บทที่ 1243 การประลองขั้นสูงสุด

ยัยหมอวายร้ายที่รัก

ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 1243 การประลองขั้นสูงสุด

“ปัง–”

ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ด้านในก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาจริงๆ ด้วย

ในทันใดนั้น เส้นหมี่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ สุกฤตที่อยู่ด้านข้างก็ได้จับมือเธอแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังหินรูปสิงโตเรียบร้อยแล้ว: “ระวัง เขามาถึงแล้ว!”

เขาตะโกนมาหนึ่งประโยค

เส้นหมี่หน้าขาวซีดราวกับกระดาษ หลังจากที่กอดศีรษะของตัวเองไว้แน่นหลบอยู่หลังหินรูปสิงโตแล้ว ร่างกายของเธอก็สั่นเทาไปทั้งตัว

“เพี๊ยะ!”

พวกเขาหลบซ่อนตัวแล้ว ลูกกระสุนนั่นก็ยิงเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยตรงจริงๆ ด้วย

มีเสียงกรีดร้อง เธอเห็นพนักงานที่ยืนต้อนรับตรงประตูทางเข้าคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น

“มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!”

“หา–”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นมา!

ในเวลาเพียงหนึ่งวินาที ข้างในพิพิธภัณฑ์ก็วุ่นวายจนเละเหมือนโจ๊ก

เส้นหมี่นั่งหมอบอยู่ตรงนั้นอย่างอกสั่นขวัญหาย เธอเหลืองมอบภายในพิพิธภัณฑ์อันวุ่นวาย อีกทั้งมองดูแล้วว่าขอแค่ตัวเองวิ่งไปอีกสักสองก้าว ก็สามารถวิ่งไปถึงข้างรถคันที่มาส่งได้

ในชั่วครู่หนึ่ง ในสมองก็ดิ้นรนสลับย้อนแย้งไปมาอย่างรุนแรง

“โอเค พี่สะใภ้ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว พวกเรารีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ”

โชคดีที่ว่า ในเวลานี้สุกฤตก็เอ่ยปากพูดขึ้น

หลังจากที่เขาดูแล้วว่าเสียงปืนต่างรวมตัวดังกันอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เธอรีบออกไปทันที คิดอยากจะพาเธอออกไปจากที่นี่ในเวลานี้

แต่ผู้หญิงคนนี้ เขาไม่พูดแบบนี้ก็ยังดีไปอีกแบบ แต่พอพูดเธอก็หันหน้ามาทันที ดวงตารูปทรงอัลมอนด์ที่คมชัดคู่หนึ่งก็จ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา

“ทำไมนายอยากพาฉันหนีไป? ในเมื่อฉันทำลายแผนการของเขาแล้ว ก็ควรที่จะฆ่าฉันในเวลานี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องพาฉันหนีไป?”

“ผม…..”

สุกฤตพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ

เส้นหมี่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งเข้าไปข้างใน

“พี่สะใภ้! พี่สะใภ้กลับมานะ!!” สุกฤตสีหน้าถอดสี ได้เพียงแค่วิ่งตามเธอเข้าไป เขาวิ่งตามไปและตะโกนเรียกไปด้วย

แต่ความเป็นจริงแล้ว ด้านในแห่งนี้มีผี

เพราะว่าในเวลานี้เสียงยิงปืนของทศราชที่ดังขึ้นข้างในพิพิธภัณฑ์นี้ คือหลังจากที่แผนการของเขาถูกทำลายลง ด้วยความโมโหเดือดดาล ก็เริ่มที่จะล่าเหยื่อขึ้นก่อนแล้ว และเหยื่อตัวนี้ก็คือ—แสนรักนั่นเอง!

“ไอ้เดรัจฉานนี่ ยังพอมีสมองอยู่บ้างสินะ!”

แสนรักที่จับจ้องมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาโดยตลอดผ่านกล้องวงจรปิด เห็นว่าในห้องโถงพิพิธภัณฑ์ชั้นล่างได้อยู่เหนือการควบคุมของตัวเองแล้ว ก็เกือบที่จะพลิกโต๊ะตรงหน้าเขาให้คว่ำลง

ม็อกโกซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เห็นแล้ว ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าหากเขาสามารถล่วงรู้แผนการของพวกเราได้ล่วงหน้า พิพิธภัณฑ์นั่นก็ไม่ปลอดภัยแล้ว จากความป่าเถื่อนของเขาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีระเบิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านิวเคลียร์แอบซ่อนอยู่ข้างในก็เป็นได้”

“หา?”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา ดลธีที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เหงื่อไหลท่วมตัวไปด้วยทันที

“จะได้ยังไง? วันนี้มีผู้คนมาที่นี่มากมาย ถ้าระเบิดขึ้นจริง นั่นคือเรื่องใหญ่เลยนะ ต้องมีคนตั้งเท่าไหร่ที่ต้องเสียสละชีวิต?”

