“ข้าเถาฮันยี่จากเมืองสงบใต้ขอคำชี้แนะจากพี่เย่ด้วย!”
ระหว่างที่คนทั้งหลายยังคงไม่กล้าก้าวเดินออกมามันก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมาตรงหน้าเย่หยวนและท้าทายเขา
แต่เขานั้นมาด้วยท่าทางเปิดเผยไม่ได้คิดลอบโจมตีใคร
เขานั้นดูเหมือนจะเป็นสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง
แต่ยูถันจื่อนั้นกลับกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าดูถูก “สุดท้ายเจ้านี่มันก็เสนอหน้าออกมาจนได้! แต่เช่นนี้ก็ดี จะได้เห็นว่าเจ้าเด็กคนนี้มันเก่งกาจถึงขั้นไหน”
หลายต่อหลายคนที่รู้จักนิสัยเถาฮันยี่นั้นต่างแสดงสีหน้าดูถูกออกมาตามๆ กัน
การเข้ามาท้าทายเช่นนี้มันย่อมจะเพื่อถือโอกาสที่คนอื่นกำลังอ่อนล้า
แต่ในสนามรบแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ ใครกันเล่าที่จะมาสนใจรักษากฎใด?
เพราะอย่างไรเสียนี่มันก็คือศึกที่ไร้กฎเกณฑ์ ตราบเท่าที่ฆ่าอีกฝ่ายได้มันก็จบ
ไม่ว่าจะเป็นการลอบโจมตีทีเผลอ หรือการท้าทายขณะอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อน
เย่หยวนลืมตาขึ้นมามองดูอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ ลอยตัวลุกขึ้น
“ได้สิ เชิญสั่งสอนชี้แนะได้” เย่หยวนยิ้มรับ
เถาฮันยี่นั้นแสดงท่าทางสุภาพยกมือขึ้นมาคารวะ “พี่เย่นั้นมีค่ายกลดาบที่เหนือล้ำ ท่านต้องแสดงเมตตาแก่ข้าบ้าง!”
แต่ในจิตใจของเขานั้นกำลังหัวเราะเย้ย
เถาฮันยี่คิดในใจ ‘มันสร้างเรื่องราวใหญ่โตเช่นนั้นไปก่อนหน้าปราณเทวะของเจ้าเด็กนี่คงเหลือไม่มากแล้ว! จัดการกับมันในเวลานี้คงเหมาะสมที่สุด! ตราบเท่าที่ข้าสังหารมันลงได้ ข้าก็จะได้นามของผู้พิชิตว่านเจิ้นติดมาด้วย!’
เย่หยวนนั้นผงะไปนิดหน่อยหลังได้ยิน
แสดงเมตตา?
เจ้าล้อเล่นหรือ?
นี่มันคือศึกดวลเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!
แต่เห็นท่าทางอ่อนน้อมของอีกฝ่ายนั้นตัวเย่หยวนก็ได้แค่ต้องยิ้มตอบไป “ความเป็นตายนั้นขึ้นอยู่กับชะตา พวกเราก็มาพึ่งพาความสามารถของตนเองกันเถอะ!”
เขานั้นไม่ได้ฆ่าสังหารว่านเจิ้นนั้นหนึ่งคือพวกเขานับถือกันมาก่อน สองคือหากคิดอยากสังหารว่านเจิ้นลงจริงๆ เย่หยวนคงต้องเหนื่อยยากอีกไม่น้อยและอาจจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบหากมีใครคิดลอบโจมตีทีหลัง
แต่แค่เขาไม่สังหารว่านเจิ้น มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สังหารคนอื่นๆ
ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นมาท้าทายเขาแล้วก็ย่อมต้องเตรียมตัวตายไว้ด้วย
เย่หยวนนั้นย่อมจะพูดออกมาเพื่อเป็นการเตือนกรายๆ แต่ในสายตาของเถาฮันยี่แล้วมันย่อมจะฟังดูน่าขัน
แต่อย่างไรเขาก็ยังรักษาท่าทางสุภาพนั้นไว้ “ฮ่าๆ ย่อมได้ๆ!”
วินาทีก่อนนั้นเขายังยิ้มกล่าว
แต่วินาทีต่อมาเขากลับลงมือด้วยกระบวนท่าสังหาร!
พริบตาเดียวนี้เถาฮันยี่ได้ใช้การโจมตีที่สุดแสนรุนแรงออกมา
ในฐานะอันดับหนึ่งแห่งเมืองสงบใต้ตัวเถาฮันยี่ย่อมจะมีฝีมือเก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
ดาบร้อยจุติ!
นี่มันคือพลังจากการผสานเต๋าดาบและแนวคิดแห่งการจุติมีพลังเหนือล้ำฟ้าดิน!
