ตอนที่ 1861 ปรมาจารย์นักปรุงยาจื่อเฉิงช่างรู้ช่องทางหาเงิน

Alchemy Emperor of the Divine Dao

เพียงแต่ว่าเมื่อซุนตงพาจ้าวชิงเฟิงและหลู่เซียนหมิงมายังอาณาเขตเมืองที่หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าหลิงฮันได้เข้าห้องบ่มเพาะกาลเวลาไปแล้ว

“ไม่ใช่ปัญหา คนผู้นี้จะต้องเข้าร่วมการประลองด้วยแน่นอน” จ้าวชิงเฟิงยิ้มอย่างไม่แยแส “หากพลังของเขาเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง เขาย่อมสามารถพิชิตการประลองในอาณาเขตแรก และมายังการประลองสุดท้ายได้”

เขากล่าวพร้อมกับแสยะยิ้มกระหายเลือดราวกับสัตว์อสูร

ในหมู่ราชาสวรรค์ที่เป็นผู้ติดตามของเอี๋ยนเซียนลู่ เขาคือคนที่เสพติดการเข่นฆ่ามากที่สุด แม้กระทั่งในตอนที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับเพื่อเฟ้นหาวาสนา เขาก็เคยสังหารผู้สืบทอดจากขุมอำนาจต่างๆมาแล้วมากมาย หากไม่ใช่เพราะวิหารอนันต์รุ่งโรจน์เป็นขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับแปดล่ะก็ เขาคงถูกขุมอำนาจต่างๆจับกุมไปนานแล้ว

การได้สังหารอัจฉริยะคืองานอดิเรกที่เขาชื่นชอบมากที่สุด

แต่ทำไมเขาถึงไม่สังหารเป้าเฉิงน่ะรึ?

ไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัวกฎของเมืองวิถีสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขามีคำสั่งจากเอี๋ยนเซียนลู่ให้มาที่นี่เพื่อนำเม็ดยาเสริมรากฐานกลับไป หากเขาทำผิดกฎจนถูกขับไล่ออกจากเมืองล่ะก็ เขาจะแก้ตัวกับเอี๋ยนเซียนลู่อย่างไร?

ในยุทธภพอันกว้างใหญ่นี้ สิ่งเดียวที่เขาหวาดกลัวคือเอี๋ยนเซียนลู่

แถมอีกอย่างคือในสายตาของเขา พวกเป้าเฉิงทั้งสามคนนั้นไม่ใช่อัจฉริยะแม้แต่น้อย หากจะลงมือสังหารก็เปลืองแรงเสียเปล่าๆ

แต่กับหลิงฮันที่เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้ซุนตงหวาดกลัวได้นั้น เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

ยิ่งหากเป็นบนลานประลองล่ะก็ การจะพลั้งมือจนเกิดการสังหาร ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันได้สินะ?

จ้าวชิงเฟิงเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม การได้สังหารอัจฉริยะแห่งโลกวรยุทธจะช่วยให้ศักยภาพของเขาถูกขัดเกลา ซึ่งบางทีประตูสู่ระดับห้านิพพานของเขาอาจจะเปิดออกก็เป็นได้

หวังว่าหลิงฮันผู้นั้นจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

……

เนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปยังอาณาเขตที่สองของเมืองชั่วคราว หลิงฮันจึงเข้าร่วมการประลองเพื่อแย่งชิงเม็ดยาเสริมรากฐาน

กฎของการประลองนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้เข้าร่วมการประลองในแต่ละอาณาเขตจะต้องประลองกันจนเหลือผู้ชนะเพียงสี่คน และสี่คนจากแต่ละอาณาเขตก็จะต้องไปปะทะกันอีกครั้งในการประลองอีกรอบที่จัดขึ้นในอาณาเขตที่สี่ ซึ่งใครก็ตามที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะ และได้เม็ดยาเสริมรากฐานไปครอบครอง

