บทที่ 1274 โลหิตทองคำ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,274 โลหิตทองคำ

“คุณชายต้องการจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ดีขอรับ?”

ซือเกินตั๋งกับกวนรั่วเฟยรีบเข้ามารอรับคำสั่ง ไม่ต่างจากข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์

“เดี๋ยวข้าน้อยจะสังหารพวกมันให้คุณชายเอง”

ลู่ปิงเหวินเสนอตัวอย่างไม่ลังเล

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองตาขวาง

บัดซบ เจ้าพวกนี้ต้องการขโมยคะแนนของเขาหรือไง?

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าพวกของอวิ๋นอู่เหินอีกครั้ง

“คุณชายได้โปรดเมตตาข้าน้อยด้วย”

“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้วจริง ๆ ทั้งหมดเป็นการบงการของอวิ๋นอู่เหิน เป็นเพราะตัวบัดซบผู้นี้คอยยุยงปลุกปั่นพวกเราตลอดเวลา คุณชายได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วย…”

ว่านหยวนและพรรคพวกร้องขอความเมตตา พร้อมกันนั้นก็โขกศีรษะลงกับพื้นดินอย่างแรง

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับบุคคลเช่นพวกของอวิ๋นอู่เหิน หลินเป่ยเฉินไม่เหลือความเมตตาให้แม้แต่น้อย

เขายกมือดีดนิ้ว

รังสีกระบี่ไฟหกสายพุ่งออกไป

อวิ๋นอู่เหินและลูกสมุนเมื่อถูกรังสีกระบี่ไฟเหล่านั้นกระแทกใส่ร่างกาย พวกเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นกองขี้เถ้า สลายหายไปในอากาศทันที

ตายแล้ว

ตายอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อคำนวณดูแล้ว การลงมืออย่างเด็ดขาดของหลินเป่ยเฉินในครั้งนี้ ทำให้เขาได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาอีกหกร้อยแต้ม

บรรดากลุ่มคนที่ถูกอวิ๋นอู่เหินหลอกลวงให้ติดตามมาจนถึงแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ขณะนี้ ได้แต่ตีอกชกตัวด้วยความเสียดาย

พวกเขามาช้าเกินไป

ไม่ทันการประมูล

โอกาสสุดท้ายหลุดมือ

“ทุกคนฟังให้ดี ทางรอดยังคงมีอยู่”

หลินเป่ยเฉินกวาดตามองกลุ่มคนที่กำลังยืนคอตกด้วยความหมดหวังและกล่าวเสียงดังต่อไปว่า “ขอให้ทุกท่านแบ่งแยกเป็นสองกลุ่มและต่อสู้กันครั้งละสิบกระบวนท่า หลังจากนั้น ให้แบ่งแยกเป็นผู้แพ้กับผู้ชนะ จากนั้นก็มาสลับคู่สู้กันอีกครั้ง… โปรดจำไว้ว่าอย่าสู้กันให้บาดเจ็บถึงตาย เอาแค่ตัดสินผลแพ้ชนะได้ก็พอ”

หลินเป่ยเฉินเริ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

ยังจะมีใครกล้าปฏิเสธคำสั่งของเขาอีกหรือ?

ทุกคนไม่มีทางเลือกนอกจากยอมทำตามคำสั่ง

บัดนี้ กลุ่มคนจำนวนสามร้อบแปดสิบชีวิตได้แบ่งแยกออกเป็นฝั่งละหนึ่งร้อยเก้าสิบคนและเริ่มจับคู่ต่อสู้กัน

เจ้าอ้วนก็กลายเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ผ่านไปสิบกระบวนท่า

เมื่อได้ผลแพ้ชนะ

พวกเขาก็สลับกลุ่มหาคู่ต่อสู้ใหม่อีกครั้ง

ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อย ๆ

คะแนนประจำตัวของผู้เข้าแข่งขันทุกคนจึงเพิ่มขึ้น

อีกหนึ่งชั่วยามจะถึงกำหนดยุติการแข่งขัน พวกเขายิ่งเร่งมือมากขึ้น

บัดนี้ กลุ่มผู้เข้าแข่งขันมีคะแนนประจำตัวคนละสามพันเจ็ดร้อยแต้มแล้ว

นี่คือจำนวนคะแนนที่ไม่น้อยเลย

ในการแข่งขันรอบที่สอง ผู้ที่ทำคะแนนได้เกินหนึ่งพันแต้มก็ถือว่ามากมายแล้ว

ลำดับคะแนนของผู้เข้าแข่งขันในรอบที่แล้ว ผู้ที่เกาะกลุ่มยี่สิบอันดับแรก ต่างก็มีคะแนนเกินสองพันแต้มทั้งสิ้น

ดังนั้นสามพันคะแนนจึงถือว่ามากมายนัก

บัดนี้ นอกจากผู้ที่ได้ครอบครองรูปสลักเทวะ ใบหน้าของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ย่อมไม่ปรากฏรอยยิ้ม

พวกเขามีแต่ต้องทำคะแนนให้มากพอเท่านั้นถึงจะหนีรอดชะตากรรมการกลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายแห่งนี้ได้

และเวลาของทุกคนก็เหลืออีกไม่มาก

“เอาล่ะ ต่อไปนี้ขอให้ทุกท่านมายืนเรียงแถวกัน”

ใกล้ถึงกำหนดยุติการแข่งขันเข้าไปทุกที ในที่สุด ก็ได้เวลาที่หลินเป่ยเฉินจะเก็บคะแนนให้แก่ตนเองบ้าง

เขาสั่งให้ทุกคนมายืนเข้าแถว จากนั้นตนเองจึงเคลื่อนไหวเป็นลำแสง พุ่งผ่านกลุ่มคนพร้อมกับซัดกำปั้นออกไป…

วูบ!

