ตอนที่ 1863 ความแข็งแกร่งที่พลิกผันสถานการณ์

Alchemy Emperor of the Divine Dao

หลังจากฟังคำอธิบายของเฉิงเฟิงหยุน ผู้ชมรอบๆเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

ดูอย่างซานเถี้ยนอู๋เป็นตัวอย่างก็ได้ เพราะอีกฝ่ายทำตัวโดดเด่นถึงได้กลายเป็นเป้าหมายของผู้เข้าร่วมประลองจำนับร้อย และถูกผลักออกจากลานประลองจยหมดสิทธิอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ผู้เข้าร่วมที่ยังเหลือจะมีแค่ราวๆหกสิบคน แต่หลิงฮันเพียงคนเดียว ย่อมไม่สามารถรับมือไหวแน่นอน

เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หลังจากเห็นพลังของหลิงฮัน ผู้เข้าร่วมประลองรอบกายเขา ก็จดจ้องเขาด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมราวกับหมาป่า

ต้องร่วมมือกันจัดการคนที่แข็งแกร่งที่สุดก่อน เพื่อที่คนอ่อนแอจะได้มีโอกาสคว้าชัยชนะ

ในเมื่อเจ้าเผยพลังออกมาเอง พวกข้าก็จะจัดการเจ้าเป็นคนแรก

ผู้เข้าร่วมหกสิบคนขยับเข้ามาล้อมหลิงฮันเป็นวงกลม แทบจะทุกคนกวัดแกว่งอาวุธในมือ และควบแน่นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เชื่อมต่อกับอำนาจแห่งเต๋า คลื่นแสงแห่งเต๋าจำนวนมากส่องประกายขึ้นสู่ท้องฟ้า จนเกิดเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์

หลิงฮันยิ้ม “ระวังเท้าด้วย”

ประโยคนี้อีกแล้วรึ?

ชายวัยกลางคนที่ยังไม่ได้ไปไหนไกลแทบจะสะดุดล้มลงกับพื้น เขามีความหลังอันน่าหวาดกลัวกับประโยคนี้

“จัดการ!” จอมยุทธทั้งหกสิบกว่าคนลงมือโจมตีจากรอบทิศทาง

ใครกันจะต้านทานการโจมตีขนาดนี้ไหว?

หลิงฮันยื่นมือออกไปและออกแรงผลักเล็กน้อย ทันใดนั้นจอมยุทธทุกคนก็รู้สึกราวกับร่างกายของตนเองหนักหน่วง จนต้องทรุดตัวลงกับพื้นและไม่อาจเคลื่อนไหวได้

ต่อมานั้นเอง อาวุธในมือของพวกเขาก็หลุดออกจากมือ และทิ่มเข้าใส่เท้าของพวกเขาแต่ละคน

“อ้ากกก!” เสียงคำรามของจอมยุทธมากมายดังลั่นไปทั่วบริเวณ ไม่ใช่แค่จอมยุทธที่มีอาวุธเท่านั้น ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ที่บริเวณฝ่าเท้าของพวกเขาก็มีแท่งหนามน้ำแข็งปรากฏขึ้นมา และทิ่มฝ่าเท้าของพวกเขาจนเป็นรู

เหตุการณ์ที่ผ่านๆมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมจำนวนมากเท่าไหร่ เพราะอย่างไรการประลองก็ถูกจัดขึ้นพร้อมกันหลายลานประลอง

แต่เมื่อมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นพร้อมกันมากมาย ลานประลองของหลิงฮันก็ดึงดูดความสนใจ ของผู้คนจำนวนมากในที่สุด

บรรยากาศในบริเวณแท่นผู้ชมที่เฉิงเฟิงหยุนนั่งอยู่กลายเป็นเงียบสงัด ผู้ชมมากมายรอบๆเขาพยายามกลั้นไม่ให้ส่งเสียงหัวเราะ

เมื่อครู่เจ้าบอกสินะว่าคนที่ทำตัวโดดเด่นเกินไป จะตกเป็นเป้าหมายและพ่ายแพ้ในทันที แล้วผลลัพธ์ของสถานการณ์ที่พลิกผันแบบนี้ล่ะเจ้าจะว่าอย่างไร?

ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนกลายเป็นมืดมนจากความอับอาย และเค้นเสียงกล่าวอย่างรวดเร็ว “ต่อให้เขาจะเอาชนะการประลองของลานประลองนี้ไปได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะไปต่อได้ไกลนัก เพื่อที่จะได้เม็ดยาเสริมรากฐานมาครอง การประลองในครั้งนี้มีอัจฉริยะมากมายไม่รู้เท่าไหร่ที่เข้าร่วมประลอง ต่อให้เขาจะเอาชนะการประลองในรอบนี้ไปได้ แต่ในรอบต่อไปเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

หลังจากแน่นิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “หรือต่อให้เขาเข้าสู่รอบสุดท้ายได้จริง… ก็ยังมีจ้าวชิงเฟิงผู้ทรงพลังอยู่อีก ใต้ดวงตะวันนี้ มีใครบ้างที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของจ้าวชิงเฟิงได้?”