การจุติของเต๋าสวรรค์นั้นบอกให้เจ้าอยู่เจ้าก็จะต้องอยู่!
สั่งให้เจ้าตายเจ้าก็ต้องยอมตาย!
คลื่นพลังดาบรุนแรงนั้นมันปะทะเข้าใส่ตัวเย่หยวนอย่างแรง
ร่างกายของเย่หยวนนั้นเหมือนตกลงมาในห้วงทะเลแห่งดาบ
แต่เย่หยวนก็มิใช่เด็กใหม่ฝึกหัด เขานั้นเตรียมใช้ค่ายกลดาบนิพพานแท้ไว้ตั้งแต่ต้นและใช้พลังทั้งสี่อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นแสงนับพันพุ่งทะยานใส่พลังดาบไร้จำกัดของเถาฮันยี่
วินาทีต่อมานี้ทั้งดาบแสงและค่ายกลดาบเข้าปะทะกันด้วยพลังแนวคิดยุ่งเหยิง
คลื่นพลังรุนแรงหนักหน่วงกระจายออกมาทั่วกรงยักษ์อีกครั้ง
แต่ยิ่งสู้ไปตัวเถาฮันยี่ก็ยิ่งกังวล
เพราะแม้เขาจะไม่ได้มีพลังแนวคิดที่เหนือล้ำอย่างว่านเจิ้นแต่ในหมู่ยอดอัจฉริยะด้วยกันนั้นเขาก็ยังนับว่าเก่งกาจไม่น้อย
เย่หยวนนี้ปะทะกับว่านเจิ้นอย่างหนักหน่วงแท้ๆ แต่ทำไมยังมีปราณเทวะหนาแน่นถึงปานนี้ได้?
ดาบของเขานั้นมันค่อยๆ หยุดช้าลงเหมือนถูกอะไรดูดตรึงไว้ภายในค่ายกลดาบนิพพานแท้ทำให้ไม่อาจจะทำอันตรายใดๆ เย่หยวนได้เลย
เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่าคนที่ทำลายกำเนิดหมื่นเต๋าของว่านเจิ้นลงได้นั้นมันแข็งแกร่งแค่ไหน!
ผางเจิ้นและคนทั้งหลายเองก็หันมามองดูเรื่องราวตั้งแต่ต้นอย่างสนใจ เมื่อได้เห็นเถาฮันยี่ค่อยๆ เสียเปรียบลงพวกเขาก็รู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างสุดใจอีกครั้ง
เขานั้นมั่นใจว่าตอนที่ว่านเจิ้นปะทะกับเย่หยวนก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองไม่มีใครออมมือใดๆ สิ้น
การปะทะของคนทั้งสองนั้นมันคงนับได้ว่าเป็นที่สุดของการต่อสู้ในกรงนี้แล้ว
ปราณเทวะที่ต้องใช้ในการปะทะต่อสู้เช่นนั้นมันย่อมจะมากล้ำจินตนาการ
ผางเจิ้นนั้นก็ไม่ได้ถึงขั้นคิดว่าเย่หยวนจะสู้ไม่ได้เลย
แต่เขาก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเย่หยวนจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างหนักแน่นเช่นนี้
เพราะอย่างไรเสียเถาฮันยี่ก็มิใช่หมูหมากาไก่ข้างทาง
คนที่ได้อันดับหนึ่งของแต่ละเมืองมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะ
แม้ว่าตัวยูถันจื่อและคนที่รู้จักเขาจะดูถูกนิสัยของเถาฮันยี่แต่พวกเขาก็ไม่เคยสงสัยในฝีมือของอีกฝ่ายเลย
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ต่อสู้ใดๆ มากมาย
แต่เวลานี้เมื่อเขาคิดฉวยโอกาสที่เย่หยวนเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้ มันกลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน
ไม่นานดาบในมือของเขามันก็ถูกเย่หยวนกดดันไว้จนสิ้น
ตั้งแต่ต้นที่เขาเข้าโจมตีอย่างดุดันจนถึงเวลานี้ที่เขาแทบไม่มีแรงขัดขืนใดมันใช้เวลาแสนสั้น
ความเป็นตายมันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว!
ความตื่นตะลึงในจิตใจของเถาฮันยี่นั้นพุ่งทะยานสูงขึ้นๆ ก่อนที่เขาจะตะโกนร้อง “พี่เย่นั้นเก่งกาจล้ำ เถาผู้นี้ขอยอมแพ้แล้ว! พี่เย่โปรดแสดงเมตตาด้วย!”
แต่เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย “ขอโทษทีแต่ในสนามรบเป็นตายเช่นนี้ ใครจะยังมาแสดงความเมตตาใด? ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเจ้าลงมือกระบวนท่าแรกก็เป็นกระบวนท่าสังหารแล้ว เวลานี้แล้วยังจะมีหน้ามาขอให้ข้าแสดงความเมตตาใดอีกเล่า? ไม่คิดว่ามันสายไปหรือ?”
เย่หยวนก็ไม่ได้โง่
การประลองฝีมือกับการฆ่าหมายชีวิตนั้นมันจะเป็นอย่างเดียวกันไปได้?
เจ้าหมอนี่มันคิดหมายเอาชีวิตตั้งแต่กระบวนท่าแรกที่ใช้ออก ดูอยากไรก็หมายเอาชีวิต
เย่หยวนนั้นเข้าใจสถานการณ์ดี มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจว่าชายผู้นี้มาเพื่อฉวยโอกาสตอนคนเหนื่อยอ่อน?
เขานั้นคงคิดว่าเย่หยวนเพิ่งผ่านศึกหนักมาและคงอ่อนแอให้ผู้คนฆ่าได้ง่ายๆ
หึๆ เรื่องเช่นนั้นมันจะมีได้อย่างไร?
เถาฮันยี่ร้องขึ้นมา “พี่เย่ เถาผู้นี้…”
แต่มีหรือที่เย่หยวนจะยังเสียเวลาฟัง? เขาใช้ค่ายกลดาบนิพพานแท้สับร่างของเถาฮันยี่ไปทันที
“ที่แท้นี่คือพลังของเย่หยวน!”
“เขานั้นมีปราณเทวะที่หนาแน่นกว่าคนทั่วไปมากล้น หลังจากผ่านศึกหนักเช่นนั้นมาเขายังมีปราณเทวะให้ใช้อยู่อีกมากล้น!”
“ข้ารู้เถาฮันยี่ แม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้เก่งกาจเท่าว่านเจิ้นแต่ก็ไม่ง่ายหากว่านเจิ้นคิดจะเอาชนะเขาลง เย่หยวนนั้นเก่งกาจเกินไปจริงๆ!”
“ในที่สุดข้าก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงใช้เวลาแค่สิบปีเอาชนะว่านเจิ้นมาได้ ด้วยปราณเทวะที่หนาแน่นปานนี้กอปรกับค่ายกลดาบที่ล่าสัตว์ร้ายได้ง่ายดาย รวมๆ แล้วเขาคือเครื่องจักรสังหารชัดๆ!”
…
เวลานี้คนทั้งเมืองเมฆหนุนต่างตื่นตะลึงไปตามๆ กัน หลังจากได้เห็นการประลองยิ่งใหญ่นั้นแล้วพวกเขาทั้งหลายจึงได้เชื่อถือว่าเย่หยวนนั้นมีกำลังพอจะเอาชนะว่านเจิ้นได้จริง
เขานั้นสมชื่อที่ได้เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป!
และการประลองนี้มันก็ทำให้ยอดอัจฉริยะในกรงทั้งหลายต้องตื่นตะลึงไปด้วย
เวลานี้มันจะยังมีใครโง่เข้าไปท้าทายคิดเอาเปรียบความเหนื่อยอ่อนใดอีก?
แม้แต่ตัวผางเจิ้นหรือยูถันจื่อเองก็ไม่กล้าจะออกมาท้าทายใดๆ
พวกเขานั้นมั่นใจว่าจะไม่แพ้แก่เย่หยวนลงง่ายๆ แต่หากมันพลาดแพ้ขึ้นมาเล่า?
เป้าหมายของพวกเขาทั้งหลายนั้นคือสมบัติสืบทอดเลิศล้ำ มิใช่มาแสดงความกล้าโง่ๆ
เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงเลือกที่จะเมินเย่หยวนไปพร้อมๆ กัน
ครั้งนี้เย่หยวนจึงได้นั่งลงพักผ่อนอย่างสบายใจเสียที
เมื่อเวลายิ่งผ่านไปนานการต่อสู้มันก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นและมากขึ้น
จากจำนวนที่ตอนแรกมีราวห้าร้อยคนมันค่อยๆ ลดลงเหลือสี่ร้อย จนสุดท้ายมาเหลือเพียงแค่หนึ่งร้อย
สุดท้ายนี้มันเหลือเพียงแค่ยอดคนอย่างแท้จริงแล้ว!
คนทั้งหลายที่เหลือรอดมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดของสุดยอดอัจฉริยะ แต่ละคนนั้นมีพลังฝีมือเหนือล้ำจินตนาการ
แน่นอนว่าคนที่เหลืออยู่นี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยอดคนที่ติดอันดับหนึ่งของแต่ละเมืองมาสิ้น
แต่มันก็มีอันดับหนึ่งที่ตกไปเช่นกัน
บ้างนั้นก็โดนลอบโจมตี บ้างก็ถูกรุมตอนอ่อนแรง
แต่คนที่เหลือทั้งหลายนี้มันไม่มีใครจะอ่อนแอเลยแม้สักคน
………………..