บทที่ 1259 แขกผู้มาเยือน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,259 แขกผู้มาเยือน

“ไม่นะ… ไม่นะ… ข้าน้อย… ไม่ได้ขโมย…”

ยิ่งเจ้าอ้วนลนลานมากเท่าไหร่ อาการติดอ่างก็ยิ่งเป็นหนักมากเท่านั้น

ในไม่ช้า สายตาของแขกในโรงเตี๊ยมจำนวนนับไม่ถ้วนก็จ้องมองขึ้นมาจากห้องอาหารชั้นล่าง พร้อมกันนั้นเสียงพูดคุยในห้องอาหารก็เงียบงันลงทันที

ขณะเดียวกันนี้ ประตูและหน้าต่างของห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสองต่างก็ถูกเปิดออกมา

เริ่มมีผู้คนยื่นศีรษะออกมาดูด้วยความสงสัย

ทันใดนั้น หวังซือหู ว่านหยวนและคนอื่น ๆ ก็เดินออกมาจากในห้องอาหารแล้ว

“หืม? นี่มันเจ้าอ้วนไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าเข้ามาขโมยของในนี้ได้อย่างไร?”

“เจ้าสมควรรอคอยอยู่หน้าทางเข้าหอสุราไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงได้พูดติดอ่างเช่นนี้? ตอบมานะ พวกเราไม่ชวนเจ้าเข้ามารับประทานอาหารด้วย เจ้าจึงเข้ามาขโมยอาหารใช่หรือไม่?”

คำพูดและรอยยิ้มเหยียดหยามถูกสาดใส่ใบหน้าของเจ้าอ้วน

“พะ…พวกท่าน… ไม่นะ… ข้าน้อย… ไม่ได้…”

เจ้าอ้วนพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าอ้วนกลมเป็นสีแดงก่ำ เขาไม่สามารถพูดได้จบประโยค เมื่อมีผู้คนจ้องมองมากมาย เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นฝ่ายผิด

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? อย่างไรพวกเราก็ถือว่าเป็นสหายร่วมรบกันมาแล้ว เจ้าอ้วน หากเจ้าหิวก็มาบอกข้าได้ ไม่เห็นต้องขโมยอาหารเลยนี่นา”

อวิ๋นอู่เหินยิ้มแย้มด้วยความดูถูกดูแคลน

“ท่าน…”

เจ้าอ้วนทั้งร้อนรนทั้งโกรธแค้น เมื่อสมองประมวลผลไม่ทัน เขาจึงทำอะไรไม่ถูก

ดวงตาของอวิ๋นอู่เหินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเหยียดหยามสะใจ

ประเสริฐ!

การที่ตนเองลงมือล้มเหลวต่อเจ้าอ้วนก่อนหน้านี้ ทำให้อวิ๋นอู่เหินตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไม่มีทางรับเจ้าอ้วนกลับเข้าร่วมกลุ่มอีกเด็ดขาด

อวิ๋นอู่เหินไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงเกลียดชังเจ้าอ้วนมากมายนัก

แต่ในเมื่อเจ้าอ้วนออกหน้าช่วยเหลือเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่อวิ๋นอู่เหินต้องสนใจอีกต่อไป

จังหวะนั้น…

“ช้าก่อน”

เสียงคำรามดังขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นในเฉลียงทางเดินหรือห้องอาหารส่วนตัวต่างก็สะท้านสะเทือนด้วยเสียงคำรามนี้

ผู้ดูแลหอสุราชราปรากฏตัวออกมา

ชายชราไม่ได้มีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่หนวดเคราของเขาปลิวไสวไม่ต่างจากราชสีห์ผู้โกรธแค้น พลังกดดันหนักหน่วงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าเป็นนักบู๊ผู้เจนจัดในการต่อสู้คนหนึ่ง

หัวใจของอวิ๋นอู่เหินกระตุกวูบ ลอบโห่ร้องยินดีอยู่ในใจ

เรียบร้อย

คืนนี้นับว่าเจ้าอ้วนโชคร้ายจริง ๆ

ในที่สุด ผู้ดูแลหอสุราก็เดินเข้ามามองหน้าอวิ๋นอู่เหินและกล่าวว่า “นับจากนี้เป็นต้นไป หอสุราของเราไม่ยินดีต้อนรับเจ้าอีก… กรุณาไสหัวไปซะ”

“ว่าไงนะ?”

อวิ๋นอู่เหินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

เขานึกว่าตนเองหูฝาด

“กรุณาไสหัวไปโดยเร็ว”

ดวงตาของผู้ดูแลหอสุราเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเย็นชาและอำมหิต

“เจ้า… แต่ว่า… พวกเราเป็นแขกของใต้เท้าก่าย…” บัดนี้ อวิ๋นอู่เหินกลายเป็นคนติดอ่างบ้างแล้ว

“เจ้าดูหมิ่นแขกคนสำคัญของหอสุราเรา”

ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เราผู้เฒ่าเห็นแก่หน้าใต้เท้าก่าย จึงเอ่ยปากตักเตือนก่อน ทว่าหากพวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกไปโดยเร็ว อย่าได้หาว่าเราผู้เฒ่าใจร้ายเกินไป”

แขกคนสำคัญ?

ใครกันนะ?

อวิ๋นอู่เหินกับพวกของหวังซือหูตื่นตกใจ หลังจากนั้น สายตาจึงค่อย ๆ เลื่อนมาจับจ้องที่เจ้าอ้วนด้วยความเหลือเชื่อ

หรือว่าเจ้าอ้วนคือแขกคนสำคัญของหอสุราแห่งนี้?

ทันใดนั้น การกระทำของผู้ดูแลหอสุราก็ยืนยันความคิดของพวกเขา

“เราผู้เฒ่าต้องขออภัยคุณชายมากแล้ว”

ชายชราหันไปประสานมือแสดงความเคารพต่อเจ้าอ้วน “เราผู้เฒ่าจะจัดการปัญหานี้ให้เร็วที่สุด”

“อ้อ คือว่า…”

ใบหน้าของเจ้าอ้วนกลายเป็นสีแดงก่ำมากกว่าเดิม เขาไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองสมควรพูดอย่างไรดี

จังหวะนั้น สาวนักระบำที่อยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นอู่เหินก็เปลี่ยนแปลงสีหน้าท่าทางอย่างรวดเร็ว นางสลัดหลุดออกจากอ้อมกอดของพวกเขา หยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ หันมาชำเลืองมองด้วยความเหยียดหยาม ก่อนจะเดินสะบัดก้นจากไปในที่สุด

“นี่? สาวน้อย อย่าเพิ่งไปสิ…”

หวังซือหูยกมือเรียก ต้องการจะรั้งตัวพวกนางเอาไว้ แต่ทันใดนั้น ผู้ดูแลหอสุรากลับเคลื่อนกายเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าและคว้าจับคอเสื้อของเขาเหวี่ยงออกไปโดยแรง

วูบ!

หวังซือหูลอยละล่องออกไปกระแทกลงบนถนนหินหน้าหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวบริเวณบั้นท้ายเป็นอย่างยิ่ง…

“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”

ชายชราเสียงเข้ม หันกลับมาถลึงตาใส่พวกของอวิ๋นอู่เหินที่เหลืออยู่

“พวกเราไปกันเถอะ”

อวิ๋นอู่เหินไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งวาจาอาฆาตข่มขู่ และรีบนำลูกสมุนของตนเองเดินออกไปทันที

หลังจากนั้น ผู้ดูแลหอสุราก็กลับมามีสีหน้าเยือกเย็นสงบสุขุมดังเดิม รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ก่อนประสานมือคำนับให้แก่แขกในโรงเตี๊ยมที่อยู่ทั้งชั้นล่างและชั้นบน “เราผู้เฒ่าต้องขออภัยสำหรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นอย่างสูง เพื่อเป็นการขอโทษแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เราผู้เฒ่าจะเลี้ยงสุราแส้พยัคฆ์ทุกท่านคนละหนึ่งไห… ขอเชิญทุกท่านกินดื่มรับประทานต่อไปให้มีความสุขขอรับ”

พลัน หอสุราเหมียวเหมียวหง่าวกลับมามีบรรยากาศครื้นเครงอีกครั้ง

ผู้ดูแลชราถึงกับเดินมาส่งเจ้าอ้วนด้วยตนเอง

“นี่คือป้ายประจำตัวสำหรับลูกค้าระดับสูงของหอสุราเรา เมื่อคุณชายแสดงป้ายนี้ คุณชายก็สามารถมารับประทานอาหารของพวกเราได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โปรดรับไว้ด้วยเถิดขอรับ”

ชายชราประคองแผ่นป้ายสีเหลืองดำส่งมอบออกมาอย่างนอบน้อม

“ไม่ได้”