เขาโกรธแค้นต่อความไม่เป็นธรรมแบบนี้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ยินยอมที่จะเห็นเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็ไม่มีใครอยากเห็นเลยสักคน

ไม่ว่าจะเป็นทีมย่อยของม็อกโก หรือดราก้อน แชนท์ของตระกูลหิรัญชา นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างพวกเขากับตาแก่เดรับฉานนั่น!

สุดท้ายม็อกโกก็รีบนำทีมย่อมแบ่งกลุ่มแยกย้ายไปทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างรวดเร็ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือ อพยพผู้คน และตามหาสถานที่แอบซ่อนระเบิดเอาไว้ให้เจอโดยเร็วที่สุด

และดราก้อน แชนท์ทางนี้ก็มีหน้าที่ฆ่าคนกลุ่มนั้น

“ท่านประธาน ท่านอยู่ที่นี่อย่าไปไหนโดยเด็ดขาดนะครับ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ทศราชนี่มันรู้ทั้งรู้ว่างานเลี้ยงของพิพิธภัณฑ์นี้คือแผนการของท่าน แต่ยังคงเล่นไปตามแผน ไม่แน่ว่ายังมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกบ้างที่กำลังรอพวกเราอยู่”

“อีกอย่างคุณนายทางนั้น ท่านสบายใจได้ มีผมกับคุณชายม็อกโกอยู่ พวกเราจะต้องช่วยเธอกลับมาได้อย่างแน่นอนครับ”

ในตอนที่ดลธีจะออกไปก็ได้กำชับกับ BOSS ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อีกครั้ง

ไม่มีทางเลือก หากพูดเรื่องพละกำลัง BOSS คนนี้เขาคือคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาคนของพวกเขาแล้วจริงๆ

อีกทั้ง ไอ้เดรัจฉานแก่นั่นก็ยิ่งน่ากลัวมากอยู่ด้วย และชายตรงหน้าคนนี้ก็ยังเป็นสมองหลักของพวกเขาด้วย ถ้าหากไม่อยากให้ทุกคนแพ้อย่างน่าเวทนาในตอนสุดท้าย การปกป้องเขาเอาไว้คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

หลังจากที่ดลธีให้คนฝีมือดีที่สุดของและดราก้อน แชนท์สองสามคนเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็นำคนอื่นๆ ออกไป

แสนรักยังคงอยู่ในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดต่อไป

กลับมองเห็นว่าในหน้าจอนั้น หลังจากที่กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันเป็นทางการ การปะทะต่อสู้กันในทั้งพิพิธภัณฑ์หลังนี้ก็ยิ่งดุเดือดขึ้น ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงปืน และทุกที่ก็เป็นฉากที่มีคนล้มลงไปกองกับพื้น

แต่คนของม็อกโกเป็นทีมย่อยแบบประจำการ

หลังจากที่ออกไปแล้ว เพียงแค่เห็นพวกเขาถือปืนกลอยู่ในมือ พอได้ทำการยิงสวนไปแล้ว จากการยิงปืนของพวกเขาทำให้พวกอันธพาลกำเริบเสิบสานเหล่านั้นล้มลงไปจำนวนไม่น้อย

“อพยพผู้คน! ธีระ นายพาคนไปอพยพผู้คนก่อน!”

เป้าหมายของม็อกโกคือไม่ใช่เพื่อฆ่าคนจำนวนเยอะ

แต่คือการปกป้องชีวิตของคนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้ให้ได้เยอะที่สุดภายใต้กระสุนปืนของพวกอันธพาลกลุ่มนี้

ดังนั้นหลังจากธีระได้ยินคำสั่งแล้ว เขาก็นำคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังซึ่งแข็งแรงเหมือนกับเสือชีตาร์รีบวิ่งไปทางห้องโถงชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะอพยพพาแขกร่วมงานเหล่านั้นที่ต่างพากันหวั่นผวาออกไป

ดลธีทางนี้ก็รวดเร็วฉับไวเป็นอย่างมาก

พวกเขาไม่ใช่ทีมประจำการ แต่วิธีการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ได้แย่หรือด้อยกว่า

หลังจากที่แต่ละคนออกมาจากมุมมืดแล้วปรากฏตัวอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหลังของพวกอันธพาลเหล่านั้นราวกับวิญญาณ บ้างก็รัดคอ บ้างก็ยิงโดยตรง ยังไม่ถึงห้านาที จากบนหน้าจอแสนรักก็เห็นแล้วว่าจัดการไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว