หลังจากที่ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเข้ามาอาศัยอยู่ในหอชั้นใน เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ได้ย้ายเข้าไปพักในเรือนหลังเดียวกันกับเถียนซินและสวีเยว่ สำหรับคนที่ร่าเริงและช่างจ้อเช่นเถาเซี่ยวเซี่ยว ไม่มีทางเลยที่นางจะทนพักอยู่ในเรือนทั้งหลังอย่างโดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยวได้ หากต้องอยู่เช่นนั้นจริง ๆ เกรงว่านางคงจะเสียสติเป็นแน่
เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา เสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อนของเถาเซี่ยวเซี่ยวก็ทำให้เถียนซินและสวีเยว่แทบทนไม่ไหว พวกนางไม่เข้าใจเลยว่าเด็กสาวผู้นี้เอาพลังงานมากมายมาจากที่ใดจึงได้ร่าเริงและกระตือรือร้นตลอดทั้งวันโดยที่ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้
ระหว่างทางนับตั้งแต่ผ่านการคัดเลือกเข้าหอชั้นในจนมาถึงตอนนี้ นางก็พร่ำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยพักอยู่ในห้องใดซึ่งทำให้สวีเยว่และเถียนซินที่เดินเข้ามาด้วยกันปรารถนาที่จะหูหนวกให้รู้แล้วรู้รอด
“เฮ้ เฮ้ ! ข้าจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรเล่า ข้าผ่านการคัดเลือกเข้ามาที่หอชั้นในได้ด้วยความสามารถของตัวเองและมิใช่สาเหตุอื่น อีกอย่าง…ข้าไม่ได้พบหน้าพี่อวี้โม่และพี่เหลิ่งมานานนับเดือน ข้าก็ต้องคิดถึงมากเป็นธรรมดา คนไร้หัวใจทั้งสองคนนั่นไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียนพวกเราที่หอชั้นนอกบ้างเลยรึ…”
เถาเซี่ยวเซี่ยวรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา ทว่านั่นเป็นความรู้สึกเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถึงอย่างไร สำหรับนางก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการหาความสุขให้ตัวเอง หากไม่ได้เอ่ยปากพูดสักวัน นางก็คงทุกข์ทรมานจนตรอมใจตายเป็นแน่
เถียนซินและสวีเยว่นึกในใจแทบจะพร้อมกัน “สำหรับเด็กนี่ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากไปกว่าการส่งเสียงเจื้อยแจ้วแล้วรึ ? หากไม่ได้พูดสักหนึ่งก้านธูป เจ้าจะตายขึ้นมาเชียวหรือ ?”
“หนูอ้วนเถา เจ้าว่าใครไร้หัวใจนะ ?”
ประตูของห้องพักมิได้ปิดสนิท เมื่อได้ยินเสียงของเถาเซี่ยวเซี่ยวและสหายจากหอชั้นนอก ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ก้าวออกไปยังทางเดินอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ ท่านหูฝาดไปแล้ว ข้าไม่ได้พูดเลยว่าใครไร้หัวใจ ข้าบอกว่าท่านและพี่เหลิ่งเป็นพี่สาวที่ข้านับถือมาก ข้าคิดถึงท่านทั้งสองจริง ๆ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวโผเข้ากอดฉินอวี้โม่ทันทีและแน่นอนว่าไม่ยอมรับในสิ่งที่กล่าวออกไป
“ตัวโตเช่นนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย ~”
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวอย่างมันเขี้ยว แม้มีอายุมากกว่ายี่สิบปีแล้ว เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ยังแสดงอากัปกิริยาเหมือนเด็กน้อยอยู่เสมอ สาเหตุที่นางเป็นเช่นนี้ก็คงจะเป็นเพราะการที่กำเนิดมาในตระกูลที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีตั้งแต่เยาว์วัย ฉินอวี้โม่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวคงจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับบุคคลสำคัญในหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ เพียงแต่ยังมิอาจคาดเดาได้อย่างแน่ชัดว่าบุคคลนั้นคือผู้ใด…
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เชิญทั้งสามเข้าไปในห้องพักและแนะนำห้องนอนที่เตรียมไว้เป็นอย่างดีซึ่งทำให้สวีเยว่และเถียนซินรู้สึกสุขใจอย่างมาก
