายจะมองไปยังบางสิ่งด้านหลังเขา
‘ทุกคนมองอะไรกันแน่…ไฉนถึงได้พร้อมใจกันเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้?’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนก็หันขวับกลับไปทันที อารามบรรยากาศสบเงียบไร้แม้แต่เสียงลมหายใจเช่นนี้ เสียงโบกสะบัดพัดผ่านลมของชุดคลุมเขา จึงดังออกมาให้ได้ยินชัดเจนดังผั่บ!
และเมื่อสายตาของต้วนหลิงเทียนมองข้ามระยะ ลอดผ่านผู้คนนับร้อยพุ่งดิ่งไปหยุดลง ณ รูปร่างโค้งเว้าอันสมบูรณ์แบบร่างหนึ่ง แวววตาเขาก็เผยความทึ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในใจยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา
‘ช่างเป็นสตรีที่งดงามอะไรจะขนาดนี้…’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรับทราบแล้วว่าไฉนถนนทั้งสายถึงกลายเป็นเงียบงัน
ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขานางนี้…
สตรีนางนี้มาในชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดกิ่วแลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก
แม้นจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ หากแต่แค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวหมอกควันที่ปกคลุมทั่วกายนั่น ก็ทำให้สีสันรอบกายของนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา
นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า
แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน
เรียกว่ามองชมแล้ว ช่างพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนี่ออกเสียให้ได้…
กระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…
แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะทำให้ล่องลอยไปถึงสวรรค์ชั้นใด?
ยามนงคราญประเสริฐหมื่นสตรีไม่มีเหมือนนางนี้ก้าวเดินอาดๆมา ผู้คนต่างพากันหลีกออกข้างอย่างพร้อมใจ ประหนึ่งทะเลแหวกเปิดก็ไม่ปาน
เรียกว่าจะหญิงหรือชายที่สัญจรอยู่บนถนน ล้วนหันไปมองจ้องนางด้วยสายตาดั่งฝันละเมอทั้งสิ้น
ทำราวกับทั่วร่างของสตรีนางนี้แผ่มนตร์สะกดออกมาประการหนึ่ง!
และด้วยสตรีที่มีรูปโฉมพิลาศล้ำเช่นนี้ ปกติแล้วคงยากที่จะไม่มีบุรุษหยาบกร้านชมมองด้วยจิตอกุศล พร้อมบังเกิดความใคร่ปรารถนา…
ทว่าบัดนี้พิกลนัก กลับไร้บุรุษใดใช้สายตาสามานย์ชมมองนางแม้เพียงคน ทุกสายตาที่มองหยุดอยู่ที่นาง ล้วนเผยแต่ความชื่นชมหลงใหลทั้งเทิดทูนเคารพ ทำราวนางเป็นจุดศูนย์รวมความศรัทธาอย่างไรอย่างนั้น
ประหนึ่งสตรีนางนี้เป็นองค์เทพีสูงส่งที่ทำได้แค่ชื่นชมเคารพเทิดทูนทั้งหลงใหล แต่ไม่อาจลบหลู่ได้โดยเด็ดขาด!
มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่เหลือบมองชื่นชมความงามนางเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะละสายตากลับมาและหันหลังเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
‘เอ๊ะ?’
สตรีที่กำลังเดินทอดน่องบนถนนด้วยสายตาเย็นชาไร้แยแส ปานเมินเฉยสรรพสิ่งรอบกาย พอต้วนหลิงเทียนละสายตาแล้วหันหลังจากไป นางก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปทางต้วนหลิงเทียนทันที
แม้จะเพียงปราดเดียวที่หางตา แต่นางก็เห็นฉากเมื่อครู่ชัด…
‘ในเมืองเล็กๆห่างไกลเช่นนี้…กลับมีคนที่ไม่ต้องมนตร์สะกดจากเคล็ดอมตะของข้าด้วย?’
เมื่อสตรีดังกล่าวมองตามแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เดินจากไป ในใจอดไม่ได้ที่จะบังเกิดระลอกความรู้สึกผิดประหลาดหนึ่งขึ้นมา…
หากแต่ไม่นานนักในใจก็หวนกลับมานิ่งสงบ ระลอกคลื่นในใจมลายหาย
‘สตรีเมื่อครู่…ไมธรรมดาเลยจริงๆ’
หลังจากที่ละสายตาและหันกับมาเดินต่อไปตามทาง สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยความเคร่งขรึมไม่น้อย หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม อารณ์เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
‘เหตุผลที่ไฉนนางกลับดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งถนนให้หันไปมองนางจนเหมือนสติหลุดแบบนั้น ไม่ใช่เพราะลักษณะและความงามของนางเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะไอพลังประหลาดไร้สภาพที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั่น’
‘โชคดีที่ดวงจิตของข้าได้รับการปกป้องจากชิ้นส่วนโลหะแตกหัก…ไม่งั้นข้าคงได้รับผลกระทบจากไอพลังนั่นของนางไปด้วยอีกคนแน่’
‘ไอพลังนั่นคล้ายกับทักษะวิญญาณ แต่ก็ไม่เหมือนทักษะวิญญาณ…เพราะมันไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรกับวิญญาณของผู้อื่น แค่รบกวนจิตวิญญาณเล็กน้อยจนส่งผลกระทบกับจิตใจผู้อื่นชั่วคราว ทำให้ตกอยู่ในสภาวะสับสนเลื่อนลอย’
หลังจากเดินไปข้าหน้าอีกพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเส้นทางออกไปจากถนนที่เงียบงัน ทำให้อารมณ์ตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลงทันใด ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สตรีในชุดกระโปรงธรรมดาสีม่วงอ่อนนั่น ทำให้เขารู้สึกอันตรายอย่างบอกไม่ถูก!
อย่างน้อยๆที่รู้คือ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย!
“นี่เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง เรื่องที่แม่ทัพของกองทัพมังกรดำคนหนึ่งพึ่งจะตกตายไปน่ะ…”
“อ๋อเรื่องนี้หรือ ข้าพึ่งได้ยินมาเมื่อคืนหยกๆ…เห็นว่าแม่ทัพของทัพมังกรดำผู้นั้นตกตายในแถบเทือกเขาทางตอนใต้ของเมืองเฉวี่ยโยวเรานี่เอง มีคนสันนิษฐานว่าแม่ทัพมังกรดำผู้นั้น เผลอหลงเข้าไปในโลกใบเล็กต้องห้ามที่ร่ำลือกันของเมืองเฉวี่ยโยวเรา…”
“ใช่แล้ว เพราะแบบนั้นวันนี้กองทัพมังกรดำเลยออกมาติดประกาศ ว่าหากมีผู้ใดสามารถนำป้ายประจำตำแหน่งแม่ทัพของกองทัพมังกรดำคนนั้นกลับมาคืนได้ ก็สามารถเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่แม่ทัพที่ตกตายไปคนนั้นได้เลย! แค่เอาป้ายมาคืนเท่านั้นสหาย! ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นเชียนฟูฉางแม่ทัพคนใหม่ของกองทัพมังกรดำได้ง่ายๆ!!”
…
บทสนทนาของคนสองคนที่เดินสวนผ่านไปเมื่อครู่ ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดเจน