ตอนที่ 2592

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,592 : ความรับผิดชอบของลูกผู้ชาย

 

ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!

 

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะถอยห่างออกมาได้ทันเวลา แต่ทว่าแถบริ้วสีเขียวที่ปะทุออกมาหลังร่างปี่น่าเย่เจียระเบิดบึ้มนั้น มากมีจำนวนมายมหาศาลนัก สุดท้ายก็มีบางสายพุ่งเข้าร่างเขาโดยไร้หนทางหลีกหลบ!

 

‘นี่มันอะไรกันแน่?!’

 

ตอนแถบริ้วสีเขียวพุ่งเข้ามาในร่างกายต้วนหลิงเทียน มันไม่ได้ทิ้งบาดแผลใดๆไว้บนร่างกายต้วนหลิงเทียนเลย ทำราวกับริ้วแสงเขียวนั่นมันผสานเข้ากับร่างต้วนหลิงเทียนในทันที

 

‘ทักษะวิญญาณ?’

 

ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาก่อนใดอื่น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ล้มเลิกมันไป

 

‘ไม่! นี่ไม่ใช่ทักษะวิญญาณแน่นอน…หากเป็นทักษะวิญญาณมันจะต้องพุ่งเข้าใส่ดวงจิตของข้าทันทีแน่ หลังจากที่เข้ามาในร่างข้าได้แบบนี้’

 

‘’แต่แถบริ้วสีเขียวนี่ หลังพุ่งเข้าร่างมา…รู้สึกมันจะแปรสภาพไปเป็นของเหลว’

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจน

 

แถบริ้วสีเขียวนั่นหลังชำแรกเข้าร่างเขาก็คล้ายจะแปรสภาพไปเป็นของเหลว จากนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วร่างเขา ในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หยุดยั้งมันไม่ได้

 

‘นี่มันอะไรกันแน่…’

 

หลังจากของเหลวปริศนาก่อเกิดในร่างเขาได้ไม่ทันไร มันก็คล้ายจะแปรสภาพกลายเป็นหมอกควันเดือดระอุและเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา!พาลให้ทั่วร่างเขาบังเกิดความร้อนรุ่มขึ้นมาทันที!!

 

ทันใดนั้นใต้ท้องน้อยต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกร้อนลวกขึ้นมาดั่งไฟเผา เป็นปืนใหญ่ที่กักเก็บไว้นาน บัดนี้ได้ขึ้นลำตั้งตระหง่านชูชันพร้อมยิง! แถมยังต้องยิงออกโดยด่วน!!

 

‘ให้ตาย…แถบริ้วสีเขียวนั่น..เป็นยาปลุกกำหนัดงั้นเหรอ!?’

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักเรื่องราวได้ไม่ยาก

 

สำหรับเหตุผลที่ไฉนอีกฝ่ายใช้ยาปลุกกำหนัดเป็นกับดักแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก ‘หลวงจีนจมูกโคจากนิกายสราญรมย์น่าตายนั่น มันกลับทิ้งลูกไม้อุบาทว์แบบนี้เอาไว้ในร่างเพราะมีคิดเรื่องทำนองนี้ไว้แล้ว…ช่างเป็นฝีมือย่อยอันต่ำช้า พาลให้ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะทั่วหล้าเสื่อมเสียนัก!’

(ราชาอมตะ = เซียนหวาง)

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าทั่วร่างกำลังร้อนรุ่มขึ้นมาทุกขณะนั้น

 

ทางด้านของมู่หรงปิง ที่ถูกแถบริ้วสีเขียวเข้าไปในระยะประชิดจำนวนมากบัดนี้ สีผิวที่เคยขาวกระจ่างราวหิมะแรกฤดูหนาวของนางที่โผล่พ้นชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนก็เริ่มแดงขึ้นให้เห็นชัดราวกับถูกย้อมสี

 

นอกจากนั้นสายตาที่แต่เดิมเคยกระจ่างใสเต็มไปด้วยความเย็นชา กลับเริ่มขุ่นมัวไปด้วยอารมณ์ ราวกับบัวพิสุทธิ์เปื้อนโคลนตม

 

‘บ้าเอ๊ย…ความรู้สึกแบบนี้มัน…ถ้าข้าฝืนทนต่อไป ได้อึดอัดจนระเบิดตายแน่!’

 

ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็พยายามอดกลั้นเอาไว้เต็มที่ แต่เขาก็พบว่านั่นเป็นไปไม่ได้เลย!