“เยี่ยมไปเลย ต่อไปเราทั้งห้าจะได้พักอยู่ในห้องเดียวกัน มันจะต้องคึกคักมีชีวิตชีวากว่าในหอชั้นนอกมากแน่ ๆ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวแทบอยากจะหอมแก้มฉินอวี้โม่ด้วยความดีใจ ศิษย์พี่ผู้นี้รู้จักนางเป็นอย่างดีและรู้ใจว่านางต้องการจะพักอยู่ด้วยกัน
“มันคงไม่ต่างกันหรอก ถึงอย่างไรด้วยฝีปากของเจ้าเพียงคนเดียว มันก็แทบจะเทียบได้กับเสียงของกองทัพนับพันนับหมื่น ฮ่า ๆ ๆ”
เถียนซินอดกล่าวพร้อมกลอกตาไม่ได้ เพียงคิดว่าในอนาคตนางจะต้องทนฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเถาเซี่ยวเซี่ยวทุกวี่ทุกวัน นางก็แทบอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด อย่างไรก็ตาม นางไม่ต้องการพักร่วมกับคนอื่นที่ไม่สนิทสนม การได้พักอยู่ในห้องเดียวกับฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ถือเป็นสิ่งที่มีความสุขมากแล้ว สำหรับเถาเซี่ยวเซี่ยว นางจะคิดเสียว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงน่ารำคาญที่พักอยู่กับพวกตน…
“นี่ ! ศิษย์พี่เถียนซิน กล้าหัวเราะเยาะเย้ยข้างั้นรึ ?!”
เถาเซี่ยวเซี่ยวพุ่งเข้าหาเถียนซินและเหวี่ยงร่างอีกฝ่ายลงบนเตียงนอนก่อนจับฟัดจับเหวี่ยงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ศิษย์พี่เถียนซินพูดผิดแล้วล่ะ เจ้าเด็กอ้วนของพวกเราจะเทียบกับกองทัพนับพันนับหมื่นได้อย่างไร หากเจ้าเด็กอ้วนนี่ต้องทำสงครามจริง เพียงฝีปากของนางก็คงจะสยบกองทัพของศัตรูได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวติดตลก การได้หยอกเย้าเถาเซี่ยวเซี่ยวถือเป็นเรื่องสนุกสำหรับนางเสมอและอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่อวี้โม่ ท่านก็ล้อเลียนข้าอีกคนหรือ ?!”
เถาเซี่ยวเซี่ยวพุ่งตัวเข้ามาหมายจะโจมตีฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูและขัดจังหวะนางไว้พอดิบพอดี
“อวี้โม่ ศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่จากหอชั้นนอกมาถึงหรือยัง ?”
ต้นเสียงดังกล่าวคือเจียงฉาและสหายนั่นเอง พวกนางได้ยินเสียงดังครึกโครมจากภายในห้องและอดไม่ได้ที่จะออกมาตรวจดูด้วยตัวเอง
“มาถึงแล้วเจ้าค่ะ นี่คือสหายที่พวกเราสนิทสนมที่สุดในหอชั้นนอก เถียนซิน สวีเยว่และเถาเซี่ยวเซี่ยว”
ฉินอวี้โม่กล่าวแนะนำเถียนซินและอีกสองคนให้กับอีกฝ่ายก่อนแนะนำเจียงฉาและสหายให้กับพวกนางเช่นกัน
“สวัสดีศิษย์พี่ทั้งหลายเจ้าค่ะ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวและอีกสองคนกล่าวทักทายบรรดาศิษย์พี่อย่างว่าง่าย ทั้งสามทราบดีว่าผู้ที่ฉินอวี้โม่เลือกเป็นมิตรด้วยย่อมเป็นคนที่ไว้วางใจได้และเป็นธรรมดาที่พวกนางจะไม่มีอคติใด ๆ
“สวัสดีศิษย์น้องทั้งสาม”
เจียงฉาและคนอื่น ๆ ทักทายตอบก่อนกล่าว “อวี้โม่ เราตกลงกันว่าจะไปฉลองที่ภัตตาคารมิใช่หรือ ? ใกล้ได้เวลาแล้ว เตรียมตัวและไปพร้อมกันเถอะ”
ตอนนี้ฉินเสี่ยวเยี่ยน ว่านหลิงเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ถึงอย่างไรพวกนางก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการต้อนรับเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ ให้เป็นอย่างดี
“ข้าเตรียมงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับทุกคนไว้แล้ว อีกอย่าง…ข้าอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับศิษย์พี่หลายคนที่ข้าผูกมิตรในหอชั้นใน เราทุกคนจะได้ช่วยเหลือกันในอนาคต”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเถาเซี่ยวเซี่ยวและอีกสองคนที่ยังงุนงงเล็กน้อย จากนั้นทุกคนก็เตรียมตัวอย่างรวดเร็วก่อนมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารด้วยกัน
ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่งในเขตหอชั้นใน ฉินเสี่ยวเยี่ยนและคนอื่น ๆ จองห้องแยกไว้แล้วและกำลังรอให้กลุ่มของฉินอวี้โม่มาถึงที่นี่
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ศิษย์นอกย้ายเข้ามาในหอชั้นในเป็นวันแรก ภัตตาคารจึงมีลูกค้าหนาแน่นมากกว่าปกติ เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก้าวเข้ามา ทุกคนก็มีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ฉินอวี้โม่กลายเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของหอชั้นในไปแล้ว นางมักปรากฏตัวพร้อมกับฉินเสี่ยวเยี่ยนและคนอื่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้เห็นสตรีรูปงามหลายคนอยู่ตรงหน้า เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกเป็นเกียรติและมีความสุขอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าตรงไปยังห้องแยกของพวกตนก่อนเริ่มแนะนำตัวเพื่อทำความรู้จักกัน
“เฮ้ เหตุใดศิษย์น้องผู้นี้จึงดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก ?”
ว่านหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามหลังจากสำรวจใบหน้าของเถาเซี่ยวเซี่ยวครู่ใหญ่เนื่องจากรู้สึกราวกับเคยพบหน้าอีกฝ่ายมาก่อน ทว่ายังนึกไม่ออกในตอนนี้
“เป็นธรรมดาที่จะคุ้นหน้าข้าเจ้าค่ะ ข้ามิได้รูปงามโดดเด่นอย่างพี่อวี้โม่หรือพี่เหลิ่งและมีใบหน้าที่ซ้ำกับผู้คนมากมาย คาดว่าข้าคงจะหน้าคล้ายกับหลายคนที่ศิษย์พี่เคยพบ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวคลี่ยิ้มและกล่าวตอบโดยไม่มีท่าทีผิดปกติใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่เห็นด้วยกับวาจาของนาง แม้รูปลักษณ์ของเถาเซี่ยวเซี่ยวจะไม่ได้ดูโดดเด่นชวนตะลึง ทว่านางก็ดูงดงามไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่กลมอวบและดูเด็กของนาง กอปรกับลักยิ้มบุ๋มสองข้างก็ทำให้นางดูน่ารักน่าชังยิ่งนักและไม่มีทางเลยที่จะใบหน้าของนางจะซ้ำกับผู้ใด
อย่างไรก็ตาม ว่านหลิงเอ๋อร์ก็มิใช่สตรีที่จะเซ้าซี้อะไรจนเกินไป ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นและตนเองก็จำไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที
“ในการคัดเลือกศิษย์เพื่อเข้าสู่หอชั้นในครานี้ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องทั้งสามติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรก และสองคนถึงขั้นอยู่ในสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ ขอแสดงความยินดีด้วยจริง ๆ”
พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเถาเซี่ยวเซี่ยวอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมและเป็นธรรมดาที่นางจะติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของหอชั้นนอก แม้ไม่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นมากเท่าฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ย ในอนาคตทั้งสามก็จะกลายเป็นศิษย์สตรีอันดับต้น ๆ ของหอชั้นในได้อย่างแน่นอน
“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ พวกเราเพียงโชคดีเท่านั้น หากอวี้โม่และซวงเสวี่ยเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้ด้วย เราก็คงไม่ติดอยู่ในสิบอันดับแรกแน่”
เถียนซินและสวีเยว่มิได้ถ่อมตนจนเกินไป พวกนางเพียงกล่าวตามความจริงเท่านั้น สำหรับการคัดเลือกเข้าหอชั้นใน หากฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเข้าร่วมด้วย พวกนางไม่มีทางติดอยู่ในสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน
“อยู่ในห้องนี้รึ ?!”
จู่ ๆ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ก็ดังขึ้นในหูของทุกคนและส่งผลให้สีหน้าของฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์ถอดสีไปทันที