ในอาณาเขตที่ห้านั้นไม่มีใครเข้าร่วมการประลอง เนื่องจากเหล่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ล้วนแต่เป็นนิรันดร์ระดับสูงของเมืองวิถีโอสถ หรือไม่ก็ปรมาจารย์นักปรุงยา

หลิงฮันมุ่งหน้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมประลองเป็นอันดับแรก ซึ่งขั้นตอนก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการรับสมัครมีมาตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว ทำให้คนที่เพิ่งมาสมัครเหลืออยู่ไม่มาก

การประลองจะจัดขึ้นในอีกสิบเอ็ดวันต่อมา ซึ่งยังถือว่ามีเวลาอยู่ หลิงฮันจึงเข้าไปยังห้องฝึกฝนกาลเวลาอีกครั้ง ถึงแม้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนการประลองจะมีแค่สิบวัน แต่หากเป็นในห้องเร่งกาลเวลาก็จะเป็นห้าสิบวัน ซึ่งไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่าได้

ไม่ต้องสงสัยว่าความพยายามในการหลอมเม็ดยา ในช่วงเวลาห้าสิบวันย่อมจบลงด้วยความล้มเหลว เพียงแต่ประสบการณ์ที่หลิงฮันได้รับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเขามั่นใจว่าภายในระยะเวลาห้าปี จะต้องหลอมเม็ดยานิรันดร์เตาแรกสำเร็จแน่นอน

เพียงแต่ในเมื่อมีห้องเร่งเวลาห้าเท่า ระยะเวลาห้าปีก็จะลดลงมาเหลือหนึ่งปี ยิ่งหากห้องเร่งเวลาสิบเท่าระยะเวลาก็จะลดลงมาเหลือครึ่งปี หรือหากคุณสมบัติของห้องเร่งเวลาดีกว่านี้ ระยะเวลาๆก็จะลดลงตามลำดับ

เมื่อหลิงฮันออกมาจากห้องบ่มเพาะกาลเวลา ก็ถึงวันที่การประลองจะเริ่มขึ้นพอดี

สตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ เนื่องจากนางต้องการให้กำลังใจหลิงฮัน แถมการที่ได้เห็นสามีตนเองเหยียบย่ำอัจฉริยะจำนวนมาก ก็ยังทำให้นางรู้สึกดีอีกด้วย

ส่วนจักรพรรดินีนั้นนางไม่ได้ออกมาด้วย เพราะกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการทะลวงผ่านขั้นพลัง

ทั้งสองมุ่งไปยังสถานที่จัดงานประลองในอาณาเขตที่หนึ่ง

สถานที่จัดงานประลองนั้น ไม่ใช่แค่มีลานประลองขนาดใหญ่สำหรับต่อสู้ แต่ยังมีแท่นอัฒจันทร์สำหรับรองรับผู้ชมมากถึงล้านคนอีกด้วย แท่นอัฒจันทร์ถูกขัดเสียงขึ้นราวกับภูเขา ทำให้ยิ่งอยู่ในแท่นที่สูง มุมมองที่เห็นลานประลองก็จะเล็กลง

โชคดีที่สายตาของจอมยุทธนั้นเฉียบคมกว่าคนทั่วไป ทำให้ต่อให้จะเป็นระยะที่ห่างไกล ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อมุมมองของพวกเขา

การจะเข้าสู่สถานที่จัดงานประลองได้ จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าชมเสียก่อน ทุกๆครั้งที่งานประลองถูกจัดขึ้น ราตาของบัตรเข้าชมแต่ละครั้งจะไม่เท่านั้น อย่างงานประลองในครั้งนี้ ราคาของบัตรเข้าชมหนึ่งวันคือหนึ่งศิลาดวงดาว แต่หากซื้อบัตรผ่านสำหรับเข้าชมตลอดงาน ราคาของบัตรผ่านจะมีราคาอยู่ที่สิบศิลาดวงดาว

บัตรเข้าชมนั้นเป็นที่ต้องการอย่างมาก เนื่องจากในเวลาปกติจอมยุทธทั่วไปจะไม่สามารถเข้าสู่อาณาเขตที่สี่ได้ แต่หากมีบัตรเข้าชมและการประลองดำเนินไปถึงช่วงสุดท้ายล่ะซึ่งจัดในอาณาเขตที่สี่ล่ะก็ เหล่าคนที่มีบัตรเข้าชมก็จะสามารถเข้าไปยังอาณาเขตที่สี่ได้

สำหรับหลิงฮันเขาไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้างานเนื่องจากเป็นผู้ร่วมประลอง แต่สำหรับสตรีนกอมตะนั้น นางจำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าร่วมงานต่อจากคนอื่นในราคาที่สูงกว่าราคาปกติ เนื่องจากบัตรเข้าร่วมที่ทางการเป็นคนขายถูกซื้อไปหมดเกลี้ยงแล้ว

“ช่างขูดเลือดยิ่งนัก บัตรเข้าร่วมงานใบเดียวกลับขายตั้งหนึ่งร้อยศิลาดวงดาว!” หลิงฮันกัดฟัน ถึงแม้จำนวนเงินเท่านี้จะไม่สะทกสะท้านความมั่งคั่งของเขา แต่ราคาดั้งเดิมของบัตรก็คือสิบศิลาดวงดาวเท่านั้น ทว่าเขาต้องจ่ายเพิ่มในราคาที่สูงกว่าเดิมถึงสิบเท่า

“เป็นไปได้ว่าคนที่นำบัตรเข้าร่วมงานมาขายต่อ คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางการเป็นแน่ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีบัตรเข้าร่วมอยู่ในมือมากมายขนาดนั้น” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “สามารถทำเงินได้มากกว่าเดิมสิบเท่าได้อย่าง่ายดาย ช่างเป็นคนที่หาลู่ทางทำเงินได้ฉลาดยิ่งนัก”

เขาล่ะอยากพบเจอปรมาจารย์นักปรุงยาจื่อเฉิง ที่เป็นคนจัดงานประลองเพื่อหาเงินจำนวนมากเข้าตัวได้อย่างง่ายดายผู้นี้จริงๆ

“เข้าไปด้านในกันเถอะ รอดูสามีเจ้าแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาได้เลย!” หลิงฮันยิ้มให้กับสตรีนกอมตะ และก้าวเดินเข้าสู่สถานที่จัดงานประลอง

จอมยุทธที่ลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองนั้นมีมากมาย การประลองของอาณาเขตที่หนึ่งจึงแบ่งลานประลอง ออกเป็นสิบหกลานประลองใหญ่ ซึ่งผู้ชนะเพียงหนึ่งในเดียวในลานประลองทั้งสิบหก จะต้องมาประลองกันอีกครั้งจนเหลือแปดคน และแปดคนจะต้องประลองต่อให้เหลือสี่คน ถึงจะเข้าไปยังอาณาเขตที่สี่เพื่อประลองนัดสุดท้าย

แต่ต่อให้ลานประลองจะแบ่งจำนวนออกเป็นสิบหก แต่ในแต่ละลานประลองก็ยังมีผู้ร่วมประลองอยู่มากมายอยู่ดี อย่างในลานประลองที่หลิงฮันอยู่นั้น มีจำนวนผู้ประลองอยู่ถึงร้อยกว่าคน

“เหอๆ การประลองที่จัดขึ้น มีไว้เพื่อยกระดับชื่อเสียงของข้าผู้นี้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “หากพวกเจ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็ลงจากลานประลองไปซะ”

ที่ข้างกายของรุ่นเยาว์ผู้นี้ มีจอมยุทธอาวุธพร้อมมืออยู่อีกสิบเอ็ดคนคอยคุมกันอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะกดขี่ผู้ประลองคนอื่น ด้วยจำนวนพรรคพวกที่มีมากกว่า