ใครหลายคนแม้จะไม่รู้ว่าจ้าวชิงเฟิงคือใคร แค่ก็คิดว่าคำพูดของเฉิงเฟิงหยุนนั้นถูกต้อง หลิงฮันแข็งแกร่งก็จริง แต่ในการประลองครั้งนี้ก็มีจอมยุทธที่ทรงพลังเข้าร่วมมากมาย

ลานประลองอื่นๆเริ่มประลองจบไปตามๆกัน โดยที่ผู้ชนะจากลานประลองอื่นๆได้จ้องมองมายังหลิงฮัน ด้วยสีหน้ายั่วยุ

แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่สนใจท่าทางของคนเหล่านั้น เมื่อผู้ดูแลการประลองประกาศลำดับการประลองของเขาเสร็จ เขาก็ปัดก้นและเดินจากไป เพื่อรอประลองอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

สตรีนกอมตะลงมาจากแท่งที่นั่งผู้ชม และเดินออกจากสถานที่จัดการประลองไปพร้อมกับหลิงฮัน

เพียงใดทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตูลานประลอง พวกเขาก็พบเห็นซานเถี้ยนอู๋กำลังยืนขวางทางอยู่

เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลิงฮัน ซานเถี้ยนอู๋ก็กระทืบเท้าอย่างเคียดแค้น และชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “พวกเจ้าทุกคน ลงมือทุบตีเขาเลย!”

เขาได้มาทำการเฝ้าทางออกเอาไว้ทันทีหลังจากที่หมดสิทธิการประลอง เพราะต้องการสั่งสอนหลิงฮัน

“ขอรับ นายน้อย!” จอมยุทธหลายสิบคนพุ่งทะยานพร้อมกัน

หลิงฮันยิ้ม “ระวังเท้าด้วย”

จอมยุทธหลายสิบคนเหล่านี้ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกมึนงง แต่ก็ไม่สนใจและพุ่งเข้าหาหลิงฮันต่อไป

“อ้ากก!” หนึ่งลมหายใจต่อมา จู่ๆพวกเขาก็ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา เนื่องจากไม่ว่าทำไมอาวุธที่พวกเขาถืออยู่ถึงล่วงหล่นใส่ฝ่าเท้าของพวกเขาเอง มีจอมยุทธ์คนหนึ่งใช้ขวานขนาดใหญ่เป็นอาวุธ ซึ่งขวานที่ว่าได้เฉือนเท้าข้างหนึ่งของเขาขาดสะบั้น

ซานเถี้ยนอู๋ล่าถอยหลังสองก้าว ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกหวาดผวา

“ข้าบอกพวกเจ้าทุกคนแล้วไงว่าให้ระวังเท้า” หลิงฮันยิ้ม “เอาล่ะ พวกเจ้าจงทุบตีหมอนั่นให้ข้าซะ จัดหนักๆให้แม้แต่มารดาของมันก็จำไม่ได้ไปเลย!”

จอมยุทธหลายสิบคนมองหน้ากัน ซานเถี้ยนอู๋เป็นนายน้อยของพวกเขา พวกเขาจะไปกล้าทุบตีได้อย่างไร?

หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “หรือพวกเจ้าอยากจะระวังเท้าของตนเองอีกครั้ง?”

หัวใจของจอมยุทธนับสิบบีบรัด พวกเขาค่อยๆหันหน้าและจดจ้องไปยังซานเถี้ยนอู๋

“พะ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร!” ซานเถี้ยนอู๋หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด เหตุใดสายตาของคนของเขาถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้?

หลิงฮันกระแอมเบาๆเพื่อส่งสัญญาณ พริบตาต่อมาจอมยุทธนับสิบก็พุ่งทะยานร่างเข้าหาซานเถี้ยนอู๋ และทุบตีอย่างไม่ยั้งมือ

ถึงแม้ซานเถี้ยนอู๋จะพอมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังห่างไกลจากกับคำว่าอัจฉริยะ การที่เขาบรรลุระดับโลกียนิพพานได้นั้น เป็นเพราะตระกูลได้ทุ่มเททรัพยากรมากมายให้แก่เขา เพราะงั้นคิดรึว่าเขาจะต้านทานการกระหน่ำทุบตีจากจอมยุทธนับสิบได้?

หลิงฮันและสตรีนกอมตะเผยรอยยิ้มก่อนจะเดินจากไป

คำคืนแรกผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และทั้งสองได้กลับมายังสถานที่จัดงานประลองอีกครั้ง

เพียงแต่ว่า ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าสู่สถานที่จัดงานประลอง พวกเขาก็ถูกใครบางคนขวางทางเอาไว้

เป็นซานเถี้ยนอู๋อีกแล้ว

เขาพันผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้รอบหัว ทำให้หัวของเขาดูใหญ่โตกว่าปกติ ต่อให้เขาจะใช้สมุนไพรรักษาบาดแผลไปแล้ว แต่อาการบาดเจ็บจากการถูกทุบตีขนาดนั้น ก็คงไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพียงชั่วค่ำคืน

“ท่านพี่ หมอนั่นไงที่ทำข้า!” คราวนี้ซานเถี้ยนอู๋ไม่ได้พาผู้ติดตามจำนวนมากมาด้วย แต่พารุ่นเยาว์ที่ใบหน้าคล้ายเขาผู้หนึ่งมาแทน

รุ่นเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าซานเถี้ยนจิ่ว เขาคือพี่ชายของซานเถี้ยนอู๋

ซานเถี้ยนจิ่วจ้องมองหลิงฮันอยู่นานสองนาน ก่อนที่มุมปากจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “จงหักแขนและขาทั้งสองข้างของเจ้าซะ ไม่เช่นนั้นต่อให้ที่นี่จะเป็นเมืองวิถีโอสถ เจ้าก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงสามวัน!”