 

ตอนนี้ร่างเขาเสมือนเตาหลอมที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆใกล้ถึงจุดวิกฤต พร้อมระเบิดได้ทุกเวลา!

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยายามกัดฟันต่อต้านความรู้สึกร้อนรุ่มดั่งเพลิงไฟที่แผดเผาไปทั่วร่าง ด้วยการโคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดนั้น…

 

‘หืม?’

จมูกเขาพลันสูดรับได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากหลังคอ ต่อมาก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนประการหนึ่ง

 

เป็นแขนคู่เนียนกระจ่างดั่งหยกขาวหิมะ ผิวสัมผัสยังอ่อนนุ่มละมุน เลื้อยมาพันรอบคอโอบกอดเขาไว้แนบแน่นประหนึ่งรากบัว ทำราวกับไม่อยากแยกจากไปไหนและคิดเชิญชวนให้สนิทสนมกันมากกว่านี้

 

“อย่าได้…อย่าได้…แตะต้องข้า”

 

ลมหายใจร้อนๆหนึ่งพัดแผ่วอยู่ข้างหูต้วนหลิงเทียน น้ำเสียงยังกระเส่านัก

 

ขณะเดียวกันร่างกายอันอ่อนนุ่มคล้ายไม่มีกระดูกราวงูน้ำ ก็เริ่มเบียดแนบไปกับแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน ยังเริ่มกอดเขาไว้ดั่งปลาหมึก!

 

ด้วยแรงกอดที่แนบแน่น ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับหายใจลำบาก

 

“แม่นาง…พี่สาว…ท่านย่าน้อย…ขอเถอะ! ตอนนี้…ไม่ใช่ท่านหรอกหรือ ที่กำลังแตะต้องข้า?”

 

ตั้งแต่ที่กลิ่นหอมอ่อนๆเข้าจมูกต้วนหลิงเทียน พอมาถูกเป่าลมร้อนเข้าหูด้วยเสียงกระเส่า ทั้งสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่แทบจะเลื้อยอยู่บนแผ่นหลังรวมถึงการกอดรัดเอาไว้เช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแค่ว่า…ร่างที่เดิมก็ร้อนมากเป็นทุน ตอนนี้มันทวีความร้อนเร่าขึ้นหลายเท่า อีกทั้งไฟราคะในร่างก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม

 

เจียนจะสูญเสียการควบคุมเต็มที!

 

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกได้ชัดเจน

 

ว่าสติสัมปชัญญะและความหักห้ามใจสุดท้ายของเขากำลังจะขาดผึง

 

“ฆ่า…ฆ่าข้า…ฆ่าข้า”

 

มู่หรงปิงที่กอดต้วนหลิงเทียนไว้แน่นหนึบราวปลาหมึก กัดฟันกล่าวออกมาข้างหูต้วนหลิงเทียน สองตาดั่งสารทฤดูบัดนี้เริ่มพร่ามัวราวมีเมฆหมอกบดบัง คล้ายจะสูญเสียความคิดได้ทุกเมื่อ..

 

“หากข้ายังเหลือเรี่ยวแรงฆ่าท่าน…ป่านนี้ข้าโยนท่านทิ้งไปนานแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนมองมู่หรงปิงที่กอดเขาแน่นด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวเหยเก ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าสติของเขาพร่าเลือนมากขึ้นทุกที

 

‘ช่างเป็นยาปลุกกำหนัดที่ทรงพลังนัก…มันเพิกเฉยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด และพลังวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์…’

 

ต้วนหลิงเทียนที่พยายามโคจรพลังไปทั่วร่าง ก็ได้ลองใช้ทั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณต้านทานพลังโอสถที่แพร่ออกมาทั่วร่างเขาดูแล้ว แต่เขาพบว่าพลังของโอสถนี้รุนแรงทั้งครอบงำเกินไป! มันไม่สนพลังเซียนอมตะและพลังวิญญาณของเขาเลย!!

 

‘ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสถานการณ์ของนางถึงได้ย่ำแย่กว่าข้า…’

 

หันไปมองมู่หรงปิงที่ตอนนี้เริ่มนัวเนียเบียดเลื้อยอยู่บนร่างของเขาหนักข้อ แถมมือนางยังเริ่มลูบๆจับๆไปทั่วตัวเขา ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา เพราะจังหวะนี้เขารู้สึกจนปัญญาแล้วจริงๆ

 

มู่หรงปิงนั้นไม่เพียงถูกแถบริ้วแสงไปมากกว่าเขา นางกระทั่งถูกพวกมันก่อนเขา เช่นนั้นสถานการณ์ของนางถือว่าย่ำแยกว่าเขามากมายนัก

 

จากนั้นไม่นาน มู่หรงปิงก็สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปอย่างสมบูรณ์

 

ต้วนหลิงเทียนที่ทนได้ต่ออีกสักพัก สุดท้ายก็สูญเสียความคิดไปเช่นกัน

 

เมื่อร่างทั้ง 2 สิ้นสติไป ร่างกายก็ถูกพลังโอสถครอบงำอย่างสมบูรณ์ ชุดเสื้อผ้าถูกอีกฝ่ายฉีกกระชากออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นสองร่างเปล่าเปลือยก็เริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเผ็ดร้อน ปืนใหญ่แกร่งทะลวงฝ่าเข้าไปในช่องแคบนุ่มร้อนที่ไร้ผู้ใดเคยย่างกรายมาก่อนอย่างอุกอาจ หยินหยางสอดประสานกันราวน้ำนมผสม

 

 

ในระหว่างที่ทั้งคู่พัวพันสอดประสานดั่งยวนยางสภาพแวดล้อมโดยรอบก็แปรเปลี่ยนไปจากโบสถ์อันมีพระพุทธรูปอุจาดตา กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ตั้งอยู่ในหุบเขาสงบ

 

หากแต่แม้สภาพแวดล้อมโดยรอบจะแปรเปลี่ยนไปแล้ว สองร่างก็ยังคงกระแทกกระทั้นเข้าจังหวะกันถี่รัวหนักหน่วงไม่หยุดยั้ง ราวกับทั้งคู่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

หุบเขาแห่งนี้ย่อมเป็นด้านนอกที่มี ‘ทางเข้า’ โลกใบเล็กของยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะแห่งนิกายสราญรมย์เปิดไว้บริเวณใจกลางนั่นเอง และเดิมทีอาณาบริเวณโดยรอบแถบนี้มักมีความผันผวนเชิงพื้นที่อย่างรุนแรงเสมอ

 

ทว่าตอนนี้นับประสาอะไรกับความปั่นป่วนโดยรอบ กระทั่งใจกลางหุบเขายังสงบเงียบ พื้นที่กลายเป็นมั่นคงมีเสถียรภาพอย่างมาก!

 

เทียบกับก่อนหน้า ช่างแตกต่างกันสุดขั้ว!

 

และ ‘ทางเข้า’ โลกใบเล็ก ก็ดูเหมือนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

อันที่จริงในตอนที่ต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงพากันขาดสติและร่วมหลับนอนกันนั้น โลกใบเล็กที่เหลือทิ้งไว้โดยยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะของนิกายสราญรมย์ ก็ได้หายสาบสูญไปจากโลกหล้าโดยสมบูรณ์

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

หลังผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยามครึ่ง…

 

“อ๊าา—”

 

เสียงกรีดร้องรุนแรงหนึ่งดังขึ้น!

 

ครู่ต่อมาร่างสองร่างที่สอดประสานเข้าจังหวะกันอย่างแนบแน่นราวน้ำผสมนมก็ผละออกจากกัน ก่อนที่ร่างแกร่งจะถูกซัดปลิดปลิวออกไปราวว่าวสายป่านขาด ค่อยกระแทกกับผนังผาไกลห่างอย่างแรง!

 

“อั๊ค!”

 

ร่างที่ถูกซัดปลิวไปกระแทกผนังผากระอักโลหิตออกมาคำใหญ่! เป็นต้วนหลิงเทียนที่พึ่งได้สติค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะตอนนี้อวัยวะภายในเขาบาดเจ็บเพราะถูกซัดไม่น้อย

 

และพอลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นร่างเปลือยเปล่าอันสมบูรณ์แบบยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

 

ขณะเดียวกันบุปผาโลหิตที่เบ่งบานอยู่บริเวณพื้นด้านล่าง ทั้งคราบขาวขุ่นผสมโลหิตไหลที่ไหลย้อยลงมาจากเนินแนบชิดจนเลอะโคนขาด้านในตัดกับผิวกระจ่าง ก็ดึงดูดสายตาต้วนหลิงเทียนไปทันที

 

ทันทีที่เห็นภาพเรื่องราวตรงหน้า ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเผยยิ้มขื่นขมออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“โจรราคะ! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!!”

 

ร่างเปลือยเปล่าอันสมบูรณ์แบบเมื่อครู่ อยู่ๆก็ปรากฏชุดเสื้อผ้าปรากฏขึ้นมาปกปิดเรือนร่าง ทั้งพุ่งวาบมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนในเสี้ยวพริบตาดั่งอัสนีฟาด!

 

ฟุ่บ! ขวับ!

 

 

นิ้วทั้ง 5 ที่งองุ้มดังกรงเล็บทั้งมีรังสีพลังแหลมคมปกคลุม พุ่งมาหยุดห่างจากหน้าผากต้วนหลิงเทียนไม่ถึงชุ่น!

 

เรียกว่าขอเพียงออกแรงกดลงไปอีกแค่เล็กน้อย ก็ฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายได้ง่ายๆ!

 

มู่หรงปิงมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้าตาเขม็ง ในแววตาของนางตอนนี้นอกจากความเย็นชาเปี่ยมโทสะแล้วยังเจือไว้ด้วยความซับซ้อนยากบรรยาย

 

ตอนที่นางได้สติกลับคืนและพบว่าบุรุษตรงหน้าได้ทำลายความบริสุทธิ์ของนางไปเสียแล้ว นางก็อยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตกโดยเร็วที่สุด!

 

แต่ครู่ต่อมานางก็สำนึกได้ ว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ที่สำคัญนี่ยังเป็นความผิดของนางแต่แรก!

 

หากไม่ใช่เพราะนางลงมือทำลายร่างปี่น่าเย่เจียอย่างวู่วาม ไหนเลยจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น?

 

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ สุดท้ายนางก็พบว่าทั้งหมดเป็นความผิดของนางทั้งนั้น

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจหักใจเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ เพราะมโนธรรมของนางที่รู้ผิดชอบชั่วดี…

 

การลงมือของมู่หรงปิงแน่นอนว่ารวดเร็วสุดที่ต้วนหลิงเทียนจะมองตามได้ทัน ทำให้เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหยุดมือลงในวินาทีสุดท้าย

 

“เฮ่อ…”

 

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียน ก็อดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ต้องการให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้…แต่ในฐานะลูกผู้ชาย ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง”

 

เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาอันเปี่ยมล้นไปด้วยโทสะและจิตสังหารที่ลุกโชนดั่งเพลิงไฟของมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ให้คำมั่นว่าจะรับผิดชอบนางในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง

 

ถึงแม้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น…จะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

 

ทว่าพรหมจรรย์ของสตรีที่บริสุทธิ์นางหนึ่งก็ถูกทำลายลงด้วยมือเขา…

 

เขาไม่อาจเพิกเฉยเรื่องนี้ได้…

 

ในฐานะลูกผู้ชาย ย่อมต้องมีความรับผิดชอบ!

 

แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ร่างมู่หรงปิงที่แต่เดิมอยู่เบื้องหน้าเขา ก็อันตรธานหายไปราวภูตผี ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆให้สืบสาว

 

ทำราวกับนางไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

 

‘นางไปแล้ว?’

 

สีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที เมื่อพบว่ามู่หรงปิงหายไป

 

ด้วยความที่พลังฝึกปรือของมู่หรงปิงมันเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก เช่นนั้นแล้วในตอนที่มู่หรงปิงจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจจับร่องรอยหรือเงาร่างของนางได้เลย…

 

“อย่าได้โผล่มาให้ข้าเห็นหน้าอีก…หากเจ้าโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!”

 

ทันใดนั้นเองเสียงมู่หรงปิงก็ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนมาแต่ไกล และน้ำเสียงช่างเย็นชาหนักน่วงนัก ราวกับจะแช่ร่างผู้คนได้เป็นพันๆลี้!

 

หลังกล่าวว่าจาอำมหิตทิ้งท้าย มู่หรงปิงก็หายเงียบไป…

 

ไม่เพียงแค่คน แต่เสียงยังไม่มีเหลือ

 

“ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ…สตรีที่ข้าต้วนหลิงเทียนนอนด้วย เป็นได้แค่ผู้หญิงของข้าต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!”

 

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อรับความจริงเรื่องที่มู่หรงปิงจากไปได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวพึมพำออกมาเบาๆกับตัว หากแต่น้ำเสียงช่วงท้ายประโยคนั้น ช่างครอบงำนัก!

 

‘มู่หรงปิง’

 

‘ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา คือยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายของนาง’

 

นี่คือ 2 เบาะแสที่มู่หรงปิงทิ้งไว้ให้ต้วนหลิงเทียน

 

วันหน้าหากเขาคิดหาตัวมู่หรงปิง ก็ได้แต่พึ่งพาอาศัยเบาะแสทั้ง 2 ที่มี!