ช่าจื่อเยียนเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา“แต่จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อหลัวซิว รวมไปถึงความประพฤติของเขาครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาว หากเป็นเรื่องที่เขาไม่มั่นใจ เขาจะไม่ลงมือกระทำง่าย ๆ”

“ท่านพี่หมายความว่า หลัวซิวอาจจะเอาชนะเทียนหวูเชวได้อย่างนั้นหรือ?”ซุ๋นซินเหลียนรู้สึกตะลึงมากจนเบิกตากว้าง

สาเหตุที่ปฏิกิริยาการตอบสนองของนางยิ่งใหญ่เช่นนี้นั้น กลับเป็นเพราะชื่อเสียงของเทียนหวูเชวโด่งดังมากไปหน่อยจริง ๆ ถึงแม้หลัวซิวจะมีพรสวรรค์และสติปัญญาที่ใกล้เคียงกับเขา แต่ผลการฝึกตนกลับอยู่ห่างจากเทียนหวูเชว 7 แดนเล็ก

……

ศึกการต่อสู้ระหว่างหลัวซิวและเทียนหวูเชวนี้ มีคนทราบเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ที่เฝ้าติดตามกลับมีไม่เยอะมากนัก

เนื่องจากในมุมมองของคนจำนวนมากต่างคิดว่า หลัวซิวถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องได้ตายอยู่ในเงื้อมมือของเทียนหวูเชว ไม่มีความพะวงใด ๆ ต่อผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้จึงยากที่จะดึงดูดความสนใจของปุถุชน

ภายในโลกแสงดาว ตั้งแต่ที่หลัวซิวบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และสังหารเทพมารหลายคนในตำหนักดารานภาไปในสงครามครั้งหนึ่ง แดนศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ แดนจึงกลับสู่ความสงบหนึ่งช่วง

สำนักไท่เสวียนตั้งอยู่ตรงอาณาจักรใต้ มีเขาคอยปกปักรักษา สถานการณ์ทุกอย่างถูกกำหนดตายตัว เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับ 1 แห่งโลกแสงดาวในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

ร่างแยกกฎการเวียนว่ายตายเกิดลุกขึ้นมาในตำหนักวัฏสงสาร เห็นเพียงเขาอยู่ในชุดคลุมสีขาวชุดหนึ่ง หกระเหินเดินฟ้า ยืนอยู่กลางนภาสูงพลางมองลงมาทางสำนักเขา

เขาค่อย ๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป กางฝ่ามือออก หันฝ่ามือลงไปด้านล่าง ฝ่ามือที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษราวกับกำลังจะบดบังทั้งสำนักเขาไท่เสวียนยังไงอย่างนั้น

“โครม!”

ทันใดนั้น ก็มีรัศมีเทวที่แวววาวอย่างไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายออกมาจากตัวเขา พลังแห่งกฎปริภูมิโคจร พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของสำนักเขาไท่เสวียนกำลังถูกบีบอัดให้เล็กลงอย่างต่อเนื่อง

ศิษย์จำนวนมากในไท่เสวียนต่างตื่นตระหนก เกาเหลียนหงและคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเดินออกมา แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าด้วยใบหน้าที่สงสัย

“ข้าจักออกจากโลกแสงดาวเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังอีกโลกหนึ่ง ผู้ที่ยินดีไปกับข้าให้อยู่ต่อ ส่วนผู้ที่อยากอยู่ในโลกแสงดาวต่อก็สามารถจากไปได้เลย”

เสียงของหลัวซิวดังก้องไปทั่วทั้งนภาของสำนักเขาไท่เสวียน สะท้อนเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน

“มุ่งหน้าไปยังโลกอีกใบหนึ่ง?”

ภายในชั่วพริบตาเดียว ศิษย์จำนวนมากในสำนักเขาไท่เสวียนต่างมองหน้ากันและกันอย่างอดไม่ได้ มีรังสีความสนใจปรากฏบนใบหน้าของคนบางส่วน และมีสีหน้าที่ดูลังเลปรากฏบนใบหน้าของคนอีกส่วนเช่นกัน

คนจำนวนมากต่างไม่รู้ว่านอกเหนือจากโลกแสงดาวแล้ว ยังมีโลกและฟ้าดินที่กว้างใหญ่กว่าคงอยู่ด้วย จึงมีคนบางส่วนกีดกันสรรพสิ่งที่คงอยู่จริงแต่ตนไม่อาจจินตนาการได้โดยสัญชาตญาณ และมีคนบางส่วนที่ไม่อยากแยกจากกับคนใกล้ชิดและสหายที่อยู่ในโลกแสงดาว

“เกาเหลียนหง ข้าจะทิ้งแดนตำหนักจื่อไว้ให้เจ้า เจ้ามีหน้าที่ดูแลศิษย์ทุกคนที่ไม่อยากจากไปจากโลกแสงดาว”หลัวซิวเรียกตัวเกาเหลียนหงมาเพื่อกำชับ

“ข้าก็ต้องอยู่ต่อหรือขอรับ?”ใบหน้าของเกาเหลียนหงเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่สมัครใจ ในความเป็นจริงเขาก็อยากไปเปิดหูเปิดตาที่โลกเสวียนเทียนพร้อมกับหลัวซิวครั้งหนึ่งเช่นกัน

หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา“สำนักไท่เสวียนไม่มีรากฐานอะไรในโลกเสวียนเทียน เท่ากับต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง รอไท่เสวียนยืนหยัดในโลกาชั้นฟ้าได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าต้องรับตัวผู้ที่อยู่โลกมนุษย์ขึ้นมาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

หลังจากที่นำภาระหน้าที่งานทุกอย่างในโลกแสงดาวมอบหมายให้เกาเหลียนหงรับดูแลผิดชอบแล้ว หลัวซิวก็ใช้พลังอมตะกฎปริภูมิ ผนึกหดปริภูมิหนึ่ง กลั่นส่วนหนึ่งของสำนักเขาในสำนักไท่เสวียนให้กลายเป็นไข่มุกที่รังสีแวววาวจับตาหนึ่งเม็ด

มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่ซ่อนอยู่ภายในไข่มุกเม็ดนี้ ซึ่งสามารถเรียกมันว่าลูกแก้วแดนปริศนา

โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะสามารถใช้ผลการฝึกตนที่เกะกะระรานมาบุกเบิกห้วงกาลแดนหนึ่งได้ แต่ทว่าจะโยกย้ายห้วงกาลแดนนี้ง่าย ๆ ไม่ได้ มีเพียงใช้วิธีการพิเศษบางอย่างถึงจะสามารถโยกย้ายมันได้

แต่ทว่าผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญกฎปริภูมิกลับสามารถกลั่นและผนึกหดห้วงกาลแดนหนึ่งให้กลายเป็นขนาดเท่าไข่มุกหนึ่งเม็ดได้ เพื่อให้สะดวกแก่การพกพาไปไหนมาไหน

วิธีการเช่นนี้ก็ถูกนำไปกลั่นแหวนเก็บของเช่นกัน ซ่อนแฝงห้วงกาลแดนหนึ่งไว้ภายในแหวน และสามารถบรรจุของที่มีปริมาตรใหญ่มาก ๆ ด้วย