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

ทั้งต่อยทั้งเตะ

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับส่งเสียงร้องครวญคราง

“ฮ่า ๆๆ ยอมแพ้กันแล้วหรือ?”

“ข้าแข็งแกร่งใช่หรือไม่?”

“เรียกข้าว่าบิดาของพวกท่าน… ไม่ดีกว่า จงเรียกข้าว่าพี่ใหญ่”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความสะใจ

ในไม่ช้า เขาก็ได้คะแนนการต่อสู้เพิ่มมาถึงสามพันแปดร้อยแต้ม

และเมื่อนำมารวมกับคะแนนการล่าสัตว์อสูรก่อนหน้านี้ ลำพังคะแนนส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินก็มีมากถึงหนึ่งหมื่นสามร้อยสิบแต้มแล้ว

สมบูรณ์แบบ

“ฟังนะ ข้าช่วยค้นหารูปสลักเทวะให้กับทุกท่าน พวกท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแรงหาเอง สำนึกบุญคุณกันบ้างหรือไม่?”

“ข้าเปรียบดั่งเพียงพ่อค้าคนกลางเท่านั้น”

“และข้าช่วยให้พวกท่านได้รับคะแนนการต่อสู้ที่ไม่เคยได้รับมาก่อน…”

“ข้าทำด้วยความจริงใจ พวกท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”

“การแข่งขันกำลังจะจบลงแล้ว ข้าไม่อยากทิ้งพวกท่านไว้ที่นี่เลยจริง ๆ …หวังว่าพวกเราคงได้พบกันอีกในรอบต่อไป”

“นี่ อย่าได้ทำสีหน้าหมดหวังเช่นนี้สิ คนเราต้องมีความหวังจนถึงลมหายใจสุดท้าย บางทีพวกท่านอาจจะมีคะแนนมากเพียงพอที่จะรอดชีวิตโดยไม่ต้องอาศัยรูปสลักเทวะก็เป็นได้”

หลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่หน้ากากโบกไม้โบกมือให้กำลังใจทุกคน

ในเวลาเดียวกันนี้ บนท้องฟ้าได้ปรากฏวังวนประตูมิติสีแดงเข้มขึ้นมาแล้ว

กลุ่มคนที่ได้ครอบครองรูปสลักเทวะรวมไปถึงผู้ที่มีคะแนนสะสมเพียงพอสำหรับการเข้ารอบต่อไป เริ่มถูกดูดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือตบหัวเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายและกล่าวว่า “เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องมาทำเสแสร้งแกล้งโง่ ข้ารู้ว่าเจ้ามีสติปัญญาพอที่จะสามารถเข้าใจคำพูดของข้า… เดิมทีข้าอยากจะฆ่าเจ้าแล้วเอาซากไปขายแลกเงิน แต่เห็นแก่ที่เจ้าทำงานหนักให้ข้าขี่หลังเดินทางทั่วทะเลทราย เพราะฉะนั้น ข้าจึงเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าเจ้าแล้ว…”

ดวงตากลมโตของเจ้ากิ้งก่ายักษ์มีน้ำตาคลอเต็มเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจ

แต่ทันใดนั้น มันก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “แต่เกล็ดทองคำของเจ้าสะดุดตาข้าเป็นอย่างยิ่ง ในตัวเจ้าคงมีสายเลือดมังกรที่แท้จริงผสมอยู่กระมัง ข้าอยากจะขอเลือดของเจ้ากลับไปเป็นของกำนัลสักหน่อย เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”

น้ำตาที่คลอเต็มเบ้าเจ้ากิ้งก่าอยู่เมื่อสักครู่นี้แห้งเหือดไปแล้ว

มันจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินจ้องมองตอบกลับไป “เหตุไฉนถึงได้จ้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ เจ้าไม่รู้จะชื่นชมข้าอย่างไรดีสินะ?”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์มีท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็ยกขาหน้าขึ้นมาข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้ปากของตนเองขย้ำเขี้ยวลงไปเต็มแรง

รูโลหิตปรากฏขึ้นบนขาหน้าของมันข้างนั้น

โลหิตสีทองคำไหลทะลักออกมา

“ประเสริฐ นับว่าเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้าจริง ๆ”

หลินเป่ยเฉินรีบนำถังน้ำที่เตรียมเอาไว้มารองโลหิตทองคำเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นถังน้ำขนาดใหญ่ที่เด็กหนุ่มนำมาตั้งรองไว้ ดวงตากลมโตของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็แทบหรี่ปิดลง