เจ้าอ้วนโบกมือปฏิเสธ

ครั้งนี้ เขาสามารถออกเสียงได้อย่างชัดเจน

“ถ้าอย่างนั้น… คุณชายสามารถกลับมารับประทานอาหารที่นี่ได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ”

ผู้ดูแลหอสุราไม่ได้บังคับและส่งเจ้าอ้วนออกจากร้านด้วยท่าทีแสดงความเคารพเป็นอย่างสูง

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชายชราก็ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก

ชายชราไม่สนใจสายตาแห่งความสงสัยของผู้คนรอบข้าง เขาหมุนตัวกลับและเดินหายเข้าไปในหอสุราของตนเอง

เพราะเหตุใด เขาจึงสามารถรั้งอยู่ในตำแหน่งผู้ดูแลหอสุราเหมียวเหมียวหง่าวได้อย่างแข็งแกร่งตลอดมาน่ะหรือ?

นั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณของชายชรารู้ดีว่าแขกผู้ที่เข้ามากินดื่มในหอสุราแห่งนี้ต้องการสิ่งใดบ้าง ชายชราจึงสามารถรับรองแขกคนสำคัญได้อย่างถูกอกถูกใจเสมอ

ชายชราไม่เคยมีปัญหากับพวกคนใหญ่คนโตมาก่อน

แต่เพราะเหตุใดในวันนี้ เขาจึงออกหน้าช่วยเหลือเด็กปัญญาอ่อนผู้หนึ่งจากการรังแกของกลุ่มคุณชายคนใหญ่คนโต?

นั่นเป็นเพราะว่าเด็กปัญญาอ่อนผู้นี้เป็นพรรคพวกของนายน้อยเฉียน ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการหอสุราเหมียวเหมียวหง่าวนั่นเอง

บัดนี้ ชายชราสามารถจดจำกลุ่มคนที่เดินทางมาพร้อมกับนายน้อยเฉียนได้ทั้งหมดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องสืบสวนข้อมูลเพิ่มเติม ขอเพียงกลุ่มคนเหล่านี้คนใดคนหนึ่งกลับมาปรากฏตัวขึ้นที่หอสุรานี้อีกครั้ง ชายชราก็มีหน้าที่เพียงรับรองพวกเขาให้ดีที่สุดเท่านั้น

ห่างไกลออกไป บริเวณมุมถนน

อวิ๋นอู่เหินและพรรคพวกยืนจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคียดแค้น

“พี่ใหญ่อวิ๋น เจ้าอ้วนนั่นมีชาติกำเนิดอย่างไรกันแน่? เห็นทีมันคงไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว”

“ฮื่อ น่าเสียดายเหลือเกิน ร่างของนางช่างนุ่มนิ่ม ผิวขาวราวกับหิมะ ทั้งหมดนี้… เป็นเพราะเจ้าอ้วนนั่นคนเดียว”

“ความแค้นครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเด็ดขาด รอให้การแข่งขันรอบต่อไปมาถึงเมื่อไหร่ ข้าจะหาโอกาสจัดการเจ้าอ้วนกับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นพร้อม ๆ กันไปเลย”

“ถูกต้อง แค่พวกเราฆ่าพวกมันระหว่างการแข่งขัน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรพวกเราได้แล้ว”

กลุ่มชายฉกรรจ์คิดด้วยความอาฆาตแค้น โดยเฉพาะเมื่อมีอวิ๋นอู่เหินคอยยุยงปลุกปั่น หลังจากปรึกษาหารือกันสักครู่ พวกเขาก็ได้แผนการสังหารออกมาเรียบร้อย

“อืม อาโหร่ยยย”

อันอันนั่งอยู่ที่โต๊ะหินหยกขาวซึ่งแกะสลักอย่างงดงาม นางอมอาหารแก้มป่องราวกับเป็นกระรอกตัวน้อย ดูน่าขบขันและน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง

มนุษย์เด็กน้อยคือสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในโลกแล้ว

“ขอบคุณท่านอามากนะเจ้าคะ”

อันอันได้แต่ขอบคุณหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า

มารดาบอกว่าอาหารค่ำมื้อนี้เป็นท่านอาจัดเตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะ

“บัดนี้อันอันดีใจที่ได้พบท่านมากกว่าได้พบมารดาของตนเองอีก”

ชิงเล่ยยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก

นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ พวกนางก็มีความสุขไปกับแสงอาทิตย์สดใส อากาศบริสุทธิ์และทิวทัศน์ที่งดงามในทุก ๆ วัน สภาพจิตใจของอันอันดีขึ้นมากและใบหน้าก็มีสีเลือดฝาดอย่างคนที่สุขภาพดี

นี่คือครั้งแรกที่เด็กน้อยได้รับรู้ถึงความงดงามของการมีชีวิต

ชิงเล่ยเฝ้ามองใบหน้าที่มีความสุขของบุตรสาว ในหัวใจรู้สึกตื้นตันอย่างอธิบายไม่ถูก

นางหันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาหวานหยดย้อย

การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างไปจากปาฏิหาริย์ เขาเป็นผู้เปลี่ยนชีวิตของนางกับบุตรสาว และยังนำพาสิ่งดี ๆ เข้ามาสู่ชีวิตไม่รู้จบ

“อันอันค่อย ๆ รับประทาน ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืนรับประทานให้หมด”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมา ก่อนกล่าวว่า “ท่านอากับท่านแม่จะเข้าไปฝึกวิชาในห้องลับกันสักครู่ เมื่อฝึกวิชาเสร็จแล้ว พวกเราจะออกมาเล่นกับเจ้าดีหรือไม่?”

สองแก้มของชิงเล่ยแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

“เจ้าค่ะ พวกท่านไปฝึกวิชากันเถอะ”

อันอันเงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มอย่างเชื่อฟัง

เด็กน้อยอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามที่ยังอยู่ในพื้นที่เขต 2 บางครั้งนางถึงกับต้องรอคอยมารดาที่ลานหน้าบ้านจนมืดค่ำ เพราะฉะนั้น การนั่งรับประทานอาหารคนเดียวอยู่ในสวนหย่อมที่เขียวขจีเช่นนี้จึงไม่นับว่าเป็นอันใด

หลินเป่ยเฉินเดินนำตัวชิงเล่ยหายเข้าไปในคฤหาสน์

อันอันนั่งรับประทานอาหารอย่างเชื่อฟังอยู่ที่โต๊ะหินหยกขาว

เด็กน้อยรับประทานอย่างตั้งใจและจริงจัง

หากมีเศษอาหารกระเด็นตกจากชามออกมาเล็กน้อย มือน้อย ๆ นั้นก็จะรีบหยิบเข้าใส่ปากทันที อันอันรับประทานด้วยความระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะทำให้หมูทุกชิ้นข้าวทุกเม็ดต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน

อันอันลุกขึ้นยืนและเก็บอาหารที่ยังเหลืออยู่ใส่ในกล่องบรรจุอาหารอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากนั้น เด็กน้อยก็จัดการล้างจานชาม ทำความสะอาดโต๊ะและทำความสะอาดลานหน้าคฤหาสน์

อันอันหันหน้ามองไปทางคฤหาสน์หลังใหญ่ทางด้านหลัง ท่านแม่กับท่านอายังฝึกวิชากันไม่เสร็จ เด็กน้อยจึงเดินกลับมานั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะหินหยกขาวตัวเดิม

บ้านหลังใหม่บนภูเขาเซียวฝูมีทิวทัศน์งดงามยิ่ง

ที่นี่มีทั้งน้ำพุ น้ำตกจำลอง สระน้ำ ศาลานั่งเล่นและสวนดอกไม้

หลายครั้งอันอันรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝันไป นางกลัวว่าสักวันหนึ่งความฝันนี้จะจบลง ทุกครั้งที่ตนเองตื่นลืมตาขึ้นมา อันอันกลัวว่าจะตื่นจากฝันและกลับไปอยู่ในบ้านพักในตรอกดำทะมึนนั้นอีกครั้ง

อีกครึ่งชั่วยามผ่านไป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากม่านพลังที่กั้นบริเวณอยู่รอบอาณาเขตคฤหาสน์

มีคนมา?

อันอันเบิกตาโต นำกุญแจควบคุมค่ายอาคมฉายภาพออกมาใช้งานอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้น ภาพจากบริเวณหน้าประตูทางเข้าใหญ่ก็ถูกฉายขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเด็กน้อย

หน้าประตูใหญ่ในขณะนี้ หญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยเด็กหญิงวัยสามขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอีกคนหนึ่ง

แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะพวกนางยังได้นำหญิงรับใช้อีกสองคนติดตามมาพร้อมกับกล่องของขวัญอีกด้วย

พวกนางเป็นใคร?

อันอันไม่รู้จักเลยสักคน

เหตุไฉนถึงได้มาเคาะประตูบ้านอันอันเล่า?