ถ้าไม่มีใครคอยจับตาดูอยู่ พวกเธอจะรีบไปรอในที่เกิดเหตุตั้งนานแล้ว
“พี่คะ พี่ไม่ต้องกังวลไป พี่เขยต้องไม่เป็นอะไร เขาเก่งขนาดนั้น มันเป็นแค่อุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้นเอง ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอก”
แม้ว่าฉินยีจะเศร้า แต่ก็ยังพยายามปลอบประโลมฉินซี “อีกอย่าง เขาสัญญากับพี่แล้วว่า จะปกป้องพี่กับเสี้ยวเสี้ยวไปตลอดชีวิต เขาจะไม่มีทางผิดสัญญาแน่”
ทันใดนั้นฉินซีก็รู้สึกแย่ลงไปอีก เธอสะอึกสะอื้น “มันเป็นความผิดของฉันเอง ถ้าฉันไม่ขอหย่าจากเขาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาคงไม่หยุดรถกะทันหันหรอก”
“ถ้าไม่ใช่เพราะหยุดรถกะทันหัน ก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ และก็จะไม่เรื่องราวตามมา”
ฉินซีพูดพลางตบหน้าตัวเองอย่างแรงหลายครั้ง
“พี่คะ อย่าทำแบบนี้เลย ถ้าจะโทษก็โทษฉันเถอะ ฉันไม่ควรยุแยง ฉันไม่เจียมตัวเอง พี่เขยตบฉันก็เพราะทนไม่ได้ ตบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาใจดีกับฉันมากและปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ แต่ฉันกลับมาโกรธที่เขาตบแค่ครั้งเดียว”
ฉินยีกอดฉินซีเอาไว้แน่น มิฉะนั้นฉินซีจะตบตัวเองแล้วร้องไห้ไปพูดไป “ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น”
สองสาวพี่น้องกอดกันร้องไห้ฟูมฟาย
ในขณะนี้ ตำรวจหญิงในเครื่องแบบได้เดินมาบอกว่า “เราต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดของที่นี่ กรุณามอบให้เราเพื่อทำการตรวจสอบเรื่องสามีของคุณ”
เมื่อได้ยินคำพูดของตำรวจ ฉินซีก็ตกตะลึง เธอยังไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดในบ้านของตัวเอง
ฉินยีกระจ่างในทันใด “ใช่ มีกล้องวงจรปิดอยู่ในบ้าน!”
ไม่นาน ภาพจากกล้องวงจรปิดก็ถูกนำออกมา
หลังจากฉินซีได้เห็นคลิปแล้ว ในใจก็มีแต่ความเสียใจ
“ที่แท้พวกเราก็เข้าใจผิดเขาไปเองจริงๆ!”
ฉินซีสะอึกสะอื้น “เมื่อคืนเขาออกจากห้องไม่ใช่เพราะหนีที่ฉันจะให้เขาอธิบาย แต่เป็นเพราะมีฆาตกรอยู่ข้างนอก”
“หยางเฉิน ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ฉันรู้สึกผิดจริงๆ”
ฉินซีร้องไห้ขึ้นมาอีก
ในภาพจากกล้องวงจรปิด เธอเห็นหยางเฉินออกจากห้องไปเพื่อจัดการกับฆาตกรเมื่อคืนนี้
เธอยังเห็นว่าหลังจากที่หยางเฉินกลับมากลางดึก เขาก็ลังเลอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่ากลัวจะรบกวนเวลานอนของเธอ จึงได้ผล็อยหลับไปบนโซฟาด้านนอก
และในตอนเช้าเมื่อเฝิงเสียวหว่านตื่นแต่เช้าและเดินออกมา ก็เห็นหยางเฉินไม่ได้ห่มผ้าห่ม เธอกลับไปที่ห้องของเธอ หยิบเสื้อคลุมและกำลังจะคลุมให้หยางเฉิน
ในเวลานี้เฝิงเสียวหว่านถูกหยางเฉินมองว่าเป็นนักฆ่า หยางเฉินคว้าคอเธอแล้วกดเธอกับโซฟา จากนั้นฉินซีก็ออกมา
ฉินยีก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ในขณะนั้น จู่ๆ ตำรวจหญิงก็พูดขึ้นว่า “ข่าวที่ได้รับล่าสุดคือหยางเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นตายเท่ากัน ตอนนี้เขาได้ถูกคนจากกองยุทธการมารับตัวเขาไปแล้ว”
“คลิปวิดีโอนี้ ฉันจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการสืบสวน ฉันเสียใจด้วยนะคะ!”
ตำรวจหญิงพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
ภารกิจของเธอที่นี่คือจับตาดูฉินซีและฉินยี คอยกันไม่ให้พวกเธอไปยังที่เกิดเหตุ ตอนนี้เมื่อหยางเฉินถูกนำตัวไปที่กองยุทธการแล้ว ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องจากไป
เมืองเยี่ยนตู โครงการเมืองในฝัน ภายในคฤหาสน์มูลค่าหลายร้อยล้านหลังหนึ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ข้างกายคือหญิงสาวที่กำลังทำการฝังเข็มรักษาให้กับชายหนุ่ม
ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคือหม่าชาว ส่วนหญิงสาวนั้นก็คือเฝิงเสียวหว่าน
“ฮู้…”
ภายหลังการรักษาเฝิงเสียวหว่านถอนหายใจออกยาวๆ และดึงเข็มเงินทั้งเจ็ดออกจากร่างกายของหม่าชาว
มีคราบเหงื่อบนหน้าผากของเธอ เห็นได้ชัดว่าการรักษาเมื่อครู่นั้นเผาผลาญพลังงานของเธอไปมาก
“เสียวหว่าน ต้องลำบากคุณแล้ว!”
อ้ายหลินยื่นผ้าสะอาดให้เฝิงเสียวหว่านด้วยสายตาชื่นชม
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่หยางเฉินเกิดอุบัติเหตุ ในช่วงเวลานี้เฝิงเสียวหว่านได้พักอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ นอกจากรักษาหม่าชาวแล้ว เธอยังต้องให้การรักษาหมีเสวี่ยด้วย
“พี่อ้ายไม่ต้องเกรงใจ!”
เฝิงเสียวหว่านยิ้มเล็กน้อย หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อออกจากศีรษะเบาๆ
“เสียวหว่าน คุณพูดความจริงเถอะ อาการบาดเจ็บของผมจะหายดีไหม? ไม่ต้องกลัวว่าผมจะรับไม่ได้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ผมยอมรับได้ทุกอย่าง”
หม่าชาวถามด้วยสายตาเป็นกังวลอยู่ลึกๆ
นับตั้งแต่ความสามารถของเขาปลดล็อคสู่กึ่งแดนเทพในวันนั้น มันก็สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อร่างกายของเขา แม้แต่อ้ายหลินก็ยังรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของหม่าชาวนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้
มันอาจจะเป็นการสิ้นสุดเส้นทางวิถีบู๊ของเขาที่ผ่านมาอย่างโชกโชน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในทักษะทางการรักษาของเฝิงเสียวหว่าน แต่เขานอนอยู่บนเตียงมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว เฝิงเสียวหว่านก็ได้ดูแลเขาเป็นพิเศษมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วเช่นกัน
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงเลย ไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกขึ้นจากเตียง
ร่างกายนั้นมีน้ำหนักมากผิดปกติ ราวกับว่าไม่ใช่ของตัวเขาเลย
เฝิงเสียวหว่านพูดอย่างจนปัญญา “พี่หม่า ฉันใช้เวลารักษาคุณมาเจ็ดวัน คุณก็ถามฉันมาเจ็ดครั้งแล้ว คุณต้องการให้ฉันบอกคุณกี่ครั้งถึงจะยอมเชื่อว่าฉันสามารถรักษาคุณให้หายดีได้เหมือนเดิม?”
อ้ายหลินเหลือกตาใส่ “คุณคิดว่าอาการบาดเจ็บของคุณเบาเกินไป? หรือว่าทักษะทางการรักษาของเสียวหว่านแย่เกินไป? อาการบาดเจ็บของคุณในสายตาของแพทย์ชาวตะวันตกมันคือโรคที่ไม่มีทางรักษา อย่าว่าแต่มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้เลย คุณไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ตั้งแต่วันแรกที่คุณบาดเจ็บแล้ว”
“ตอนนี้ด้วยการรักษาของเสียวหว่าน อย่างน้อยคุณก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้ คุณยังจะกังวลเรื่องอะไรอีก?”
เฝิงเสียวหว่านยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงพี่หม่าน่ะ ปากก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจนั้นรู้สึกกังวลมาก กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์”
หม่าชาวยิ้มอย่างเก้อเขิน “ผมนอนอยู่บนเตียงนานเกินไปแล้วใช่ไหม? รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย”
“ตอนนี้รู้สึกอึดอัดเป็นแล้วเหรอ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงล้อเลียนดังขึ้น
ทุกคนต่างพากันมองตามออกไป
“พี่หยาง!”
เมื่อเห็นหยางเฉิน เฝิงเสียวหว่านก็ยิ้มมุมปากออกมาอย่างน่ารัก
“พี่เฉิน!”
หม่าชาวและอ้ายหลินก็พากันอ้าปากค้าง
“พี่เฉิน ผมก็แค่อยากจะช่วยคุณนี่? ถ้าผมไม่พยายามขวางซีเหมิงไว้ จะถ่วงเวลาให้เฝิงเสียวหว่านไปช่วยคุณได้ยังไงล่ะ?”
หม่าชาวถามด้วยรอยยิ้ม
“นี่คุณกำลังเอาหน้าอีกแล้ว เป็นเพราะทักษะทางการรักษาที่ดีเยี่ยมของเสียวหว่านต่างหาก ที่ทำให้พี่เฉินฟื้นขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติ”
เมื่อเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของหม่าชาว อ้ายหลินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอพูดอย่างประชดประชัน “แม้ว่าคุณจะช่วยพี่เฉินเอาไว้จริงๆ แต่ทำไมคุณไม่ลองนึกดูว่าพี่เฉินเคยช่วยคุณมากี่ครั้งแล้วในสนามรบของชายแดนเหนือ?”
หม่าชาวหัวเราะเจื่อนๆ เอามือลูบศีรษะอย่างเก้อเขิน “ผมพูดแค่นี้เอง คุณนี่ไม่ไว้หน้าสามีของตัวเองเลยจริงๆ”