หากปล่อยเลือดให้ไหลเต็มถังนี้ ตัวมันคงต้องเสียเลือดจนตายแล้ว

เจ้ากิ้งก่ายักษ์พยายามควบคุมโลหิตไม่ให้ไหลออกมามากเกินไป

แต่หลินเป่ยเฉินกลับตะปบมือลงไปบีบขาหน้าของมันให้เลือดพุ่งกระฉูดออกมาราวกับกำลังรีดนมวัวอย่างไรอย่างนั้น

เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำเบิกตาโต

มันเพิ่งจะเคยพบเจอมนุษย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก

แต่มันก็ไม่กล้าขัดขืน

เมื่อเจ้ากิ้งก่ายักษ์เริ่มรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม โลหิตทองคำก็เต็มถังน้ำของหลินเป่ยเฉินพอดี

“เยี่ยมมาก”

หลินเป่ยเฉินปิดฝาถังอย่างมีความสุข

อันที่จริงก่อนลงมือรีดเลือด เขาได้ใช้แอปความรู้คู่ปัญญาสแกนดูข้อมูลของกิ้งก่ายักษ์ตัวนี้แล้ว

ปรากฏว่ามันคือสัตว์อสูรที่มีสายเลือดมังกรโบราณ โลหิตในตัวมันจึงมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงได้เกิดความสนใจ…

หากเขานำโลหิตของเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ไปให้อากวง เจ้าเสือน้อย รวมถึงเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานรับประทาน พวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่?

หรือว่าเขาควรจะลองดื่มเองดูก่อนดีนะ?

แต่การดื่มเลือดสัตว์ที่ตนเองไม่เคยรู้จักมาก่อน มันก็ดูสุดโต่งมากเกินไป

ทำไมเขาถึงต้องทำตัวเป็นหนูทดลองด้วย?

แต่หากโลหิตทองคำของเจ้ากิ้งก่ายักษ์เป็นดั่งยาวิเศษจริง ๆ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่ขาหลังของเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายโดยไม่รู้ตัว

เจ้ากิ้งก่ายักษ์เห็นดังนั้นก็รีบลุกพรวดขึ้นยืนและวิ่งตะบึงหายลับไปในทะเลทรายด้วยเวลาเพียงพริบตาเดียว

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ไม่ได้ไล่ตามไป

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น

บัดนี้ หลายคนที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้วต่างก็มายืนรอเข้าแถวที่จะได้ขึ้นสู่ประตูมิติด้านบนท้องฟ้า

“ข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณของท่านแน่นอนขอรับ”

เด็กหนุ่มผู้สะพายกระบี่ขึ้นสนิมลอยตัวขึ้นไปในอากาศพร้อมกับน้องสาวฝาแฝดทั้งสองของตนเอง เขาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินและยกมือป้องปากตะโกนเสียงดัง

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เด็กเอ๋ยเด็กน้อย เอาเวลาที่จะมาตอบแทนบุญคุณเขา ไปคิดหาทางรอดให้ตนเองในรอบต่อไปดีกว่า

ในเวลาเดียวกันนี้ เท้าของหลินเป่ยเฉินก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นแล้วเช่นกัน

บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ไม่มีรูปสลักเทวะกว่าสามร้อยชีวิตยังยืนอยู่ด้านล่าง พวกเขาต่างก็เงยหน้ามองประตูมิติด้วยความหมดหวัง

บางคนพยายามจะพุ่งตัวขึ้นมาสู่ประตูมิติ

แต่คล้ายกับว่ามีพลังกดดันบางอย่างทำให้พวกเขาไม่สามารถเหินตัวขึ้นมาได้…

มีพลังกดดันกดทับพวกเขาเอาไว้

สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินไม่สามารถทำอะไรได้อีก

แม้ว่าเขาจะเสียใจ แต่ผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ถูกโชคชะตากำหนดให้มาเสียชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว

หากไม่ใช่เป็นเพราะหลินเป่ยเฉิน ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มนี้ก็คงนอนตายกลายเป็นผีไร้ญาติไปนานแล้ว

ขอให้ทุกคนโชคดีก็แล้วกัน

หลินเป่ยเฉินแอบร่ำลาอยู่ในใจ

แต่เมื่อเขาเข้าสู่ประตูมิติ สายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของหลินเป่ยเฉินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย

บังเกิดเสียงดังกังวานในอากาศว่า

“เนื่องจากท่านค้นพบรูปสลักเทวะประทานพร จึงมีเวลาสามสิบลมหายใจในการขอพรอันใดก็ได้”

เสียงนั้นกำลังพูดกับหลินเป่ยเฉิน

และหลินเป่ยเฉินก็เข้าใจโดยทันที รูปสลักเทวะประทานพรนั้น คงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากรูปสลักที่ผิดแผกแตกต่างไปจากรูปสลักตัวอื่น ๆ นั่นเอง

ว่าแต่เขาจะขอพรอะไรดีนะ?